เสียงของหมู่มวลวิหคดังขึ้นมาในยามอิ๋นย่างเข้ายามเหม่า บ่าวรับใช้ในจวนบางกลุ่มลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อเตรียมอาหารและซักเสื้อผ้าให้กับเจ้านายของตน เช้านี้โจวเจินเจินจะไปรับอาหารเช้าที่เรือนกลางของท่านย่า ฉินเซี่ยหรูที่อยู่ในร่างของหลานสาวนั้นเริ่มปรับตนได้กับร่างนี้แล้ว ถึงแม้จะยังเป็นเด็ก แต่นางกลับมีความรู้จากชาติภพก่อนติดตัวมาด้วย ทว่าความทรงจำแห่งความเจ็บปวดกลับมิอาจลบเลือนไป
“คุณหนูใหญ่… ท่านทำไมรีบตื่นจังเลยล่ะเจ้าคะ ยามเหม่าค่อยลุกก็ได้เจ้าค่ะ”
อี้ถง สาวรับใช้คนสนิทของโจวเจินเจินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเมื่อได้เห็นร่างเล็กบนเตียงนอนขยับกายลุกขึ้นนั่ง
“ข้าอยากไปเดินออกกำลังข้างนอกเสียหน่อย เจ้าช่วยไปเตรียมน้ำมาให้ข้าล้างหน้าทีนะอี้ถง” เสียงเล็กตอบออกมาก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังเก้าอี้ยาวที่อยู่ติดกับหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวปลิวสไวไปตามแรงลม
“อากาศยังเย็นๆ อยู่เลยนะเจ้าคะคุณหนู บ่าวกลัวว่าคุณหนูจะเจ็บป่วยขึ้นมาอีก” อี้ถงเป็นกังวลกลัวว่าคุณหนูที่อ่อนแอของนางจะกลับมาเจ็บป่วยอีกหากออกไปสัมผัสอากาศที่หนาวเย็นในยามนี้
“ข้าแข็งแรงแล้ว ยิ่งนอนมากก็ยิ่งอ่อนแอมาก เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข้ามิเป็นอันใดแล้ว” น้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังทำให้อี้ถงมิกล้าที่จะกล่าวสิ่งใดออกมาอีก ทำได้เพียงไปเตรียมน้ำมาให้คุณหนูได้ล้างหน้าบ้วนปาก
หลังจากที่ให้อี้ถงมัดผมที่ปล่อยสยายยามนอน ให้เป็นจุกอยู่กลางศีรษะได้แล้วฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินจึงเยื้องย่างออกไปด้านนอกเรือนนอนของนาง ยามนี้แสงสุริยันยังมิโผล่ขึ้นมาจากท้องนภา มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ยังคงจุดเอาไว้อยู่ตามทางเดิน ร่างเล็กในชุดฮั่นฝูของสตรีสีฟ้าอ่อนเยื้องย่างนำหน้าสาวรับใช้ที่เดินติดตามนางมามิได้ห่างกายไปยังสวนดอกไม้ติดกับลำธารมิไกลจากเรือนของนาง บ่าวที่กำลังเดินผ่านต่างทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนต่อคุณหนูใหญ่
ร่างเล็กแต่สูงเพรียวยืนมองไปยังสายน้ำในลำธาร เสียงวิหคที่กำลังขับร้องโบยบินผ่านไปผ่านมาเรียกสายตาให้คนมองตาม ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินยามนี้แม้จะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับร่างของหลานสาวได้ แต่ทว่าจิตใจของนางกลับยังคงเป็นทุกข์ นางจำได้อย่างเลือนรางว่าก่อนที่นางจะสิ้นลมเพียงสามวัน สามีในนามอย่างหวงจิงอวี่ได้เข้ามาดูนางและได้กล่าววาจาว่าร้ายนางว่านางไปทำให้บุรุษผู้หนึ่งต้องตาย แล้วนางมีความผิดอันใดเพียงเพราะบุรุษผู้นั้นหลงรักนางแต่นางมิได้รับไมตรีของเขา เพราะยามนั้นนางเองก็ยังเป็นเด็กอย่างนั้นน่ะหรือ นางผิดอันใดเขาถึงต้องกักขังนางไว้ให้ทรมานใจมองดูเขาพลอดรักกับสตรีคนแล้วคนเล่า
ปีแล้วปีเล่าที่นางอยากจะหย่าขาดกับเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่สุดท้ายก็ทำมิได้เพียงเพราะเห็นแก่หน้าตาของสกุลฉินของนาง สตรีที่หย่าในยุคนี้ก็เท่ากับการแต่งงานที่ล้มเหลว จะไม่มีผู้ใดให้การสนใจหรือใส่ใจอีกต่อไป สุดท้ายก็ต้องออกจากจวนไปบำเพ็ญตนอยู่ที่วัดเขาชีอันราวกับว่าเป็นสตรีไร้ค่า มันจะน่าเวทนากว่าการต้องทนแล้วจากไปด้วยความตายหรือไม่ เรื่องนี้นางเองก็ยังมิสามารถทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เลยว่า ถ้าหากนางเลือกที่จะจากไปตั้งแต่ตอนนั้น ชีวิตของนางในตอนนี้จะต้องมีจุดจบเช่นนี้หรือไม่
“เฮ้อ……” เสียงเล็กถอนหายใจหนักๆ ออกมาจนอี้ถงอดที่จะเอ่ยถามออกมามิได้
“คุณหนู…. ท่านเป็นอันใดเจ้าคะ มีเรื่องมิสบายใจอันใดระบายออกมาให้บ่าวฟังได้นะเจ้าคะ”
“เปล่า… ข้ามิเป็นอันใด… อี้ถง…ข้าอยากดื่มน้ำ เจ้าไปเอาน้ำมาให้ข้าได้หรือไม่”
อี้ถงมองซ้ายมองขวาก็เห็นว่ามีบ่าวที่เป็นหญิงสองสามคนที่กำลังรดน้ำดอกไม้อยู่ไม่ไกล นางจึงพยักหน้าแล้วเดินจากไปเพื่อนำน้ำดื่มมาให้คุณหนูของนาง ซึ่งน้ำก็อยู่แค่ศาลาริมธารเท่านั้น
ยามเฉินโจวเจินเจินได้ไปหาท่านย่าที่เรือนเพื่อกินมื้อเช้ากับนาง สตรีสูงวัยที่ยังคงแข็งแรงนั่งรอหลานสาวอยู่ที่โต๊ะ อาหารสี่ห้าอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นทำให้คนมาใหม่ฉีกยิ้มจางๆ ออกมา เพราะอาหารเหล่านี้หลานสาวของนางชอบที่สุด แต่คนกินกลับมิได้มีชีวิตอยู่แล้ว ต่อจากนี้นางคงจะต้องกินแทน และกระทำทุกสิ่งทุกอย่างแทนโจวเจินเจิน หลานสาวผู้น่าสงสารของนาง
“เจินเอ๋อร์คารวะท่านย่าเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่าส่งยิ้มให้กับหลานสาว ก่อนที่จะเชื้อเชิญให้เด็กหญิงได้นั่งลงมิห่างนาง
“มานั่งข้างๆ ย่าสิเจินเอ๋อร์” ร่างเล็กเยื้องย่างไปนั่งตรงเก้าอี้ตัวถัดมาจากสตรีสูงวัย
“อาหารเหล่านี้ย่าจำได้ว่าเจ้าชอบกินที่สุด กินเยอะๆ นะลูก ร่างกายของเจ้ายามนี้ยังดูบอบบางนัก”
เด็กหญิงพยักหน้าก่อนที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วลงมือกินอาหารตรงหน้าด้วยท่วงท่ากิริยางดงามตามนิสัยเดิมยามเมื่อนางเป็นฉินเซี่ยหรู แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะรู้สึกแปลกใจแต่ก็อดที่จะยิ้มออกมามิได้ อย่างน้อยหลานสาวก็มีกิริยามารยาทงดงามสมกับที่เกิดมาเป็นสตรี
หลังจากกินมื้อเช้าร่วมกับท่านย่าเสร็จ นางก็ถูกสตรีสูงวัยรั้งเอาไว้แล้วชวนพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่นางต้องการเรียนรู้ เพราะวัยเจ็ดปีนั้นสตรีหลายนางได้ศึกษาศิลปะหลายแขนงแล้ว เด็กหญิงจึงตอบท่านย่าเกี่ยวกับสิ่งที่นางอยากจะศึกษาเล่าเรียน
“ท่านย่า หลานอยากฝึกวิชาป้องกันตัวเจ้าค่ะ” คนเป็นย่าถึงกับส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วย
“ได้อย่างไรกันเจินเอ๋อร์ เจ้ายังเด็กอีกอย่างเจ้าเพิ่งจะหายป่วย หากฝึกวิชาที่ต้องใช้พละกำลังมากๆ เจ้าจะมีล้มป่วยลงอีกหรือ เป็นสตรีควรฝึกฝนเกี่ยวกับการออกเรือนในภายหน้าสิ เย็บปัก ถักร้อย ทำอาหาร ดูแลคน” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวถึงสิ่งที่หลานสาวสามารถเรียนรู้ออกมา
“ท่านย่า… หลานจะไม่แต่งงานเจ้าค่ะ” คำตอบของหลานสาวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกหนักใจ แต่พอลองคิดดูนางยังเด็กนัก อาจจะยังมิเข้าใจเรื่องการออกเรือนไปกับผู้ใดสักคนก็ได้
“อืมๆ มิเป็นไร แต่เรื่องการฝึกฝนวิชาป้องกันตัวอย่างที่เจ้าต้องการ ย่าว่ารอหลังจากนี้อีกสักปีเถิด ยามนี้ร่างกายของเจ้ายังมิเหมาะกับการใช้พละกำลังเช่นนั้น”
ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินยอมรับสภาพ ท่านย่าห่วงสุขภาพของหลานสาวก็เป็นสิ่งสมควร เพียงนางเข้าใจเรื่องการออกเรือนและมิได้บังคับให้นางต้องเรียนเรื่องราวที่เหล่าสตรีต้องเรียน แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นหลานขอลองศึกษาเกี่ยวกับยาและสมุนไพรได้หรือไม่เจ้าคะ” เพราะชาติภพที่ผ่านมานางยังมิได้มีโอกาสได้ศึกษาเกี่ยวกับการปรุงยาของท่านหมอ นางจึงอยากเรียนรู้เอาไว้เผื่อในภายภาคหน้าจะต้องใช้
“อืม… เจ้าอยากเป็นหมอหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามออกมาอย่างยิ้มๆ
“ไม่เจ้าค่ะ… หลานเพียงอยากรู้เรื่องยาและการรักษาเบื้องต้นเท่านั้น” เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสนับสนุนหลานสาว อย่างน้อยมีวิชาแพทย์ติดตัวพอเติบโตไปนางจะได้มิมีผู้ใดมารังแกได้
“ถ้าเช่นนั้นก็ศึกษาเถิด เดี๋ยวย่าจะเชิญอาจารย์หมอที่สอนเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาให้แก่เจ้า” เจ้าของดวงหน้างามยิ้มแย้มออกมาเมื่อท่านย่ากล่าวเช่นนี้ออกมา นางลุกขึ้นคำนับสตรีสูงวัยตรงหน้า ก่อนที่จะเอ่ยขอตัวไปพบมารดาเพื่อบอกกล่าวถึงเรื่องที่นางได้พูดคุยกับท่านย่า
ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้รั้งหลานสาวเอาไว้ นางมองตามร่างเล็กที่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อนเดินจากไป ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาเผยรอยยิ้มแห่งความสบายใจออกมา ก่อนหน้านี้ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ามีแต่ความกังวล กลัวว่าหลานสาวคนโตจะอายุไม่ยืนยาว พอนางกลับมาแข็งแรงได้เช่นนี้ก็ทำให้นางคลายความกังวลได้ไม่น้อย แต่ก็รู้สึกตงิดในใจเรื่องที่หลานสาวบอกว่าจะไม่แต่งงาน นางก็หวังเพียงว่าที่หลานกล่าวมานั้นเป็นเพียงความคิดของเด็กๆ เท่านั้น