ตอนที่3หมู่บ้านแม่ทะ
หมู่บ้านแม่ทะอยู่ทางเหนือสุดของประเทศไทย ห่างไกลจากตัวอำเภอประมาณ 200 กิโลเมตร ส่วนในตัวจังหวัดอย่าให้พูดถึงเลย พวกชาวบ้านที่นี่มีน้อยคนที่จะได้ลงไปในเมือง จากอำเภอลงไปในเมืองก็เป็นระนะทาง 300 กิโลเมตร ถ้ารวมกับหมู่บ้านแม่ทะก็เป็น 500 กิโลเมตร
ในหมู่บ้านไม่มีโรงเรียน ห่างจากหมู่บ้านไป 100 กิโลเมตร มีครู 2 คนเปิดสอนหนังสือให้เด็กๆ โดยให้ชาวบ้านช่วยกันสร้างโรงเรียน นั่นคือครูปราณีและครูมานิตสองสามีภรรยาเปิดโรงเรียนสอนหนังสือที่หมู่บ้านม่วงใจ ทั้งคู่เรียนจบแค่ม.3 แล้วอุทิศชีวิตให้กับเด็กบนดอย เขาสองคนไม่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานใดๆ ดังนั้นคนที่จะส่งลูกมาเรียน ขอแค่ส่งข้าวสาร และเงินเล็กน้อยเพื่อจะซื้ออาหารให้เด็กๆทุกคนที่กินนอนในโรงเรียน สำหรับเด็กบ้านใกล้เคียงก็เดินมาเรียน
พวกเขาสองคนสอนนักเรียนจนจบป.6 จากนั้นจะพานักเรียนลงไปสอบเทียบเอาวุฒิ ป.6 ม. 3 มีบางคนเรียนเพื่อให้อ่านออกเขียนได้ แต่มีคนที่อยากให้ลูกได้เรียนต่อในอำเภอ มีแค่ 2-3 คน นอกนั้นพอได้วุฒิม. 3 ก็ลงไปหางานทำในอำเภอ มีหลายคนที่ไปทำงานในเมือง
"ข้าวอยู่บ้านกับน้องนะลูก แม่กับพี่ชายลูกจะไปหาฟืน พวกเราต้องรีบไปก่อน ชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็เริ่มออกไปหากันแล้ว ถ้าเราไปสายแม่ว่าอาจต้องเข้าป่าลึก" เช้านี้แม่ปลุกฉันก่อนจะไปทำงาน
"ทำไมพวกเราไม่ไปกันหมดเลยจ้ะแม่" ฉันอยากไปช่วยแม่และพี่ชายด้วย แม้ร่างนี้จะอายุแค่ 10 ขวบ แต่ฉันมีความทรงจำของช่วงอายุ 11-13 ปีด้วย
"เอาไว้พรุ่งนี้ลูกค่อยไปช่วย วันนี้แม่อยากรู้ว่าฟืนที่เราจะไปหามันอยู่ไกลมากน้อยแค่ไหน”
"ก็ได้จ้ะ แม่และพี่ชายรีบกลับมานะจ๊ะ พวกเราจะรอกินข้าวพร้อมแม่และพี่"
"ได้จ้ะลูก"
"แล้วพี่จะหาผลไม้ป่ามาให้ทั้งสองคน" สมชายมาลูบศีรษะน้อง ๆ ทั้งคู่เบา ๆ จากนั้นพวกเขาแบกตะกร้าไว้ที่ข้างหลัง เป็นตะกร้าที่สานด้วยไม้ไผ่ ใส่ขวานและมีดเพื่อใช้ตัดฟืนออกจากบ้าน… ฉันมองตามทั้งสองคน กำลังคิดว่าถ้ามีเงินจะขอเช่าเกวียนของลุงสมานก็คงจะดีไม่น้อย แม่และพี่ชายจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเป็นเดือนในการหาฟืนขึ้นเขาแล้วต้องแบกฟืนลงมาอีก
ลุงสมานคือเพื่อนบ้านที่ดีกับครอบครัวพวกเราแล้วรับรู้ความเป็นอยู่ของพวกเรา ลูกชายลุงสมานชื่อพี่สืบอายุเท่าพี่ชายแล้วลูกสาวลุงสมานชื่อสีดาเป็นเพื่อนกับฉัน…
"น้องสม...อยากเรียนหนังสือหรือเปล่า"
"ใครๆก็อยากเรียนครับพี่ข้าว...พี่ไม่อยากเรียนเหรอ"
"อยากสิ...รอพ่อกลับมา พี่จะขอให้พ่อช่วยพูดกับปู่และย่าให้ แต่ระหว่างนี้พวกเราฝึกซ้อมก่อนดีไหม" แม้ฉันจะไม่ได้เรียน แต่ก่อนตายช่วงอายุ11-13 ขวบ สีดาไปเรียนกลับมาเอาสมุดที่ใช้จดตัวอักษรและสระเอามาให้อ่านและสอนฉันเขียนชื่อด้วย ในที่สุดฉันก็อ่านออกเขียนได้และยังสอนพี่ชายต่อด้วย เวลานี้สีดาน่าจะไปกินนอนอยู่ที่โรงเรียน
"ดีครับ"
"งั้นไปที่ใต้ต้นมะขาม พี่จะเริ่มสอนเราคนแรก"
"ครับ" ทั้งสองคนนั่งบนพื้น และใช้นิ้วเล็กๆ เขียนตัวอักษรลงไปบนพื้นดิน คนพี่เขียนเสร็จให้คนน้องเขียนตาม แต่ในใจข้าวฟ่างกลับคิดถึงเงิน ในหมู่บ้านมีร้านขายของชำ เธอจำได้ว่ามีสมุดดินสอขายด้วย แล้วยังมีขนมลูกอมอีกมากมาย แต่เธอและน้อง ๆไม่เคยกิน เอ๋...ถ้าจะหาเงินต้องเริ่มจากตรงไหนดีนะ
ตอนนี้พวกเราสามคนอยู่ในวัยที่ต้องการกินอาหารเพื่อจะช่วยสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย ฉันจะไม่ยอมขาดสารอาหารเหมือนเมื่อก่อนแน่ๆ แล้วในขณะเดียวกันนั้นฉันได้ยินเสียงคุยกันของปู่และย่าดังออกมาจากหน้าต่าง
"อะไรน๊ะ...มันมีเงินมีทองมากมายขนาดนั้นยังรักษาไม่หายเลยเหร๊อ นับประสาอะไรกับคนจนๆอย่างเราละพี่กำจร" เสียงย่าพูดกระแนะกระแหนใครสักคน
"อืม...หมอเส็งก็หมดหนทางที่จะรักษาเขาแล้ว ลูกหลานก็เชิญหมอจากที่อื่นมารักษาหลายคน แต่ตาเฒ่าทิดมันก็ยังไม่ดีขึ้น" ปู่ทิดคือคนที่มีฐานะในหมู่บ้านนี้ ลูกหลานท่านได้เรียนสูงๆ และได้ทำงานในอำเภอ ท่านเป็นคนดีด้วย ฉันจำได้ตอนงานศพพี่ชายและน้องชาย ท่านมาจับมือพ่อแล้วยัดเงินให้พ่อสองร้อย ไม่ให้ปู่และย่าเห็น สุดท้ายเงินสองร้อยก็กลายเป็นเงินสำหรับใช้จัดงานศพแม่ คิดแล้วฉันอยากตอบแทนท่านเหลือเกิน
"ตายไปเสียก็ดีพี่กำจร เงินที่เราไปยืมเขามาจะได้ไม่ต้องคืนให้เขาแล้ว"
"นี่สมร...เธอหุบปากเลยนะ...แล้วเป็นไงล่ะ…เธอบอกว่าตาใหญ่จะเอาเงินไปลงทุน จะได้เงินคืนเท่าตัว ที่แท้มันไปเล่นพนันจนหมดตัว ตอนนี้ฉันไม่กล้ามองหน้าเขาแล้ว" แสดงว่าย่ากับปู่เป็นหนี้ปู่ทิดสินะ แล้วลุงใหญ่เล่นการพนันงั้นเหรอ กลับมาครั้งนี้ มีเรื่องที่ฉันไม่รู้หลายอย่าง ได้มารู้เห็น…
"พี่ก็เป็นเพื่อนกับมันจะไปยากอะไรก็บอกมันเหมือนทุกครั้งว่าเรายังไม่ได้ทุนคืน ถ้าไอ่สมบัติมันส่งเงินมารอบนี้ เราค่อยแบ่งไปคืนมันก็ได้นี่"
"อืม...เป็นความคิดที่ดี...แล้วอีกกี่วันมันจะกลับมา"
"อีกห้าวันจ้ะพี่" ที่ครอบครัวพวกเราอดยาก พ่อส่งเงินมาเท่าไรมันก็ไม่เคยพอเป็นแบบนี้นี่เอง ปู่กับย่าทำกับพวกเราเหมือนไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลาน เงินที่พ่อส่งมาไม่เคยถึงมือแม่แลเพวกเราเลย
"น้องสม เราไปล้างมือแล้วเข้าบ้านกันเถอะ" ไม่รู้ว่าน้องชายตั้งใจเขียนชื่อเกินไปหรืออย่างไร เขาไม่ได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาของปู่กับย่า…แต่ก็ดีเหมือนกัน น้องชายไม่ควรมารับรู้อะไรตอนนี้
"ผมเขียนได้ชื่อได้แล้วพี่ข้าว"
"อื้ออ..เก่งมาก..วันหลังเรามาเขียนกันอีกเนอะๆ"
"ครับ"
เมื่อเข้ามาในห้อง น้องชายเริ่มง่วง ก็เลยให้นอนเล่น ในที่สุดก็หลับบนพื้นไม้แข็งๆ ฉันไปเอาหมอนให้น้องและเอาผ้าห่มบาง ๆคลุมตัวน้องไว้
"ภูมิพี่จะนั่งสมาธินะ นายจะมานั่งด้วยไหม"
"พี่สาวภูมิขอเรียกพี่ข้าวเหมือนเขาได้หรือเปล่าครับ" กุมารภูมิมองไปทางสนที่หลับสนิทอยู่
"ได้สิ..ว่าแต่นายอายุเท่าไรล่ะ"
"เท่าน้องชายพี่ครับ"
"งั้นนายก็เป็นน้องชายพี่ได้นะ"
"ขอบคุณครับ..พี่ข้าวผมขอสำรวจรอบๆบริเวณบ้านพี่ได้หรือเปล่าครับ"
"เอ้าสิ..ตามสบาย มีอะไรผิดปรกตินายบอกพี่ด้วย”
"ครับ"
จากนั้นฉันเริ่มนั่งสมาธิ ตั้งจิตให้สงบ เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ก็ลืมตาขึ้น รู้สึกร่างกายจะกระปรี้กระเปร่า มีความกระฉับกระเฉง ไม่รู้สึกเหมือนเด็กอายุ 10 ขวบสักนิด นี่เป็นผลจากการนั่งสมาธิเหรอ
อีกไม่นานน่าจะเที่ยงแล้ว น้องชายยังไม่ตื่น แต่ภูมิกลับมาแล้ว
"เป็นไงบ้างภูมิ"
"พี่ข้าว...พี่รู้หรือไม่ว่าลุงใหญ่และอาเขยพี่ทำงานอะไร"
"ไม่รู้...นายรู้เหรอ"
"ผมยังไม่แน่ใจ รอให้ชัดเจนก่อน แต่ทางที่ดีพี่และครอบครัวควรแยกบ้านออกมาเลยครับ อนาคตพี่จะได้ไม่ลำบาก" อีก5 ปีไม่ใช่เหรอ กว่าเรื่องราวจะเกิดขึ้นกับพี่ชาย น้องชายและแม่ หรือว่าเรื่องราวมันจะเกิดขึ้นเร็วกว่านั้น
"พี่จะรอช้าไม่ได้แล้วนะครับ ในเมื่อสวรรค์ส่งพี่กลับมา เพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น พี่ต้องเริ่มลงมือทำเลย เวลาไม่เคยรอใคร ความตายก็เช่นกันครับ" พอฉันได้ยินคำว่าความตาย ก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอกข้างซ้าย แล้วภาพที่ทุกคนที่รักมาตายจากไป รวมทั้งตัวเองที่หนาวตายในอ้อมกอดพ่อ มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างต้องดีขึ้นสิ
"พี่จะพยายาม ขอบใจนายมากภูมิ พี่ชะล่าใจไปคิดว่าเวลาเหลืออีกสี่กว่าปี แต่ไม่ใช่เลย"
"ไม่ต้องเครียดครับ พี่ต้องมีสติเท่านั้นที่จะผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ไปได้" จากนั้นก็ได้ยินเสียง
"พี่กลับมาแล้วครับน้องข้าว น้องสม" เสียงพี่ชายดังมาแล้วประตูก็เปิดออก น้องชายก็ตื่นพอดี
"ว้าวมะม่วงสุก นั่นลูกสับปะรดป่า ขอบคุณจ้ะพี่ชาย แล้วแม่อยู่ไหนจ๊ะ"
"แม่ไปเอาข้าวครับ" ไม่นานแม่ถือชามข้าวมา ในนั้นมีปลาทูเค็มเผาแล้ว 1 ตัว กับผักกูดที่แม่เก็บมาระหว่างทาง
"รอนานหรือเปล่าลูก กินข้าวกันเถอะ” ที่ขวัญเรือนมาช้า เพราะต้องเผาปลาทูเค็ม เนื่องจากสายใจบอกว่าน้ำมันหมูในครัวหมดแล้ว…ให้ปลาทูตัวเล็ก ๆแค่ตัวเดียว…แต่เมื่อคิดได้ว่าอย่างน้อยก็มีข้าวกิน ส่วนปลาจะให้ลูก ๆกิน
"แม่จ้ะ...กับข้าวมีแค่นี้เหรอ...หนูเห็นอาสายใจหิ้วไข่ไก่กลับมาด้วยจ้ะตอนที่แม่ไม่อยู่"
"ในห้องครัวมีแค่นี้จ้ะ ไม่เป็นไรนะลูก พวกเจ้าสามคนกินเนื้อปลาแม่จะกินหัวปลาเอง" เพราะเลยเวลาเที่ยงไปแล้ว ทุกคนหิวข้าว กับข้าวตรงหน้าจึงเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดสำหรับพวกเราทุกคน
แม่ขวัญทำอย่างที่พูด แกะเนื้อปลาทูเค็มมาวางไว้ให้พวกเราเหมือนเช่นเคย ที่เหลือหัวและก้านแม่กินกับผักกูดสดๆ ทั้งสี่คนก้มหน้ากินโดยไม่มีใครพูดอะไร พี่ชายตักข้าวคำโตเข้าปาก แต่เอาเนื้อปลานิดเดียวเหลือไว้ให้ฉันและน้องชาย
มันทำให้ฉันกินไปไม่ถึง 5 คำ แล้วภาพในอดีตมันผุดขึ้นมา เคยมีหลายครั้งที่พวกเราได้กินแบบนี้…แต่ทำไมครั้งนี้ฉันถึงรู้สึกจุก…แล้วกินไม่ลง
"ทำไมอิ่มเร็วจังลูก"
"หนูอยากกินมะม่วงมากกว่าจ้ะแม่" คนที่ทำงานใช้แรงเยอะ คือพี่ชายและแม่ ทั้งสองคนควรจะกินเยอะกว่าเธออีก
"นี่จ้ะน้ำเย็นๆ" ฉันลุกขึ้นไปตักใส่ในขันใบใหญ่ยกมาให้แม่ พี่ชายและน้องชาย
"แม่จ๋า ข้าวมีเรื่องจะบอกทุกคน" แล้วพูดกระซิบเบา ๆกับแม่
"แล้วห้ามส่งเสียงดัง ภูมิออกมาเถอะ" หลังพูดจบมีเด็กชายน่ารักน่าชัง หัวจุก ใส่โจงกระเบน ชุดสีขาวคอปกแขนยาวสีเดียวกันทั้งชุด ดูแล้วเหมือนเทวดาน้อยที่ลงมาจากสวรรค์ ในความคิดของทั้งสามคน
"สวัสดีคุณน้า พี่ชาย และ สม ผมชื่อภูมิเป็นกุมารทองครับ" ทุกคนต่างตกใจ มีเด็กน้อยพูดน่ารักน่าชังปรากฎตรงหน้าพวกเขา
หลังจากนั้นฉันได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง พร้อมทั้งพลังที่ได้มาเหนือธรรมชาติ และท่านตาที่อยู่บนสวรรค์ลงมาหา ยังไม่พอฉันขอกุมารทองจากท่านตา แต่เรื่องที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งไม่ได้บอกแม่และทุกคน
"แม่ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ จะมีแค่พวกเราที่มองเห็นภูมิ คนอื่นมองไม่เห็นหรอก แล้วเรื่องนี้ต้องเป็นความลับมากๆ หนูเชื่อว่าแม่ พี่ชายและน้องสมจะเก็บเป็นความลับด้วย"
"ได้สิลูก,ไว้ใจพี่ได้น้องข้าว,ผมด้วยครับพี่ข้าว" ต่อไปนี้ ไม่ว่าฉันจะทำอะไร หรือขอคำปรึกษาทุกคนจะช่วยร่วมมือไม่ต้องมองว่าเป็นเด็ก 10 ขวบอีกแล้ว
"ข้าวได้ยินย่าคุยกับปู่ว่าอีก 5 วัน พ่อจะกลับบ้าน ดังนั้นพี่ชายกับข้าวต้องไปดักรอพ่อ...ไม่งั้นเงินที่พ่อเอามาจะไม่ถึงพวกเราสักบาท"