เมามายที่ 8
ท่านพี่ น้องหญิง
เงียบ...
หลิวซือเย่ได้ยินเสียงหัวใจของตนเอง เต้นเป็นจังหวะกระชั้นแนบไปกับแผ่นหลังกว้างของช่างตีเหล็ก เขาไม่เพียงแต่เป็นชายผู้ควบคุมไฟในเตาหลอม เขายังควบคุมความอบอุ่นในหัวใจแผ่ซ่านมายังหญิงสาวที่แสนเหน็บหนาวเช่นนาง
บางทีนางอาจเปิดใจพูดถึงอาการที่ตนเองเป็นอยู่กับชายผู้นี้ได้ ไม่รู้ทำไม... แต่นางรู้สึกได้ว่าเขาจะเข้าใจและพร้อมรับฟังเรื่องราวของนางอย่างแน่นอน
ริมฝีปากอวบอิ่มคู่สวยเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง นางสูดลมหายใจเข้าปอดลึกอย่างพยายามชั่งใจ
“ข้าไม่มั่นใจนักว่าท่านสังเกตเห็นหรือไม่ ว่าความต้องการของข้ามากมายและไม่อาจควบคุมได้ วันนี้หากไม่ใช่ท่านแต่เป็นชายกักขฬะเลวทรามข้าคง...”
ในที่สุดหลิวซือเย่ก็ตัดสินใจพูดถึงอาการของนาง อารมณ์ที่แปรปรวนราวกับจะคลั่ง ต้องทำทุกอย่างเพื่อปลดปล่อยกามราคะที่แผดเผาทุรนทุราย
ช่างตีเหล็กไม่ได้ตอบอะไร เขาพยักหน้าน้อยๆ อย่างรับรู้ เขายืนอยู่หลังพุ่มไม้นั้นและเห็นอาการผิดปกติของนางอย่างชัดเจน หญิงสาวทั่วไปจะสะกดกลั้นความต้องการทางเพศเอาไว้ได้ ทว่าหลิวซือเย่กลับมีอาการตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ซือเย่ปล่อยให้ความเงียบผสานไปกับสายลมเย็นปลิดปลิวปะทะนวลแก้มและปอยผมให้สยายไปทางด้านหลัง
“นี่จึงเป็นสาเหตุที่ข้าไม่คิดเป็นภรรยาของผู้ใด ข้าเกรงว่าหากวันหนึ่งอาการของข้ากำเริบต่อหน้าชายอื่น ข้าจะกลายเป็นหญิงใจทรามที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี ข้าไม่อยากให้คนที่รักผิดหวังและเสียใจกับการกระทำของข้า”
ซือเย่อธิบายความในใจออกมายืดยาว
“ข้าชอบท่านเกินกว่าจะทำให้ท่านเสียใจ”
“เด็กดื้อเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นหญิงคนแรกที่ข้ายอมให้ขี่หลัง เป็นหญิงคนแรกที่ข้าเอ่ยปากว่าชอบ เป็นหญิงคนแรกที่ทำให้หัวใจของข้าเต้นด้วยจังหวะที่แตกต่างไปจากเดิม และข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าไม่อาจครอบครองเจ้าไว้แต่เพียงผู้เดียว วันข้างหน้าต่อให้เจ้าตกอยู่ในอ้อมกอดของชายอื่น ข้าอาจจะหึงหวง อาจจะน้อยใจ แต่ข้าจะไม่ผิดหวังในตัวเจ้า ขอเพียงเจ้ายังชอบข้าและกลับมาหาข้าบ้างก็พอ”
“ท่านจาง...”
ซือเย่ถึงกับเสียงสั่นเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น นางรู้ว่าช่างตีเหล็กระดับปรมาจารย์เช่นเขาไม่ใช่คนโง่ แต่ไม่คิดว่าเขาจะมองนางขาดจนทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้ อีกทั้งเขายังมีหัวใจที่กว้างขวางจนนางรู้สึกละอาย
“อย่าร้องไห้ ข้าไม่เคยปลอบใครมาก่อน”
เขาพูดติดตลก จึงทำให้ซือเย่ที่กำลังจะร้องถึงกับยิ้มกว้างก่อนจะหัวเราะออกมา กอดกระชับเขาแน่นกว่าเดิมก่อนจะแนบหน้าลงบนไหล่กว้าง
รู้สึกอบอุ่น...
รู้สึกปลอดภัยจัง...
“ข้าดีใจที่ท่านเป็นคนที่ได้พรหมจรรย์ของข้าไป เพราะท่านเป็นคนที่ข้าชอบมากเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“เด็กดื้อข้าดีใจจนตัวจะพองอยู่แล้ว”
ช่างตีเหล็กหัวเราะร่วน คบเด็กนี่ดีอย่างนี้เอง ช่างฉอเลาะช่างพูดจนหัวใจของเขาพองยุบพองยุบคล้ายจะระเบิดออกมานอกอกเสียให้ได้
“เรียกข้าว่าท่านพี่ได้หรือไม่ ข้าไม่อยากได้ยินเจ้าเรียกข้าว่า ‘ท่านจาง’ มันดูห่างเหินเกินไป”
เขาเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน อยากจะเข้าไปส่งนางถึงหน้าประตูบ้านแต่คงไม่ดีนักเพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นหญิงสาววัยละอ่อนที่ผู้คนอาจติฉินนินทา ดังนั้นจึงยอบกายลงแล้วพยุงให้นางค่อยๆ ทรงตัวยืน
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่”
ตึก! ตึก! ตึก!
หัวใจของช่างตีเหล็กเต้นดังกว่าเสียงค้อนที่เขาทุบลงบนเหล็กเผาเสียอีก รู้สึกได้เลยว่าหูของเขานั้นร้อนฉ่า แค่ได้ยินนางเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ เหตุใดเขาจึงต้องฉีกยิ้มจนหน้าบานเช่นนี้ด้วยเล่า
“เช่นนั้นท่านพี่ก็เรียกข้าว่า ‘น้องหญิง’ นะเจ้าคะ”
นางเขย่งปลายเท้าแล้ววางมือลงบนอกแกร่งของเขา ก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้ๆ แล้วจุ๊บลงเบาๆ ที่ริมฝีปากหยักได้รูป
“นะ...น้องหญิง”
คนตัวโตพูดตะกุกตะกัก รู้สึกหูร้อนผ่าวไปหมด ยิ่งนางยิ้มกว้างจนดวงตากลมโตเล็กหยี ก็ยิ่งน่ารักน่าชังจนเขาแทบจะอดใจไม่ไหว อยากจะลากนางเข้าป่าอีกสักสองสามรอบให้รู้แล้วรู้รอดไป
“ส่วนนี่ข้าให้เจ้า”
เขาล้วงถุงผ้าขนาดเท่าฝ่ามือออกมาส่งให้หญิงสาว นางรับมาถือไว้แล้วนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ เมื่อคลี่ปากถุงดูก็ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นพวงเหรียญทองแดงสองก้วน ตำลึงเงินสามก้อน และเศษอีแปะอีกเล็กน้อย
“นะ...นี่มันอะไรกันเจ้าคะท่านพี่”
“ข้ามีติดตัวมาเท่านี้ เจ้าเอาไปใช้ซื้อข้าวกินให้อิ่มท้องเถอะนะน้องหญิง หากขาดเหลือหรือต้องการสิ่งใดเจ้าสามารถไปหาข้าที่โรงตีเหล็กในเมืองได้ตลอดเวลา”
“ตะ...แต่ว่าข้าไม่...”
หลิวซือเย่ตระหนักดีว่าเงินก้อนนี้ไม่มากแต่ก็ไม่น้อยเลย มันจะทำให้ครอบครัวของนางกินอิ่มนอนหลับ พอจะมีเรี่ยวแรงคิดอ่านหนทางหากินในอนาคตโดยไม่ต้องกระเสือกกระสนปางตายอย่างที่เป็นอยู่ กระนั้นนางเพิ่งได้พบจางเจียหาวไม่กี่ชั่วยาม จึงทำให้นางรู้สึกกระดากใจที่จะรับเงินจากเขา
“ข้าไม่ได้จะดูหมิ่นว่าได้หลับนอนจึงให้เงินเจ้าหรอกนะน้องหญิง แต่เงินนี้คือน้ำใจของข้าที่ไม่อาจเห็นหญิงสาวที่ตนเองชอบต้องตกระกำลำบาก พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาที่นี่อีกครั้งพร้อมข้าวสารและธัญพืชต่างๆ ขอให้มั่นใจว่าหากข้ากับเจ้ายังชอบกันอยู่เช่นนี้ ข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า”
พูดพลางวางมือลงบนเส้นผมเล็กละเอียด แล้วลูบเบาๆ อย่างปลอบโยนเมื่อเห็นว่าหญิงสาวขอบตาแดงก่ำราวกับจะร้องไห้
“ขอบคุณนะเจ้าคะท่านพี่ ข้าช่างมีวาสนาดีเหลือเกินที่ได้พบกับท่าน”
“เด็กขี้แย เจ้ารีบไปเถอะป่านนี้คนในครอบครัวคงชะเง้อคอรอเจ้าแย่แล้ว”
เขารีบไล่หญิงสาวให้กลับไป เพราะทำตัวไม่ถูกเมื่อนางทำท่าคล้ายจะร้องไห้ จะปลอบโยนนั้นไม่ยากแต่คนตัวโตอย่างเขาก็พานจะร้องไห้ไปด้วยนี่สิที่น่าอาย
“อืม...”
เสียงครางแผ่วหลุดรอดริมฝีปากหยักได้รูปของคนตัวโต เมื่อนางโน้มลำคอของเขาลงมาแล้วปิดริมฝีปากนั้นไว้ด้วยจูบหวามร้อนแรงจนหว่างขาของช่างตีเหล็กถึงกับหน่วงหนึบ
ปากเล็กๆ บดจูบแล้วแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปากอุ่น เกี่ยวกระหวัดบดเบียดก่อนจะค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งจนทำให้คนตัวโตแทบคลั่ง
อยากจะลาก! อยากจะลาก! อยากจะลากนางเข้าป่าโว้ย!
“ขอบคุณมากนะเจ้าคะ ท่านพี่น่ารักที่สุดเลย ข้าไปก่อนนะ”
หญิงสาวโบกมือหย็อยๆ พร้อมกับชูนกย่างในมือสองตัวด้วยท่าทางลิงโลด นางมีแรงพอจะออกวิ่งจึงรีบกลับไปที่กระท่อมด้วยความดีใจ โดยมีคนตัวโตยืนมองไปจนลับสายตา
“เด็กดื้อ! เจ้านี่ช่างขยันทำให้หัวใจข้าเต้นแรงเสียจริง”
จางเจียหาวยังคงยืนมองอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานโดยที่ยกมือข้างหนึ่งวางลงบนอกข้างซ้าย เพื่อให้แน่ใจว่าหัวใจเจ้ากรรมจะไม่กระโจนออกมาจากอกจริงๆ ก่อนจะหันหลังเดินทางกลับไปยังโรงตีเหล็กด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป