ลาสบอส
ในงานเลี้ยงเปิดตัวบริษัทของเพื่อนพ้องในวงการ จรายุทธพาตัวเองมาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนมีชีวิตชีวาและคึกคัก เสียงหัวเราะ การพูดคุย งานเต้นรำ ดนตรีที่ไพเราะ แสงสีเสียงและของที่นำมาประดับตกแต่งช่วยเพิ่มความสนุกสนาน เครื่องดื่มและอาหารรสเลิศ เขาดื่มด่ำไปกับความสุข รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของงาน คนสำคัญที่ช่วยให้ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น
ในบรรยากาศที่แสนผ่อนคลายไร้กังวล ทุกคนปล่อยใจปล่อยกายเป็นอิสระ ค่ำคืนนี้เหมือนจะผ่านไปอย่างราบรื่น เหมือนเป็นคืนแห่งงานเลี้ยงธรรมดา ถ้าหากไม่มีเสียงปริศนาตะโกนขึ้นมากลางงาน
"ระเบิด!"
เหมือนเป็นคำต้องห้าม ทุกคนในงานต่างแตกฮือตามสัญชาตญาณที่ความกลัวอยู่เหนือเหตุผล ราวกับกำลังอยู่ในสนามบิน ที่เมื่อได้ยินคำนี้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะวิ่งวุ่น หาตัวการที่ทำให้ป่วนไปทั้งงาน
ในช่วงเวลาชุลมุน โดยที่ไม่รู้ว่ามีระเบิดจริงหรือไม่ จรายุทธมองหาการ์ดของตัวเองเพื่อที่จะรีบไปจากตรงนี้ แต่จู่ ๆ ก็มีชายแปลกหน้าใส่สูทสองคนมาประกบซ้ายขวา
"ทางนี้ครับท่าน"
ภาสกรล็อกแขนจรายุทธเอาไว้ ในขณะที่พรรคพวกของเขาประกบไว้อีกข้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา จน จรายุทธตั้งหลักไม่ทัน
แต่ถึงแม้จะตกใจ เขาก็ไม่ทิ้งลวดลายเจ้าพ่อนักเลง ขาใหญ่ในแวดวง
"พวกนายเป็นใคร ทำไมฉันไม่คุ้นหน้าเลยวะ"
"เป็นบอดี้การ์ดของงานครับ ช่วยดูแลความสงบเรียบร้อย ไม่ต้องตกใจ พวกผมจะพาท่านออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย"
จรายุทธถูกชายสองคนพาเดินออกไปอีกด้านของโรงแรม ท่ามกลางความงุนงงและสับสน เขาถูกพามาถึงประตูหนีไฟที่อยู่ด้านหลังโรงแรม ไร้ผู้คนเดินเพ่นพ่าน เขามองซ้ายขวา เห็นแววตาของชายปริศนาเปล่งประกายราวต้องการสังหารคน
"เฮ้ย!"
พูดได้แค่นั้น ท่อนแขนทรงพลังก็เงื้อขึ้นแล้วทุบลงบนท้ายทอยของเขาอย่างรุนแรง การที่เลือดหยุดไปเลี้ยงสมองชั่วคราว ทำให้เขาล้มทั้งยืน ภาพตัด ทุกอย่างดำมืดในชั่ววินาที
จรายุทธรู้สึกตัวขึ้นมา เป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เขาสลบเหมือดกลางอากาศ ตื่นมาอีกทีก็โลกหมุน สะลึมสะลือ นอนอยู่บนพื้นที่เย็นเยียบ ซ้ำยังถูกมัดมือไพล่หลัง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย
เขาดิ้นขลุกขลักเมื่อรู้ตัวว่าไร้อิสรภาพ มองไปรอบกายอย่างเลิ่กลั่ก เหมือนอยู่ในโกดังโล่ง ๆ และเงียบงัน แต่มันคือที่ไหนล่ะ เขาถามตัวเองอย่างสับสน
".....?"
เมื่อสมองตื่นตัว ภาพตรงหน้าก็เริ่มฉายชัดขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายเขาจะเห็นใครบางคนนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้า แววตากร้านโลกกระพริบปรับแสงเพื่อเพิ่มมุมมองการมองเห็น เขาเพ่งมองไปยังร่างนั้นที่จู่ ๆ ก็เหมือนปรากฎตัวออกมาจากกลุ่มควัน นั่งโดดเด่นเป็นสง่าราวรูปปั้นจากจิตรกรฝีมือเอก
นั่นคนหรือเทพเจ้า ถ้ามือไม่ถูกมัด เขาคงขยี้ตาว่าที่เห็นเป็นคนหรือสิ่งลี้ลับกันแน่
ใบหน้าคมคร้ามแสนหล่อเหลาราวเกิดมาเป็นลูกรักพระเจ้า สง่าผ่าเผยราวกับไม่ใช่คน หรือจะเป็นเทวดาใส่สูทลงมาเดินเล่นบนพื้นดิน เขามองร่างนั้นดั่งถูกสะกดจิต สบตากับแววตาที่เจือรอยยิ้มแต่กลับมีกลิ่นอายที่ชวนเสียวสันหลัง
แววตาคู่นั้นจับจ้องมองมาทางเขา สีหน้าแสนสุขุมที่ยากจะคาดเดาความคิด ทั้งยังนั่งละเลียดซิการ์อย่างใจเย็น ปล่อยควันลอยอ้อยอิ่งไปในอากาศ บรรยากาศชวนวังเวงและขนหัวลุก เขาพยายามที่จะลุกนั่ง หากแต่ก็ทำได้ยากเย็น
จรายุทธกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ รอบกายชายหนุ่มคนนั้นมีทั้งคนใส่สูท บางคนก็แต่งตัวเหมือนพวกหน่วยสวาท คนพวกนั้นยืนคุ้มกันอย่างแน่นหนา ชนิดที่ว่าต่อให้เขาลุกขึ้นได้และวิ่งหนีไป ก็คงถูกปืนกระบอกใดกระบอกหนึ่งส่งวิญญาณเขาออกจากร่างได้ทันที
"นายเป็นใคร จับฉันมาทำไม"
น้ำเสียงลดความกราดเกรี้ยวกว่าที่เคยเป็น หากแต่ก็แฝงไว้ด้วยการวางอำนาจอยู่ในที มันคือความเคยชิน ที่เขาอยู่เหนือผู้อื่นมานาน ไม่เคยยอมก้มหัวให้ใคร
ภาณุภัทรกระตุกยิ้มเยือกเย็น มองคนตรงหน้าด้วยแววตาชวนให้ขนลุกเกรียว
"อยากทำความรู้จักนายตำรวจใหญ่ อิทธิพลคับเมืองไทย ใคร ๆ ก็ไม่อยากยุ่ง"
เสียงนั้นทุ้มลึกเปี่ยมอำนาจน่าครั้นคร้าม จรายุทธมองคนที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างสูงสง่าในสูทดำเรียบหรูเดินตรงเข้ามาหาเขาอย่างใจเย็น
"นายต้องการอะไร"
ภาณุภัทรย่อกายนั่งลงตรงหน้าคนที่นอนตะแคงอยู่บนพื้น ริมฝีปากหยักสวยคลี่ยิ้มเย็นเยียบ สบตากับแววตากร้านโลก เขาสัมผัสได้ อีกฝ่ายกำลังตื่นตระหนกไม่น้อย หากแต่ก็ยังวางไว้ซึ่งอำนาจ ทั้งที่ไม่มีใครตามมาคุ้มกะลาหัวสักคน
"เห็นว่าคุณต้องการทำความรู้จัก ก็เลยมาทักทายเสียหน่อย"
"ที่มามีเรื่องกับลูกชายฉัน ก็คนของนายยังงั้นเหรอ"
"ลูกชายคุณไปทำเรื่องเหี้ย ๆ ไว้ ก็แค่โดนสั่งสอน"
จรายุทธจ้องใบหน้าหล่อเหลาตาเขม็ง เมื่อลูกชายเขาเข้ามาอยู่ในหัวข้อสนทนา
"ครั้งนี้คุณเดิมเกมพลาด ถูกลูกชายปั่นหัวเล่น ลากความฉิบหายมาถึงตัวพ่อซะอย่างนั้น"
"ลูกชายฉันทำอะไรให้นาย"
ภาณุภัทรหุบยิ้ม แววตาสาดประกายอำมหิตราวซาตานร้ายกระหายเลือด กระซิบเสียงเย็นเยียบ
"คุณไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่ากำลังเล่นอยู่กับอะไร"
"อ๊าคค!"
จรายุทธร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เมื่ออีกฝ่ายกดปลายซิการ์ลงบนซีกหน้าจนแสบร้อนไปถึงขั้วหัวใจ ความเจ็บปวดที่ทำให้เขาตะโกนลั่น มองคนที่กลายร่างเป็นปีศาจร้ายด้วยแววตาอาฆาต
จากเทวดาใส่สูท เขาขอเปลี่ยนใหม่ นี่มันซาตานร้ายใส่สูทชัด ๆ
"มึงต้องการอะไรวะ บอกกูมาเลย!"
"เลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้น แล้วก็บอกลูกชายคุณด้วย อย่าไปวุ่นวายกับเธออีก"
"ผู้หญิงคนไหนอีกวะ!"
ภาณุภัทรหัวเราะอยู่ในลำคอ ฝากรอยแผลจากไฟร้อนไว้บนใบหน้าอีกจุด จนอีกฝ่ายร้องลั่น
"ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ กูจะฆ่ามึง!"
จรายุทธมองวัตถุในอุ้งมือแกร่ง มันถูกจดจ่อมาที่หน้า เขาเบิกตากว้าง ดิ้นลนลาน เมื่อมือที่คีบซิการ์กดใบหน้าของเขาแนบกับพื้นแสนเย็นเยียบ เหงื่อกาฬแตกพลั่กเมื่อปลายกระบอกปืนกดลงบนขมับ
นี่ไม่ใช่การล้อเล่นแล้ว เขาต้องละล่ำละลักออกมาอย่างหวาดกลัว
"หยะ! อย่า ฉันยอมแล้ว ต้องการเงินเท่าไหร่ก็เอาไป แต่อย่าฆ่าฉัน"
เขาใจเต้นแรงเพราะความกลัว ตัวสั่นงก เมื่อความตายมาหายใจรดต้นรอ ความรู้สึกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
แววตาสั่นระริกสบตากับแววตาเรียวยาวที่หรี่ลง แต่ไม่อาจกลบแสงแห่งความอำมหิตที่สาดส่อง มันแดงฉานลุกโชน กระชากหัวใจเขาจนแทบปลิดปลิวออกจากร่าง
ปลายกระบอกปืนลงน้ำหนักมามากขึ้น คล้ายพร้อมเหนี่ยวไก จรายุทธหลับตาปี๋ นอนเกร็งจนมือไม้หงิกงอ ตะโกนขอชีวิตเสียงสั่น
"หยะ อย่า!"
"ปัง!"
"กริ๊ก..."
".....?"
จรายุทธลืมตาโพลง เสียงมัจจุราชนั้นเปล่งออกมาจากริมฝีปากหยักสวย เขากลอกตาไปมา รู้สึกเหมือนรอบกายขาวโพลน สมองเบาหวิว ไม่แน่ใจว่าที่รับรู้อยู่นี้คือร่างจริง หรือวิญญาณของตัวเองที่ล่องลอยกันแน่
ทว่าเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอก็ปลุกเขาขึ้นมาจากห้วงแห่งความกลัวสุดขีด มองใบหน้าหล่อเหลาที่แสนเยือกเย็นราวน้ำแข็ง แววตาเปล่งประกายราวซาตานร้ายกระหายเลือด ทำให้เขานอนตัวแข็ง ใจเต้นแรงไม่หยุด การกระทำที่เกือบทำหัวใจหยุดเต้น ไม่เคยสัมผัสกับอะไรที่แสนน่ากลัวแบบนี้มาก่อน
รู้สึกได้ถึงความอุ่นซ่านตรงเป้ากางเกง อีกฝ่ายทำเขากลัวจนฉี่ราด เสียเชิงเจ้าพ่อที่แสนยิ่งใหญ่
เขากำลังเจออยู่กับอะไร คนพวกนี้เป็นใคร ลาสบอสหรืออย่างไร ถามตัวเองด้วยใจที่ตื่นกลัว
"โชคดีไป ที่กระสุนไม่เต็มรังเพลิง"
"....."
"เหมือนเสี่ยงโชค ถือว่าดวงยังไม่ถึงฆาต ธานาทอส ถึงไม่ยอมเอาไปเข้าเฝ้าราชาฮาเดส"
ลิ้นร้อนลากไล้เลียปลายกระบอกปืน กระตุกยิ้มซ่อนความร้ายไปให้คนที่นอนตาเบิกโพลง
"ต้องขอโทษที่ทำให้กลัวจนฉี่ราด อย่าไปเล่าให้ลูกน้องฟังเข้าล่ะ อายเขาแย่"
จรายุทธเหมือนจะบ้า เขากำลังกลัวจนประสาทจะหลุด แต่อีกฝ่ายกลับทำเหมือนสนุกที่ได้ปั่นหัวคนเล่น เสพอาการกลัวความตายจนลนลานที่เขาแสดงออกมา
"ค้ามนุษย์ ยาเสพติด เวปพนันเถื่อน ส่วย และอะไรอีกเยอะแยะที่สาธยายไม่หมด เกี่ยวโยงไปถึงนักการเมืองเสียด้วย ถ้าไม่อยากถูกแฉจนหมดอนาคต แล้วลากคนอื่นฉิบหายไปด้วย ก็ขอให้จำวันนี้เอาไว้ อย่ายุ่งกับผู้หญิงที่ชื่อ อลินดา นวจินดา"
"เธอเป็นอะไรกับนาย"
ทั้งที่กำลังตื่นกลัวแต่ก็สงสัย อยากรู้ว่าผู้หญิงที่แสนจะธรรมดาคนนั้น มีความสัมพันธ์อะไรกับคนที่ทำตัวเป็นมาเฟียขู่ฆ่าเขาอยู่ตอนนี้
ภาณุภัทรเอาซิการ์มาสูบต่อ พ่นควันใส่หน้าที่ชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อจากความตื่นกลัว
"เป็นเมียเจ้าพ่อมาเฟีย ที่สามารถนำความฉิบหายมาถึงคุณและครอบครัว ความฉิบหายที่เกินกว่าคุณจะจินตนาการถึงมันได้"
เขาประกาศเสียดื้อ ๆ ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มองคนที่นอนตัวสั่นอยู่บนพื้นด้วยแววตาดุดันคมกริบ
"ถ้ายังรักตัวกลัวตาย ก็ไปบอกลูกชายว่าให้เลิกยุ่งกับเมียชาวบ้านเสียที"
ชายหนุ่มยกเท้าเหยียบไปบนใบหน้าอีกฝ่ายแล้วบดขยี้ไปมา ก่อนจะโยนซิการ์ที่ยังสูบไม่หมดลงไปบนร่างนั้น ในวินาทีที่หันหลังเดินจากมา เขาหันไปออกคำสั่งคนของตัวที่ยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ
"สั่งสอนมันให้เข็ดหลาบ ไม่ต้องเอาถึงตาย ฉันไม่อยากฆ่าคนโดยไม่จำเป็น"
ภาสกรพยักหน้ากับเจ้านาย ก่อนที่จะส่งซิกให้พรรคพวกเข้าไปหิ้วปีกจรายุทธขึ้นมา พากันลากออกไปข้างนอก ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายด้วยความกลัว
พาไปสั่งสอน โทษฐานที่ทำให้เจ้านายเขาเสียเวลาบินมาเก็บกวาดแมงหวี่แมงวันอันแสนน่ารำคาญด้วยตัวเอง
คราวนี้จรายุทธจะได้รู้ว่า อำนาจและอิทธิพลที่ตัวเองมี มันเทียบไม่ได้เลย กับอำนาจมืดอีกมากมาย ที่ใครหลายคนไม่รู้ว่ามันมีอยู่จริง บนโลกแสนกว้างใหญ่ใบนี้
ในซอยที่เงียบสงบเพราะเป็นเวลาดึกสงัด เบนท์ลีย์ติดกระจกกันกระสุนจอดชิดอยู่ฝั่งซ้าย คล้ายกับรอการมาของใครบางคน โดยที่คน ๆ นั้นไม่รู้ตัว ว่ากำลังถูกเฝ้ามองชนิดไม่ให้คลาดสายตากันเลยทีเดียว
"เธอมาแล้วครับ"
เสียงของอินทัชทำให้แววตาเข้มเหลือบมองไปยังทิศทางหน้าบ้านเป้าหมาย ในรถที่แอร์เย็นฉ่ำ ภาณุภัทรมองคนที่กำลังลงจากรถมอเตอร์ไซด์ เธอจ่ายเงินและคุยกับคนขับวินอย่างสนิทสนม สักพักวินคนนั้นก็ขับรถกลับมาทางเก่า เพื่อย้อนไปปากซอย
"เธอกลับดึกแบบนี้ทุกคืนเลยเหรอ"
"ครับ เพราะต้องทำงาน"
ภาณุภัทรมองคนที่กำลังหยิบจดหมายในตู้ไม่ละสายตา พึมพำกับตัวเอง
"หยิบยื่นความสบายให้ไม่ชอบ ทำไมถึงชอบทำตัวลำบากลำบนขนาดนี้"
"ทำไมคุณถึงไม่แสดงตัวตอนนี้เลยล่ะครับ"
อินทัชถามด้วยความสงสัย นายของเขากำลังทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มขี้อายที่เพิ่งหัดรัก ตามเฝ้ามองสาว ๆ โดยที่ไม่กล้าจะเดินเข้าไปจีบ ประกาศให้รู้ไปเลยว่าคิดเช่นไร
"เธอกับฉันจากกันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าหากทะเล่อ ทะล่าไปตอนนี้ เธอต้องวิ่งหนีฉันอีกตามเคย"
"แล้วคุณจะทำอย่างนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่"
"ใจเย็น ๆ เดี๋ยวเธอก็เรียนจบแล้ว"
อินทัชมองใบหน้าหล่อเหลาที่คล้ายจะซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ เป็นมุมที่เขาไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก
"คุณเชื่อในพรหมลิขิตไหม"
"เอ่อ...ไม่รู้สิครับ เพราะผมยังไม่เคยเจอกับตัว"
"ผมเชื่อนะ และผมจะไม่ฝืนมัน ถ้าหากพรหมลิขิตจะขีดเส้นให้เธอมาเจอผมอีกครั้ง ยังไงเธอก็หนีมันไม่พ้น"
สายตาสองคู่มองไปยังหน้าบ้านที่ว่างเปล่า อลินดา
เข้าบ้านไปแล้ว โดยที่เธอไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ ว่ากำลังถูกเฝ้ามอง และมีคนคอยปกป้องอยู่ห่าง ๆ จนรอดจากอัน ตรายมาได้หลายครั้ง
ในห้องนอน อลินดาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาพลิกดูอย่างสนใจ เธอเห็นเสียบอยู่ที่ตู้จดหมาย ถ้าจำไม่ผิดมันเพิ่งโผล่มาวันนี้
หน้าซองมีชื่อบริษัทอย่างชัดเจน เธอแกะออกดูเนื้อหาข้างใน อ่านหัวเรื่องก่อนเป็นอันดับแรก"
"จดหมายจองตัวงั้นเหรอ"
เธอพึมพำออกมาอย่างประหลาดใจ เมื่อจู่ ๆ ก็มีจดหมายเทียบเชิญไปร่วมงาน ทั้งที่ยังเรียนไม่จบเลยด้วยซ้ำ เธออ่านแล้วเก็บเอาไว้ เผื่อวันข้างหน้าอาจตอบรับคำเชิญอันแสนมีเกียรตินี้