เมามายที่ 6
ไก่ป่าย่างแสนอร่อย
“มะ...แม่นาง!”
จางเจียหาวเพิ่งรีดพิษออกจากท่อนเอ็นใหญ่ยาวด้วยความสุขสม ก่อนจะหันมามองร่างหลับใหลด้วยความรู้สึกหลากหลายในหัวใจ เขาชอบนาง เขารักนาง เขาคลั่งไคล้นาง เขาหลงใหลนาง ให้ตายเถอะเขาเพิ่งได้พบนางไม่ทันข้ามวัน เหตุใดหัวใจของเขาจึงได้ปั่นป่วนถึงเพียงนี้
ช่างตีเหล็กที่มีนิสัยแข็งกระด้าง ไม่สุงสิงกับผู้คน ชอบและหลงใหลเพียงเหล็กและเปลวไฟ กำลังบรรจงใส่เสื้อผ้าให้หญิงสาวอย่างทุลักทุเล เงอะงะใส่ผิดใส่ถูก กว่าจะใส่ได้ครบก็เล่นเอาเหงื่อตก จากนั้นจึงค่อยๆ ขยับร่างนางให้นอนในท่าสบาย แล้วใช้เสื้อของเขาปูรองให้นางนอนจะได้ไม่ระคายผิว
เจียหาวเดินเก็บเศษฟืนใกล้ๆ มาก่อกองไฟเพื่อย่างไก่ป่าและนกที่ล่าหามาได้
ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยเข้าป่าหรอก วันๆ มักจะคลุกตัวอยู่ในโรงตีเหล็ก เขามีลูกศิษย์อยู่สามคน รับงานไม่มากก็จริงแต่งานทุกชิ้นนั้นพิถีพิถันอย่างถึงที่สุดเพราะเขามองว่าการตีเหล็กคือศิลปะแขนงหนึ่ง แต่ที่เขาเข้าป่ามาในครั้งนี้เพราะต้องการทดลองลูกธนูที่เพิ่งตีขึ้นมาใหม่ ว่าประสิทธิภาพยอดเยี่ยมพอจะส่งให้กองทัพหรือไม่
แล้วก็พบว่าลูกธนูของเขานั้นแหวกอากาศได้อย่างดีเยี่ยม ความคมของปลายลูกธนูเฉือนเข้าสู่เนื้อสิ่งมีชีวิตได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ต้องขอบคุณลูกธนูเหล่านี้ ที่ทำให้เขาเดินทางเข้าป่าจนได้พบเจอกับเพชรเม็ดงาม
สาวงามที่ต้องตาตรึงใจราวกับพรายป่า...
ร่างบางที่นอนหลับลึกถูกปลุกด้วยกลิ่นไก่ย่างหอมกรุ่น นางบิดกายไปมา ปวดไปทั้งเนื้อทั้งตัวแต่กลับรู้สึกสดชื่นเปล่งปลั่งอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
“ตื่นแล้วหรือ เจ้าหิวหรือเปล่า”
เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางหมุนไก่เสียบไม้ที่กำลังสุกได้ที่ แม้จะไม่ได้ยินคำตอบจากนาง แต่เสียงท้องที่ร้องโครกครากดังมาไม่หยุดก็ทำให้ช่างตีเหล็กตัดสินใจฉีกส่วนน่องและสะโพกวางลงบนใบไม้แล้วส่งให้หญิงสาวที่ผุดลุกขึ้นนั่งกะพริบตาปริบๆ
เวลานี้นางเหมือนสาวน้อยไร้พิษสง แตกต่างจากแม่เสือสาวเมื่อครู่ลิบลับ ทำให้จางเจียหาวยิ่งนึกเอ็นดูนางมากขึ้นไปอีก ดูแล้วเด็กสาวคนนี้เพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นมาได้ไม่นานดูยังไงก็ไม่น่าจะถึงสิบแปด ในขณะที่เขามีอายุสามสิบปี เรียกได้ว่ามีความห่างของอายุมากทีเดียว
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
นางรับไก่มาถือไว้ กลิ่นไก่หอมๆ อวลแตะปลายจมูกจนน้ำลายสอ นางเลือกกินช่วงน่องเล็กและตีนไก่ เก็บช่วงสะโพกห่อใบไม้อย่างบรรจงแล้วใส่ไปในตะกร้าเห็ด คนตัวโตที่คอยชำเลืองมองถึงกับเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เจ้าทำอะไร”
“ทะ...ท่านให้ข้าแล้ว จะเอาคืนงั้นเหรอ”
ใบหน้าหวานตื่นตระหนกตกใจ รีบกอดไก่เอาไว้อย่างหวงแหน คนตัวโตเห็นดังนั้นก็ถึงกับแค่นหัวเราะในลำคอ
“เปล่าข้าไม่ได้จะทวงคืน ข้าแค่สงสัยว่าเจ้าเก็บไก่ไว้ทำไม”
“อ๋อ”
หญิงสาวพยักหน้างึกๆ คลายความกังวลแล้วปล่อยไก่จากอ้อมกอด ริมฝีปากได้รูปของนางเม้มเข้าหากันก่อนจะอธิบายสิ่งที่นางทำลงไป
“ข้าจะกินส่วนนี้ แล้วเก็บอีกส่วนกลับไปให้ท่านพ่อท่านแม่และน้องชายของข้า พวกเขาไม่ได้กินเนื้อสัตว์มานานมากแล้ว ถ้าพวกเขาได้ลิ้มรสไก่ป่าย่างคงมีความสุขมากเป็นแน่”
พูดพลางยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ตั้งใจว่านางจะย่างเห็ดที่เก็บมาได้กินกับไก่ที่เหลือ คิดดูสิว่าเจ้าเด็กน้อยซือห้าวจะดีใจเพียงใด น้องชายเริ่มเก้งก้างกำลังเป็นหนุ่มแน่นควรจะต้องรับประทานโปรตีนให้มาก ไม่ใช่กินแต่ข้าวคลุกน้ำมัน เก็บแต่ผักแต่เห็ดกินประทังชีวิตไปวันๆ เช่นนี้
“เด็กโง่เรื่องแค่นี้เองหรอกหรือ”
ช่างตีเหล็กพูดออกไปแล้วแสร้งหัวเราะราวกับเห็นเป็นเรื่องขบขัน ทั้งที่ความจริงแล้วเขารู้สึกจุกราวกับมีก้อนหินตีบตันอยู่ในลำคอจนใต้ขอบตาร้อนผ่าว ปัญหาความยากจนในเมืองฮุยผิงมีมานานแล้ว ประชาชนที่ยากจนมากๆ มักจะมาตั้งรกรากอยู่ชายป่าเพราะไม่อาจเสียภาษีที่ดินราคาแพงในเมืองให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ
พวกเขาลำบาก แต่ภาครัฐและเหล่าขุนนางน้อยใหญ่กลับไม่เคยใส่ใจ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทั้งที่เมืองฮุยผิงเต็มไปด้วยความเจริญมากมาย เขาเองไม่เคยรับรู้ถึงความยากลำบากของคนเหล่านี้เพราะวันๆ คลุกตัวอยู่แต่ในโรงตีเหล็ก เติบโตมาในโรงตีเหล็ก สืบทอดโรงตีเหล็กมาจากบรรพบุรุษ แม้งานของเขาจะเป็นงานใช้แรงงาน แต่ก็เป็นงานที่ทำเงินได้ครั้งละมากมายจึงไม่เคยต้องอดมื้อกินมื้อเช่นนี้
“ข้ายังมีนกอีกสองตัว เดี๋ยวข้าจะย่างให้เจ้านำกลับไปให้ครอบครัว ส่วนไก่นั้นเจ้ากินเสียเถอะ เจ้าเองก็ควรต้องบำรุงให้มีแรง เช่นกัน”
“ทะ...ท่านจะให้ข้าจริงหรือเจ้าคะท่านจางเจียหาว”
“จริงสิ”
เขาพยักหน้าน้อยๆ มองเด็กสาวหยิบไก่ส่วนสะโพกออกมาจากตะกร้าแล้วกัดกินคำใหญ่อย่างเอร็ดอร่อย
วูบในห้วงแห่งหัวใจ เขาอยากเห็นนางมีความสุข อยากให้นางแวดล้อมไปด้วยเงินทองบริวารมากมาย นุ่งห่มแพรพรรณที่จะช่วยขับความงามของนางให้เลื่องลือไม่เป็นสองรองใคร
แต่ใจหนึ่งเขาก็อยากเก็บนางเอาไว้ในป่า ให้มีเพียงเขาที่ได้เชยชมนางแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งนั่นนับเป็นการเห็นแก่ตัว ความงามและความน่ารักของนางจะสามารถเป็นบันไดให้นางไต่เต้าไปยังตระกูลขุนนางชั้นสูง ชีวิตของนางจะสุขสบายมากกว่าเป็นภรรยาของช่างตีเหล็กที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อน ต้องอยู่กับความร้อนและเสียงตีเหล็กทั้งวันเช่นเขา
“ว่าแต่เจ้าเถอะ รู้จักข้าด้วยหรือ”
“เจ้าค่ะ ท่านเป็นช่างตีเหล็กชื่อดัง ในความทรงจำ...”
หญิงสาวชะงักเกือบจะพูดถึงความทรงจำในร่างนี้ ก่อนจะเฉไฉพูดยกยอเขาแทน
“ชื่อเสียงของท่านเลื่องลือไปทั่ว ชาวยุทธทั้งหลายต่างอยากให้ท่านตีดาบให้ด้วยกันทั้งนั้น”
“ช่างพูดจาช่างฉอเลาะนัก”
เขาหัวเราะ ‘หึ’ ในลำคอ รู้สึกว่าการได้ยินนางพูดเจื้อยแจ้วพลางกินไก่ไปด้วยอย่างตะกละตะกลามช่างเป็นอะไรที่แสนเพลิดเพลินเสียจริง อาจเพราะในโรงตีเหล็กของเขามีแต่ผู้ชายร่างใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม มองไปทางไหนก็ไม่เพลินตาเพลินใจ
“ว่าแต่แม่นางเถอะ ชื่อแซ่อะไรหรือ”
“ข้าชื่อหลิวซือเย่”
เขายิ้มฝืนเมื่อได้ยินชื่อของนาง ความสงสารที่มีก่อนหน้านี้ทบทวีท่วมท้นเมื่อได้รู้ว่านางคือ ‘คุณหนูหลิว’ บุตรสาวคนโตของสกุลหลิว คหบดีที่แสนร่ำรวยแห่งเมืองฮุยผิง สกุลหลิวต้องล่มสลายตกต่ำเพราะคดีสมุนไพรปนเปื้อนยาพิษที่ฉาวโฉ่
เขาเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยที่เชื่อว่าเถ้าแก่หลิวเป็นผู้บริสุทธิ์ ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีเถ้าแก่หลิวค้าขายสมุนไพรแห้งสมุนไพรสดอย่างเป็นธรรม ไม่เคยเอารัดเอาเปรียบผู้ใด เรื่องนี้เดาได้ไม่ยากว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากสกุลจง
แต่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐและศาลจะไม่คิดเช่นนั้น จึงได้พิพากษาจำคุกอีกทั้งยังประกาศห้ามค้าขายสมุนไพรโดยเด็ดขาดราวกับต้องการตัดมือตัดเท้าสกุลหลิวผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรไม่ให้กลับมาผงาดได้อีกครั้ง
นางเคยสุขสบาย แต่ต้องตกต่ำจนถึงขั้นแร้นแค้น กระนั้นนางกลับยังมีดวงตาที่สดใส และรอยยิ้มที่สว่างไสว หากเขาต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนางเขาคงไม่อาจยิ้มได้อีกครั้งเป็นแน่