บทที่1.ข่าวร้ายที่หัวใจเกือบสลาย...

1554 คำ
พะแพงส่ายใบหน้าแรงๆ จนพวงผมด้านหลังไหวไปมา เธอกัดฟันเม้มปาก “ค่ารักษาแพงไหมคะ ถ้าแพงต้องจ่าย ต้องใช้เงินประมานไหนคะ?” เป็นคำถามที่ญาติผู้ป่วยส่วนมากมักจะถามแล้วแต่ละคนก็ต้องสะท้านไปกับคำตอบ เมื่อตัวยาสมัยนี้แพงยิ่งกว่าทอง          “อาการคนป่วยอยู่ในระยะวิกฤต ถึงขั้นต้องเปลี่ยนไต ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคนไข้จะต่อต้านไตใหม่หรือเปล่า แต่ถ้าไม่มีอาการอื่นแทรก...ก็คงยื้อไปได้อีกหลายปี แต่ก็เป็นแสนนะหนู”          ในฐานะแพทย์ท่านก็ทำได้แค่แนะนำ ทุกอย่างเดี๋ยวนี้มีแต่ค่าใช้จ่าย และมันต้องใช้เงิน...          พะแพงกลั้นใจ เงินเก็บเธอมีประมานนั้นเลย แต่ทุกบาททุกสตางค์นั่นพะแพงเก็บออมไว้สำหรับการซื้อบ้าน เมื่อเธอกับครอบครัวยังอาศัยห้องเช่า ความใฝ่ฝันเดียวของพะแพงคือมีบ้านหลังน้อยๆ ให้บิดาได้สุขสบายในอนาคต แต่เมื่อเหตุจำเป็นเช่นนี้ คงต้องพับความฝันแสนไกลนั่นเอาไว้ก่อน          “ได้ค่ะๆ แล้วอีกนานไหมคะกว่าพ่อจะได้เปลี่ยนไต”          หญิงสาวพยักใบหน้าหงึกหงัก ตัดสินใจโยนความฝันทิ้ง เมื่อการยื้อชีวิตบิดาสำคัญกว่า...          “ต้องรอคิว ช่วงนี้ก็ต้องรักษาให้อาการดีขึ้นไปก่อน”          ไม่ใช่ว่ามีสตางค์จะสามารถทำได้เลย คนบริจาคอวัยวะมีน้อย คงต้องรอไปก่อนที่จะได้รับการรักษา          “เอ่อ...แพงรู้ว่า ถ้าลูกจะบริจาคอวัยวะให้พ่อนี่ได้ใช่ไหมคะ?”          เธอถามเสียงสั่นพร่า...หากบิดามีอาการหนักเช่นนี้ ทางที่ดีที่สุดคือต้องเร็วเท่านั้น          “มันก็ได้หรอกนะ แต่ก็ต้องตรวจสอบด้วย...เพราะหากเข้ากันไม่ได้มันเท่ากับเป็นการเสียเปล่า”          นายแพทย์ยิ้มให้กำลังใจ ท่านซาบซึ้งแทนคนไข้ ไม่ค่อยมีหรอกที่บุตรหลานจะลุกขึ้นมาอาสา เพราะมันหมายความว่าพวกเขา ตัดช่วงอายุของตัวเองออกไปเสียเอง...          “ค่ะ ได้ค่ะ...แพงเต็มใจ”          หญิงสาวยิ้มกร่อยๆ น้ำตาเอ่อเต็มหน่วยตา...จะอายุสั้นลงก็ช่างปะไร...เมื่อเธอมีที่ยึดเหนี่ยวใจ คือบิดาเพียงผู้เดียว          “คุณพยาบาลเอาเอกสารมาให้คุณเขาเซ็นยินยอมด้วยล่ะ หมอขอตัวไปดูคนไข้คนอื่นก่อน ส่วนคนไข้รายนี้ก็ย้ายเข้าไปในห้อง ICU เลย จนกว่าอาการจะดีขึ้น”          ท่านร้องสั่งพยาบาลประจำตัว ฉวยหูฟังคล้องคอ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเพื่อตรวจอาการคนไข้รายอื่นๆ          พยาบาลสาวยิ้มให้กำลังใจ เธอค้นเอกสารมายื่นให้พะแพง...เพื่อทำความเข้าใจ          พะแพงทำความเข้าใจกับเอกสารอยู่นาน เธอลงมือเซ็นเมื่ออ่านจนจบ ผู้รับผลประโยชน์คือบิดา แม้เธอจะต้องเสียอวัยวะชิ้นหนึ่งไป แลกกับการให้บิดามีอายุยาวนานขึ้น          หญิงสาวเดินตัวลอยออกมาจากห้องนายแพทย์ผู้นั้น สมองเธอยังหมุนคว้าง ไร้ที่ยึดเหนี่ยวกับที่พึ่งพาทางใจ          “แพงๆ เป็นไงบ้าง หมอว่าไอ้คล้ายมันเป็นอะไรเหรอ?”          เชิดชาย กับทัดเทพ ยืนหน้าซีดอยู่ด้านนอก เมื่อเขาสองคนเห็นคล้ายถูกเข็นเข้าไปในห้อง ICU          “พ่อเป็นโรคไตค่ะ ยังไม่วาย แต่ก็เฉียดๆ ต้องรีบเปลี่ยนเร็วที่สุด”          พะแพงตอบ เธอมองประตูห้อง ICU ตาละห้อย อยากเข้าไปให้กำลังใจบิดา แต่ก็ต้องรอเวลา เพราะห้องนั้น เปิดให้ญาติเข้าเป็นช่วงๆ เนื่องจากไม่อยากให้บุคคลภายนอกรบกวนอาการผู้ป่วย          “ตายโหง...เห็นดีๆ แข็งแรง ไม่คิดว่าจะทรุด” เชิดชายคราง          “แล้วจะเอาไงล่ะแพง?” ทัดเทพรีบถาม หากอาการหนักแบบนี้ พะแพงจะเป็นอย่างไร          “หมอแนะนำให้เปลี่ยนไตจ้ะ แต่ต้องตรวจความพร้อมของพ่อกับแพงก่อน”          หญิงสาวตอบตามจริง ทัดเทพขมวดคิ้ว พอจะเข้าใจว่าต้องตรวจคนป่วย แต่พะแพงเกี่ยวอะไรด้วย?          “แล้วตรวจแพงทำไมล่ะ หรือว่า...” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง ปากเขาพะงาบขึ้นๆ ลงๆ มองพะแพงแบบเหลือเชื่อ          “อะไรวะไอ้ทัด?” เชิดชายหันมาสะกิดทัดเทพ ไอ้หนุ่มรุ่นลูก ที่ทำยักท่าขยักคำพูดเสียแบบนั้น          “แพงบอกว่าลุงคล้ายต้องรีบเปลี่ยนไต สมัยนี้นะลุง คนบริจาคร่างกายนะแทบจะไม่มี ถ้ารอคิวก็ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไร แต่ถ้าหากว่า...ลูกหลานบริจาคให้เองจะเร็วขึ้น” ทัดเทพอธิบายเท่าที่รู้ เชิดชายหันมามองหญิงสาวตัวเล็ก ด้วยความซาบซึ้งใจแทนเพื่อนร่วมงาน ที่มีลูกเหมือนอภิชาตบุตร ยอมเสียสละสิ่งสำคัญในตัวเพื่อยื้อลมหายใจบิดา          “ดีใจแทนคล้ายมันนะแพง เจริญๆ เถอะแม่คุณ”          เชิดชายสรรเสริญพะแพง หญิงสาวยิ้มเศร้า...ไม่ได้คิดห่วงตัวเอง ห่วงแต่คนที่นอนไม่ได้สติอยู่ในห้อง ICU แทน          “บอกไอ้พายมันด้วยล่ะ เผื่อ...”          เชิดชายไม่ได้พูดเพื่อบั่นทอนกำลังใจ แต่ต้องการเตือนให้พะแพงรู้ เธอยังมีพี่ชาย ไม่ใช่ตัวคนเดียวบนโลก...          “พี่กับลุงคงต้องกลับก่อน ค่ำๆ ถึงจะมาได้ใหม่ ช่วงนั้นเขาคงเปิดให้เยี่ยม”          ทัดเทพกล่าว ภาระหน้าที่ค้ำคอ ทำให้อยู่เป็นกำลังใจให้พะแพงนานไม่ได้          “แพงก็ต้องกลับไปเก็บร้าน...วันนี้คงไม่ได้ขาย...” หญิงสาวยิ้มเศร้าๆ          เดินตามสองหนุ่มต่างวัย เพราะต้องอาศัยรถยนต์ของเชิดชาย เพื่อกลับไปเก็บแผงขายของ เตรียมเสื้อผ้ามานอนเฝ้าบิดา...          เสียงถามเซ็งแซ่รอบตัว พะแพงยิ้มเศร้าๆ ก่อนตอบ รู้สึกเต็มตื่นกับความห่วงใยของคนรอบตัว...          “พ่อยังไม่ฟื้นค่ะอยู่ ICU แพงคงต้องไปนอนเฝ้า”          เธอตอบทุกคำถาม เมื่อเสียงถามเหล่านั้นเพราะพวกเขาเป็นห่วง มือเล็กๆ ก็หยิบจับข้าวของที่กองไว้เก็บลงกล่อง เพื่อจะลำเลียงกลับบ้าน...          “เก็บร้านทำไมล่ะแพงเอ๋ย...กว่าห้อง ICU จะเปิดก็2 ทุ่ม ขายๆ ไปก่อนลูก เก็บสตางค์ไว้เป็นทุนดีกว่าเสียของ ไม่หมดยังไงเดี๋ยวฝากพวกป้าขาย...เราต้องใช้เงินลูก...ทำๆ ไปก่อน”          เสียงท้วงจากป้าขายไก่ทอด หญิงสาวชะงัก แต่เธอคงไม่มีแรงใจที่จะขายของ เมื่อเป็นห่วงบิดาสุดใจ          “ป้ารู้ แต่เราต้องใช้เงินลูก...”          พะแพงตัดสินใจ เธอหยุดเก็บของ จุดไฟในเตา ปั้นทอดมันหย่อนใส่กระทะ เริ่มต้นการขายของใหม่ แม้หัวใจจะหนักอึ้ง สีหน้าเธอซีดๆ กระบอกตาร้อนผ่าว...สูดจมูกบ่อยๆ เพื่อกลั้นสะอื้น วันนี้จึงเป็นวันที่พะแพงเศร้าจัด แม้จะยังยิ้มได้ แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่กร่อยเต็มทน          19:00 นาฬิกา พะแพงตัดใจเก็บร้าน ทั้งๆ ที่เป็นช่วงเวลาทำเงิน ลูกค้าในชุมชนที่เพิ่งจะเลิกงาน เริ่มเดินกันหนาตาขึ้น แต่...เธออยากเห็นหน้าบิดา อยากรู้อาการของท่าน จึงจำใจเก็บของ ฝากทอดมันที่ยังขายไม่หมดไว้กับป้าขายไก่ทอด ซึ่งนางก็รับอาสาด้วยความเต็มใจ พร้อมกับให้กำลังใจพะแพง เหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง...          หญิงสาวลำเลียงแผงขายของกลับไปยังบ้านตัวเอง เธอเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดไว้ที่เดิม รีบจัดแจงล้างหน้าทาแป้ง เข็นรถจักรยานยนต์ออกมาจากข้างบ้าน สตาร์ทเครื่องยนต์ พาตัวเองไปยังโรงพยาบาล ด้วยหัวใจที่กระวนกระวาย...          มีเพื่อนรวมชะตากรรมนั่งรอที่หน้าห้อง ICU กันหนาตา มีทั้งคนสูงอายุ เด็กเล็ก เด็กโต พวกเขามาเฝ้ารอเวลาที่ประตูห้องจะเปิด รวมถึงพะแพงด้วย...          หญิงสาวนั่งกุมมือ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมเต็มอุ้งมือ เธอจ้องมองประตูหน้าห้อง ICU พร้อมกับความหวัง          แกร็ก...          นางพยาบาลดันประตูให้เปิดออก หญิงสาวถลาลุกขึ้นยืน พยายามเดินแทรกกลุ่มคนเข้าไปด้านใน พร้อมกับกวาดตามองหาบิดาไปด้วย          น้ำตาแทบร่วง...เมื่อแรกเห็นบิดา ท่านนอนอยู่บนเตียง พร้อมกับสายระโยงระยางของอุปกรณ์ช่วยยื้อชีวิต          พะแพงถลาเข้าไปใกล้ เธอเกาะขอบเตียง น้ำตารินไหลออกมาเงียบๆ ไร้เสียงสะอื้น มีแต่อาการสั่นไหว มือเรียวบางสั่นเทา เอื้อมกุมมือผอมบางของบิดาไว้ “พ่อจ๋า แพงมาแล้ว พ่ออย่าเป็นอะไรนะ”          น้ำเสียงสั่นพร่า น้ำตาไหลรินไม่หยุด เธอสูดจมูกแรงๆ กลั้นเสียงสะอื้น มองบิดาด้วยสายตารวดร้าว          ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พะแพงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เธอจะไม่มีวันยอมให้ท่านทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้...          หญิงสาวพยายามยิ้ม บอกตัวเองย้ำๆ ให้สู้ไว้...หากเธอหมดกำลังใจ แล้วใครล่ะจะเข้มแข็ง          แม้บิดาจะยังไม่ฟื้น...แต่ท่านก็ยังมีลมหายใจ พะแพงก็ยังมีความหวัง 1 ชั่วโมงกับความรวดร้าว ที่ทำได้แค่เฝ้ามอง และส่งผ่านกำลังใจให้คนนอนไม่ได้สติ หัวใจพะแพงแทบจะขาดรอนๆ เธอพร่ำภาวนา ร้องขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิอย่าเพิ่งเอาพระในชีวิตของเธอไป 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม