“กองทัพแกดูอะไร ทำไมทำหน้าเคร่งเครียดแบบนั้น พวกเราออกมาดื่มเพื่อคลายเครียดจากงานวิจัยกันนะเว้ย”
เพื่อนสนิทที่ออกมานั่งดื่มด้วยกัน อยู่ในห้องวีไอพีของคลับเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นหนุ่มหล่อประจำกลุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด ยิ่งกว่าตอนเร่งทำงานวิจัยเพื่อเตรียมขอจบการศึกษา
“เปล่า แค่ดูไอจีของคนรู้จักเขาลงรูปเดินทางไปเมืองนอกแต่ไม่บอกกล่าวกันสักคำ”
“ผู้หญิง?”
“อืม น้องรหัสปี1 แต่ตอนนี้ทำเรื่องดรอปเรียนไว้แล้ว”
“อ้าว ทำไมล่ะ น้องรหัสของแกเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่รู้ ไม่เห็นเล่าอะไรให้ฟัง ไม่ค่อยได้คุยกันด้วย เขาดูไม่ค่อยอยากคุยกับฉันสักเท่าไหร่”
“ยัยชลลี่ไม่ไปขวางเป็นไม้กันหมาหรือวะ เมื่อรู้ว่าแกมีน้องรหัสเป็นผู้หญิง ท่าทางจะสวยมากเสียด้วย แกถึงได้มานั่งทำหน้าเคร่งเครียดอยู่แบบนี้ เมื่อรู้ว่าเขาเดินทางไปเมืองนอก”
“ขวางทำไม ชลลี่เกี่ยวอะไร”
“อ้าว!! อย่าบอกนะว่าแกไม่รู้ว่ายัยนั่นเป็นเพื่อนสนิทที่คิดไม่ซื่อ แอบรักแอบชอบแกมานานแล้ว ทั้งยังกันท่าผู้หญิงที่อยู่รอบข้างแกมากี่รายแล้ว”
“ฉันไม่รู้เลย ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ก็นึกว่าหวังดีในฐานะเพื่อนมาโดยตลอด”
“เชื่อเขาเลยคนอะไรมันจะไม่ทันเกมส์ของผู้หญิงขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าน้องรหัสคนนั้น ถูกยัยชลลี่แผลงฤทธิ์ใส่ไปเยอะแล้วหรอกนะ”
กองทัพ ฉุกคิดตามคำพูดของเพื่อนสนิท จิตใจของเขาก็กระตุกวาบขึ้นมา เพราะมีหลายเหตุการณ์ที่ทั้งสองคนมีเหตุต้องปะทะกัน ทั้งเดินชนกันแล้วไม่ขอโทษ และเหตุการณ์ล่าสุดก็ถึงขั้นตบหน้ากัน ในร้านนั่งดื่มเมื่ออาทิตย์ก่อน
เมื่อนึกขึ้นได้เขาจึงรีบออกจากคลับ เพื่อเดินทางไปยังร้านนั่งดื่ม ที่เคยพาน้องรหัสมากินเลี้ยงเมื่ออาทิตย์ก่อนเพราะอยู่ไม่ไกลจากคลับแห่งนี้สักเท่าไหร่
เมื่อไปถึงร้านนั่งดื่ม กองทัพบังเอิญได้พบกับผู้ชายที่เคยบอกว่ามีคลิปหลักฐานจากกล้องวงจรปิด แต่วันนั้นชลลี่บอกว่าเธอป่วย เขาจึงรีบขับรถพาไปส่งที่คอนโดของเธอ
เมื่อสอบถามที่มาที่ไป จึงได้รู้ว่าผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาคนนั้น เป็นหุ้นส่วนของร้านนั่งดื่มแห่งนี้ เขาจึงขอดูคลิปหลักฐานจากกล้องวงจรปิดในวันนั้นทันที ด้วยจิตใจที่ร้อนรน
“หึหึ คุณพึ่งนึกได้ว่าต้องมาดูคลิปหลักฐานหรือไง คงเชื่อใจผู้หญิงจอมเสแสร้งคนนั้นจนไม่ลืมหูลืมตา น้องแองจี้เลยต้องมากลายเป็นคนผิด ทั้งๆที่เธอถูกปองร้ายแท้ๆ”
ชานนท์เอ่ยเหน็บแหนมพี่รหัสของแองจี้ ผู้หญิงที่เขาตามหาเธอมาโดยตลอด เพราะหลังจากวันนั้นที่ได้คุยกัน เขาก็ไม่ได้พบกับเธออีกเลย
วันนั้นเขายังไม่กล้าขอช่องทางติดต่อเธอไว้ เลยต้องคอยมองหาอยู่ทุกวัน ทั้งที่มหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งที่ร้านแห่งนี้ ที่เขาหาเวลาว่างเข้ามาที่ร้านเรื่อยๆ เพราะคิดว่าเธอคงจะมานั่งดื่ม หรือนั่งทานอาหารกับเพื่อนๆอีกในสักวัน
“ผมไม่รู้เลยว่าชลลี่ จะเป็นผู้หญิงขี้โกหกแบบนี้ วันนั้นชลลี่เป็นคนเจ็บตัว ผมเลยเลือกที่จะเชื่อเธอมากกว่าแองจี้”
กองทัพเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างแจ่มชัดในคลิปจากกล้องวงจรปิด ภาพจากคลิปที่เขาเห็นคือ ชลลี่เดินไปข้างหลังของแองจี้ แล้วยกมือขึ้นจะผลักเธอให้ล้งลงใส่โต๊ะบริเวณนั้น แต่แองจี้ไหวตัวได้ทันเบี่ยงตัวหลบ แล้วเหวี่ยงข้อมือออกไปด้านหลังจนโดนใบหน้าของชลลี่
เขานึกเสียใจที่วันนั้นคิดปรักปรำแองจี้ ถึงจะยังไม่ได้ต่อว่าเธอรุนแรงก็ตาม แต่ด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน และแววตาที่มองแองจี้อย่างคนผิด ก็ทำให้กองทัพรู้สึกผิดกับผู้หญิงที่ติดอยู่ในใจของเขา ทั้งยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสขอโทษเธอหรือไม่
“คุณมาก็ดี ผมขอช่องทางติดต่อน้องแองจี้หน่อยสิ ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เจอเธออีกเลย”
ชานนท์เมื่อได้รู้ว่าผู้ชายโง่เง่าตรงหน้าเขาคือพี่รหัสของแองจี้ จึงมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ที่จะได้พบเธอเพราะอยากสานสัมพันธ์ที่มากกว่าคนรู้จัก
“ไม่มี และตอนนี้แองจี้ก็ไปต่างประเทศ เธอทำเรื่องพักการเรียนที่มหาวิทยาลัยเอาไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว”
กองทัพตอบออกไปตามความจริง ส่วนเรื่องช่องทางติดต่อส่วนตัวของแองจี้ เขาไม่เต็มใจให้เลยโกหกออกไปว่าไม่มี
“พักการเรียน ไปต่างประเทศ!!” ชานนท์เอ่ยออกมาด้วยความตกใจ
“อืม และผมก็ไม่มีช่องทางติดต่อส่วนตัวของเธอ”
“เป็นพี่รหัส แต่ไม่มีช่องทางติดต่อ หึหึ ผมไม่ได้โง่ครับ แต่เอาเถอะถึงคุณไม่ให้ผมก็จะหาวิธีของผมจนได้สักวัน” กล่าวจบชานนท์ก็เดินจากไปทันที เพราะถึงเวลาที่เขาต้องไปเข้าเวรฝึกขึ้นตรวจในรอบดึกที่โรงพยาบาลแล้ว
2 ปีผ่านไป ณ ประเทศเยอรมนี
ร่างผอมบางซีดเซียว ที่นอนรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาลเริ่มรู้สึกตัว ทีมแพทย์และพยาบาลรีบเข้าไปตรวจดูอาการของผู้ป่วย ที่มีอาการแทรกซ้อนจากการผ่าตัดสมอง จนได้นำตัวมารักษาในห้องไอซียูเมื่อเดือนที่แล้ว
ดวงตากลมโตค่อยๆลืมตาขึ้น แต่แสงสว่างที่มากเกินไปก็ทำให้เธอหรี่ตาลง จากนั้นก็ค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้งจนสำเร็จ
“คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วนะครับ”
แพทย์เจ้าของไข้กล่าวกับผู้ป่วยที่พึ่งฟื้นด้วยน้ำเสียงยินดี เพราะการผ่าตัดในครั้งนี้มีทั้งความเสี่ยงและความยาก ในครั้งแรกที่เห็นผลแสกนสมองของผู้ป่วย เขาเกือบจะไม่รับเคสนี้แล้ว แต่เมื่อได้เห็นความมุ่งมั่นของผู้ป่วย ที่อยากจะมีชีวิตรอด เขาจึงตัดสินใจรับเคสการผ่าตัดที่ยากลำบากนี้
“ขอบคุณค่ะ”
น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยออกมา เธอจำอะไรไม่ค่อยได้เพราะก้อนเนื้อที่เกิดทับส่วนสำคัญของเส้นประสาท ทำให้ความทรงจำลบเลือนไปหลายส่วน แต่ก็พอจะจดจำได้ว่าตนเองเข้ารับการผ่าตัดสมอง แต่จดจำระยะเวลาไม่ได้ ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เธอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
“กี่วันแล้วคะคุณหมอที่ฉันหลับไป”
“2ปีครับ คุณนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลได้2ปีแล้ว ซึ่งจะต้องพักรักษาตัวต่อไปอีกย่างน้อยก็6เดือน ถึง1ปี กว่าจะหายเป็นปกติ และออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้ เพราะอาการของคุณยังต้องอยู่ใกล้ชิดหมอและพยาบาล”
“อีกกี่วันฉันถึงจะได้ย้ายไปห้องพักฟื้นคะ”
น้ำเสียงอ่อนแรงเอ่ยออกไป เพราะเธอรู้สึกเหนื่อยมากทั้งๆที่พูดเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น
“1สัปดาห์ครับ หมอต้องขอดูผลก้อนเนื้อที่สมองว่าการผ่าตัดสำเร็จด้วยดีหรือไม่”
ผ่านไปอีก1ปี
ร่างผอมบางกำลังนั่งอ่านไดอารี่ ในระหว่างที่รอคอยบุคคลที่เธอคิดถึง อยู่ในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล นับตั้งแต่ร่างกายเริ่มแข็งแรง เธอจะอ่านไดอารี่ที่จดบันทึกไว้เป็นประจำทุกวัน เพื่อทบทวนความทรงจำของตนเอง เพราะจากอาการป่วยทำให้เธอจดจำเรื่องราวชีวิตของตนเองไม่ได้หลายอย่าง
“แองจี้ พ่อกับแม่มาหาแล้วลูก”
แองจี้จดจำใบหน้าของบิดามารดาได้ดี เพราะพวกท่านเดินทางมาหาเธอเรื่อยๆ นับตั้งแต่เธอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นเวลาถึง3ปี
“แองจี้ดีใจที่จะได้ออกจากโรงพยาบาลสักทีค่ะ เบื่อจะแย่อยู่แล้ว”
“กลับบ้านเราไหมลูก บ้านของเราที่เชียงใหม่”
เอมอรสอบถามออกไป เพราะลูกสาวเคยบอกว่าอยากอยู่เรียนต่อที่นี่จนถึงระดับปริญญาโท แต่เธออยากให้ลูกไปอยู่ใกล้ๆมากกว่า เพราะเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของลูกสาว
“คุณตามใจลูกเถอะ พวกเราค่อยมาเยี่ยมลูก หรือช่วงปิดเทอมก็ให้ลูกกลับไปหาบ้าง”
ภัทรเอ่ยปรามภรรยาเพราะรู้ว่าลูกสาวอยากเรียนที่นี่ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ อีกอย่างการเรียนอยู่ที่นี่ก็มีข้อดี เพราะหากแองจี้มีอาการป่วยตรงจุดเดิมขึ้นมาอีก จะได้พบหมอได้ทันเวลา
“ใช่ค่ะคุณแม่ แองจี้ขอเรียนที่นี่นะคะ เพราะอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ เหมือนกับที่แองจี้พึ่งได้ชีวิตใหม่กลับมาค่ะ”
“แล้วเรื่องเรียนที่มหาวิทยาลัยในเมืองไทย ลูกจะให้พ่อเข้าไปจัดการเรื่องลาออกให้เลยไหม”
ภัทรเอ่ยถามในเรื่องสำคัญ เพราะประวัติการศึกษาของลูกสาวยังติดค้างอยู่ที่เมืองไทย หากจะเรียนที่นี่ต้องจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน
แองจี้เปิดไดอารี่ที่จดบันทึกเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยขึ้นมาอ่าน เพื่อทบทวนความทรงจำของเธอ ก่อนที่จะตอบคำถามของบิดา
“ลาออกค่ะ ฝากคุณพ่อจัดการแทนด้วยนะคะ แองจี้พึ่งเข้าไปเรียนไม่นานคงไม่ยุ่งยากอะไรค่ะ”