มาถึงโรงพยาบาลฉันถึงกับขมวดคิ้วเลยค่ะ อะไรกันมีแต่ชายชุดดำเต็มไปหมด ราวกับว่ามีมาเฟียป่วยอยู่ที่นี่อย่างนั้นแหละ เลิกสนใจพวกเขาก่อนจะรีบวิ่งไปหาน้องทันที ฉันรอเวลานี้มานานมาก จะยังไงก็ได้ขอแค่ให้นักรบฟื้นขึ้นมาก็พอ เปิดประตูเข้าไปในห้อง ไม่ได้มีแค่มิลินนะคะ แต่อยู่กันครบเลยต่างหากล่ะ นี่พวกมันมาเป็นผู้พิทักษ์นักรบหรือไงยังกัน
“สภาพมึงนี่ไม่ได้ต่างจากนักรบเลยจริง ๆ ” มังกรเอ่ยทักคนแรก
“อีสวยทำไมมึงโทรมแบบนี้ แดกข้าวบ้างป่ะเนี่ย” ไอ้ยูโรเสริมขึ้นมาอีกคนแถมมันยังจับฉันหมุนไปมาอีกด้วย
อาร์ท : ผอมเป็นไม้เสียบผีเลยอีห่า!
“กูกินไม่ลงหรอก พวกมึงก็รู้ว่ากูเหลือน้องแค่คนเดียว ชีวิตนี้กูไม่มีใครแล้วนะเว้ย” ฉันพูดไปตามความจริง เพื่อนกับครอบครัวมันเป็นจิ๊กซอว์คนละส่วนกัน
โมเดล : แต่ถ้ามึงเป็นอะไรไป นักรบมันก็จะไม่เหลือใครเหมือนกัน อย่าทำร้ายตัวเองทางอ้อมแบบนี้
“...” คำพูดมันทำให้ฉันนึกถึงประโยคยาว ๆ ของเฮียเบส...
“อย่าร้องไห้เลยนะ ผมไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก” นักรบพูดขึ้นขณะที่น้ำตาของฉันพร้อมจะไหลเอ่อตลอดเวลา
“เจ็บมากไหม พี่ขอโทษนะ ถ้าวันนั้นไม่มารับพี่ เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น”
“ไม่เจ็บแล้วครับ มันเป็นอุบัติเหตุอย่าโทษตัวเองเลย เจ้ไปพักผ่อนเถอะ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว อีกเดี๋ยวก็เดินได้ปกติ” น้องพูดด้วยรอยยิ้มเหมือนกำลังเติมเต็มความชุ่มชื่นให้หัวใจฉัน
“ไปกินข้าวป่ะ เดี๋ยวกูพาไป ให้หนุ่ม ๆ อยู่เฝ้าไปก่อน” อีเทียร่าเอ่ยก่อนจะเดินมารั้งแขนฉัน “น้องปลอดภัยแล้วมึงเห็นไหม”
“ร้องไห้มามากพอแล้ว ฮึบเข้าไว้ เป็นพี่สาวต้องเข้มแข็งนะรู้ไหม?” น้ำเชื่อมเสริมขึ้นมาบ้าง พวกมันแค่อยากเรียกสติฉันเท่านั้นเอง
“ขอบใจพวกมึงมากนะที่ไม่ทิ้งกู”
นิวเยียร์ : เพื่อนป่ะล่ะ?
มิลิน : ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จำไว้นะว่ายังมีพวกกู
ในเรื่องร้าย ๆ ฉันก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง นอกจากพวกมันแล้วก็ยังมีเฮียเบสอีกคนสินะ ที่กำลังสอนให้ฉันเข้มแข็ง
ออกมาหาอะไรกินแถวข้างโรงพยาบาลนี่แหละค่ะ พวกผู้ชายอยู่เฝ้านักรบ ตรงนี้เลยเหลือแค่ฉันกับเพื่อน ๆ
“มิลิน...มึงมีอะไรจะบอกพวกกูไหม?” อีเทียร่าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ห๊ะ! กูเหรอเอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก”
“รู้ตัวหรือเปล่าว่ามึงโกหกไม่เก่งอ่ะ” อีเทียร่ายังคงพูดต่อ
“กูพูดไม่ได้ เอาเป็นว่ามันไม่ได้มีอะไรร้ายแรงโอเคนะ”
“มีอะไรกันหรือเปล่า ทำไมพูดจากันแปลก ๆ ” ฉันเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
น้ำเชื่อม : นั่นสิ ลินเป็นอะไรเหรอ
“ไม่มีอะไรมากแค่เพื่อนกำลังปลูกต้นรักกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ระดับต้น ๆ ของประเทศแค่นั้นเอง” ประโยคยาว ๆ ของเทียร่าทำเอาคู่หูฉันหน้าเจื่อนไปเลยทีเดียว
“ไอ้เทียน!! กูว่ามึงพูดเยอะไปแล้วแหละ”
“กรี๊ด!! เจ็บปวดมากค่ะ!! เทียร่าจ้ะ!! โนไอ้เทียน”
“ฮ่า ๆ ”
ระหว่างมื้อสายตาฉันเหลือบไปเห็นชายชุดดำเดินกันเต็มไปหมด นี่เขามาเฝ้าใครกัน?
“พวกมึง ไอ้ที่ใส่ชุดดำหน้านิ่งพวกนี้เขามาทำอะไรกันอ่ะ กูเห็นตั้งแต่อยู่ในโรงพยาบาลแล้ว”
“จริงด้วย เหมือนในละครเลยบอดี้การ์ดมาอารักขานางเอกไง ฮ่า ๆ ต้องเป็นคนสำคัญแน่เลย ระบบความปลอดภัยถึงได้เป๊ะขนาดนี้” มิลินเอ่ย
“หนึ่งในนั้นต้องมีพ่อของลูกกูบ้างแหละ คิกคิก” ไม่ต้องแปลกใจที่อีเทียร่ามันพูดแบบนั้น เพราะพวกเขาค่อนข้างหน้าตาดีค่ะ
คุยกันไปเรื่อยตามประสาเพื่อนฝูง จู่ ๆ ก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งถือตะกร้าดอกไม้มาเดินขายตามโต๊ะ
“พี่สาวช่วยอุดหนุนหน่อยครับ ผมต้องเอาเงินไปซื้อยาให้ยาย” ไม่รู้ว่าโกหกหรือเปล่า แต่แววตาของเขามันช่างหน้าสงสารเหลือเกิน ฉันเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดี มองไปที่ตะกร้าน้องเป็นดอกกุหลาบค่ะ
น้ำเชื่อม : ขายยังไงครับตัวเล็ก
“ดอกละยี่สิบบาทครับ สีชมพูหมดแล้ว เหลือแต่สีขาว สีแดงแล้วก็สีดำครับ”
เทียร่า : พี่เอาสีขาวห้าดอกค่ะ
น้ำเชื่อม : งั้นพี่เอาสีแดงหมดเลยค่ะ
“งั้นที่เหลือพี่เหมาเองครับ” น้องยิ้มด้วยท่าทีดีใจที่ขายดอกไม้นั่นหมด
มิลิน : น้องรู้หรือเปล่าว่าแต่ละสีมีความหมายว่ายังไง
“สีขาวคือความรักบริสุทธิ์ครับ สีแดงความรักที่จริงใจ สีชมพูความรักอันหอมหวาน และสีดำหลายคนอาจคิดว่ามันไม่เป็นมงคล แต่จริง ๆ แล้วมันสื่อถึงความรักที่มั่นคงไม่เคยจางหายต่างหากครับ” ยิ้มโชว์ฟันสวยไปที คำพูดยาว ๆ ของน้องทำให้ฉันนึกถึงกุหลาบสีดำที่ใครบางคนให้ฉันบ่อยครั้ง...ให้ตายเหอะ นี่ฉันกำลังหวังอะไรอยู่? หยุดคิดเรื่องเพ้อเจ้อ ก่อนจะหยิบเงินจ่ายค่าดอกไม้ให้น้อง
“โห แบงค์ใหญ่เลยผมไม่มีทอนหรอกครับพี่”
“ไม่ต้องทอนครับ พี่ให้ไว้ซื้อยาให้ยายนะ เป็นเด็กดี อย่าเกเรล่ะ”
“ขอบคุณครับ ขอให้พวกพี่มีแต่ความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้น สวย ๆ รวย ๆ ทุกคนเลยนะครับ” พูดจบก็รีบวิ่งออกไปทันที คงดีใจไม่น้อย
“ให้พรทีพระแถวบ้านกูอายเลย” มิลินเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ขัน
“ฮ่า ๆ ”
กินอะไรเสร็จเรียบร้อยก็เช็คบิล ไม่ลืมที่จะซื้อของติดไม้ติดมือไปฝากพวกมันด้วย ป่านนี้คงหิวแย่แล้ว ระหว่างเดินกลับเข้าไปที่โรงพยายบาล ฉันสังเกตได้คือชายชุดดำพวกนั้นเดินตามฉันอยู่ห่าง ๆ ฉันไม่ได้คิดไปเองนะคะ พวกเขาเดินตามฉัน
“พวกมึงขึ้นไปก่อนเลย กูแวะเข้าห้องน้ำแปป”
“โอเค เจอกันที่ห้องนะ”
“เออ”
คล้อยหลังพวกมันฉันจึงเดินเลี่ยงมาหลบอยู่ตรงบันไดหนีไฟ ที่ประตูจะมีรูเล็ก ๆ พอส่องได้ค่ะ ไม่นานชายชุดดำพวกนั้นก็มาถึงบริเวณที่ฉันอยู่ เสียงโทรศัพท์ของใครบางคนดังขึ้น
“คุณผิงเธอลงไปทานข้าวกับเพื่อน ๆ ครับนาย”
“...”
“ครับ พวกผมจะดูแลเป็นอย่างดี”
พอวางสายทุกคนต่างแยกย้ายไปนั่งตามมุมต่าง ๆ ของโรงพยาบาลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ ทำไมฉันรู้สึกเหมือนตัวเองมีคนคอยดูแลตลอดเวลานะ คิดได้อย่างนั้นลองโทรหาคนลึกลับของฉันดีกว่าค่ะ
...เฮียเบส...
(หลงเสน่ห์กูหรือไงถึงโทรหาได้) รับสายไวมาก
“หลงตัวเอง! หนูแค่จะโทรมาบอกว่านักรบฟื้นแล้วต่างหาก”
(ดีใจด้วย มึงก็กลับไปเรียนได้แล้ว ไม่มีอะไรหน้าเป็นห่วงแล้วนี่ ส่วนเรื่องงานกูให้เงินเดือนเหมือนเดิม น้องมึงหายดีเมื่อไหร่ค่อยกลับมาทำแล้วกัน แค่นี้ก่อนนะกูยุ่งอยู่)
“เดี๋ยวเฮีย! ดอกไม้นั่น...”
(มึงเข้าใจว่าไงก็แบบนั้นแหละ) ตื้ด! วางสายไปแล้วค่ะ
ติ๊ง!
“กูมีงานด่วน ค่อยคุยกันนะ ดูแลตัวเองด้วย”
“...” นับวันเฮียยิ่งลึกลับเข้าไปทุกที แล้วแบบนี้อีผิงจะไปหาคำตอบจากที่ไหนล่ะคะ?