บทนำ

1920 คำ
[แนะนำตัวละครหลัก] น้ำผึ้ง อายุ 20 ปี ไม่เคยมีแฟน แต่ต้องมาเป็นแม่เลี้ยงจำเป็น คุณลุงหมอจอมพล อายุ 50 ปี เป็นเจ้าของโรงพยาบาล (น้ำผึ้งไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นหมอที่ดูแลเคสอาการป่วยของพ่อเท่านั้น) พยัคฆ์ อายุ 18 ปี เป็นอันธพาลในคราบนักศึกษา ชอบมีเรื่องชกต่อยไม่เว้นแต่ละวัน เพื่อปิดบังความอ่อนแอภายในจิตใจ อนันต์ อายุ 45 ปี เป็นพ่อของน้ำผึ้ง ภรรยาเสียชีวิตตั้งแต่ตอนคลอด สามีเลยต้องรับหน้าที่เลี้ยงดูลูกสาวคนเดียวมาโดยตลอด แต่สามปีให้หลังเกิดป่วยหนัก ลูกเลยต้องมาดูแลพ่อแทน บอส,อาม,ซีเกม เพื่อนสนิทของพยัคฆ์ [อายุเท่ากัน] เหม คู่อริพยัคฆ์ [คนข้างบ้าน] บทนำ “ต้องรักษาระยะยาวงั้นเหรอคะ?” “ใช่ โรคปอดที่พ่อของหนูผึ้งเป็นอยู่ คือโรคเรื้อรัง ไม่มีทางที่จะรักษาหายขาดได้ หมอเห็นใจเรื่องค่าใช้จ่ายที่หนูต้องรับผิดชอบนะ แต่ถ้าอยากจะพยุงอาการให้ดีขึ้น หนูต้องเสียเงินกับค่ารักษา ค่าจ่ายยาไปเรื่อย ๆ ” “หนูพร้อมที่จะหาเงินมาจ่ายในส่วนนี้ค่ะ รบกวนคุณลุงหมอช่วยแจ้งรายละเอียดค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ได้ไหมคะ หนูจะได้กะเวลาในการหางานเสริมทำเพิ่ม” เจ้าของใบหน้าพราวเสน่ห์อย่าง ‘น้ำผึ้ง’ พูดกับ ‘คุณลุงหมอจอมพล’ ที่ช่วยดูแลเคสอาการป่วยพ่อของเธอด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ถ้าไม่ได้คุณลุงหมอยื้นมือเข้ามาช่วย ปานนี้พ่อจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ครอบครัวเรามีกันอยู่แค่สองคนตั้งแต่จำความได้ [แม่เสียชีวิตตอนคลอด] ถ้าพ่อเป็นอะไรขึ้นมา เธอคงโดดเดี่ยวไร้จุดหมายในการใช้ชีวิต “หนูผึ้งเป็นเด็กที่ขยันมากเลยนะ รู้ตัวไหม ลำพังทำงานทำงานทุกวันนี้ก็แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนอยู่แล้ว นี่ยังต้องมาทำงานเสริมเพื่อหาค่ารักษาพ่ออีก อย่างนี้จะเอาเวลาไหนไปเรียนล่ะ?” “หนูดร๊อปเรียนแล้วค่ะคุณลุงหมอ พ่อป่วยหนักขนาดนี้ หนูยอมเอาเงินค่าเทอมมาจ่ายค่ารักษาพ่อยังจะดีเสียกว่า เรียนเมื่อไหร่ก็เรียนได้ แต่ชีวิตพ่อรอไม่ได้ค่ะ” “หมอเข้าใจนะ งั้นเอาอย่างงี้ไหม หมอจะช่วย...” “คุณลุงหมอไม่ต้องให้เงินหนูแล้วนะคะ หนูเกรงใจ” น้ำผึ้งเอ่ยปากปฏิเสธความมีน้ำใจของคุณลุงหมอ เพราะตลอดสามเดือนที่ผ่านมา เธอได้รับการช่วยเหลือเรื่องเงินมามากพอแล้ว ถ้าขืนยังรับอีก เธอจะรู้สึกไม่ดี ที่ได้เงินมาโดยที่ไม่มีอะไรตอบแทนคนให้ “หมอก็ไม่ได้ให้ฟรี ๆ เสียหน่อย หมอแค่อยากช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย ส่วนหนูก็ต้องช่วยหมอเรื่องหนึ่งนะ เป็นเรื่องที่หมอปวดหัวมาตลอดหลายปี จะพูดยังไงดีล่ะ เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัวเสียด้วยสิ...” “อ่า คุณลุงหมอลองพูดมาก่อนก็ได้ค่ะ ถ้าหนูช่วยได้หนูพร้อมที่จะช่วยแน่นอน” นัยน์ตาสีดำอำพันมองลึกเข้าไปในดวงตาของคุณลุงหมอ ดูเหมือนความเครียดในเรื่องนี้ จะมีผลกระทบเป็นอย่างมาก “เป็นเรื่องของลูกชายหมอเอง ชื่อ พยัคฆ์” “เขาเป็นคนเกเรเหรอคะ?” “ที่สุดเลยล่ะ ตั้งแต่วันที่ภรรยาของหมอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุกะทันหัน พยัคฆ์ก็กลายเป็นเด็กมีปัญหา ไม่เอาใคร เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้อง พอมารู้อีกทีก็กลายเป็นเด็กเกเร ชอบมีเรื่องชกต่อยเป็นชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว เรื่องเรียนก็ไม่สนใจ บ้านถ้าไม่เอ่ยปากบังคับก็ไม่ยอมกลับ หมอไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงกับลูกชายคนนี้ดี เห้อ!” ฟังจากเสียงพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ของคุณลุงหมอ ลูกชายที่ชื่อพยัคฆ์คงร้ายกาจไม่ใช่น้อย แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าสิ่งที่จะขอให้ช่วย คืออะไรกันแน่? “คุณลุงหมออยากให้หนูช่วยยังไงดีคะ?” การเสนอตัวช่วยเหลือ ถือว่าเป็นการแสดงความจริงใจอย่างหนึ่ง ไม่ว่าสิ่งที่ขอให้ช่วยจะเป็นเรื่องอะไร ก็ตาม ถ้าเราพร้อมช่วย อีกฝ่ายคงดีใจที่เห็นเรายินดี “อย่าหาว่าหมออย่างงู้นอย่างงี้เลยนะหนูผึ้ง สิ่งที่หมออยากให้ช่วยดูจะเป็นการก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวของหนูไปบ้าง แต่ที่จริงแล้วหมอบริสุทธิ์ใจเรื่องนี้ หมอแค่อยากให้คนที่ดูเป็นอคติเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แล้วช่วยดูแลพฤติกรรมของลูกชายหมอให้ดีขึ้น” “ยังไงเหรอคะ?” เธอยังไม่เข้าใจ “งั้นไม่อ้อมค้อมเลยนะ คือหมออยากให้หนูมาเป็นแม่เลี้ยง” น้ำผึ้งนิ่งกับคำขอไปชั่วขณะ… “อย่าเพิ่งตีความผิดไปนะหนูผึ้ง แม่เลี้ยงที่หมอบอก ไม่ได้หมายความว่าเราสองคนต้องมีความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวกัน หมอก็อายุปูนนี้แล้ว สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือความสบายใจ พยัคฆ์เป็นเด็กขาดความอบอุ่น ถ้าเขาได้เจอผู้หญิงอ่อนโยนแบบหนู หมอคิดว่าเขาต้องเชื่อฟัง และการที่หมอให้หนูอยู่ในสถานะนี้ เพื่อที่จะเปิดโลกให้ลูกชาย ถ้าเขายอมรับหนูได้ คนอื่นก็ไม่ยาก” “หนูพอเข้าใจแล้วค่ะคุณลุงหมอ คนที่อคติมากที่สุดสำหรับลูกชาย คงจะเป็นแม่เลี้ยงสินะคะ แต่ถ้าจะทำให้เขายอมรับหนูในสถานะนี้ หนูว่าไม่ง่ายเลยค่ะ” “หมอรู้ว่ามันไม่ง่าย อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าถ้าเขาเปิดใจยอมรับแม่เลี้ยงอย่างหนูได้ เรื่องสานสัมพันธ์ในสถานะอื่น ๆ จะง่ายขึ้นเยอะ ดีไม่ดี บางทีหมออาจจะมีโอกาสได้คุยกับเขาตามประสาพ่อลูก” “เข้าใจแล้วค่ะ” “หนูเข้าใจ แปลว่าหนูจะช่วยหมอใช่ไหม?” “หนูยินดีช่วยอยู่แล้วค่ะ ถ้าหนูช่วยได้” คุณลุงหมอคลี่ยิ้มกว้างเมื่อหญิงสาวยอมตอบตกลง “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หมอสามารถทำใบจดทะเบียนสมรสปลอมขึ้นมาได้ หนูไม่จำเป็นต้องมาผูกมัดให้เสียหาย ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด หมอจะดูแลเอง” “หมายถึงค่ารักษาพ่อเหรอคะ?” “ทั้งหมดเลย หนูผึ้งไม่ต้องไปทำงานแล้ว ย้ายมาอยู่บ้านหมอ หมอจะจัดการเรื่องเงินให้ ทั้งค่ารักษา ค่ากินอยู่ หมอพร้อมที่จะรับผิดชอบ หรือถ้าหนูอยากเรียนให้ได้วุฒิการศึกษา หมอก็พร้อมที่จะส่งเสียนะ” “มะ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เรื่องการเรียน เดี๋ยวหนูไปสมัครกศน.เอาก็ได้ พยัคฆ์จะได้ไม่สงสัยเรื่องจดทะเบียน ส่วนค่ารักษาพ่อ ถ้าหนูช่วยทำให้พยัคฆ์เป็นคนที่ดีขึ้นได้แล้ว หนูจะรีบทยอยค*****นให้นะคะ” [เธอดร๊อปเรียนกศน.ม.ปลาย เพราะตลอดสามปีที่ผ่านมา ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงพ่อที่ป่วย ถึงจะอายุยี่สิบแล้ว แต่ก็ยังเรียนไม่จบม.ปลายเสียที ยิ่งพ่อมาป่วยหนักสองเดือนให้หลัง ความคิดที่จะกลับไปเรียนต่อแทบจะไม่มีอยู่ในหัวเลย] “ค่ารักษาพ่อถือว่าเป็นสินน้ำใจที่หนูยื้นมือเข้ามาช่วย หมอจะดูแลให้เอง หนูไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ หนูผึ้งเป็นเด็กน่ารัก หมอมั่นใจว่าเงินที่ช่วยเหลือจะไม่เสียเปล่า” เธอได้แต่คลี่ยิ้มน้อมรับคำชมจากปากคุณลุงหมอ แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับลูกชายของคุณลุงได้หรือเปล่า ปกติเธอไม่ได้คนอ่อนโยนอย่างที่เห็น นิสัยจริงค่อนข้างหัวแข็งเลยแหละ อาจจะมีบางช่วงที่แอบซ่อนมุมอ่อนโยนบ้าง โดยเฉพาะเวลาเห็นน้ำตา หัวใจล่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทุกทีเลย (เป็นโรคแพ้น้ำตาผู้ชาย) [บ้านคุณลุงหมอ] หญิงสาวเรือนร่างบอบบาง ผิวพรรณดุจดังหยาดน้ำผึ้งสีสวย เดินถือกระเป๋าเป้สีดำทมิฬลงจากรถเก๋งคันหรู ดวงหน้างดงามมีสเน่ห์เฉพาะตัวเริ่มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บ้านหลังใหญ่ เพื่อสำรวจสถานที่ ที่ต้องมาอยู่อาศัยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เรื่องระยะเวลาคุณลุงหมอยังไม่ได้บอกแน่ชัดว่าต้องอยู่กี่วัน กี่เดือนหรือกี่ปี ต้องให้เธอไปเจอกับพยัคฆ์ก่อน ถ้าพฤติกรรมของเขาต่อต้าน คงจะได้อยู่ยาว “วันนี้กลับบ้านแหะ” “ปกติเขาไม่กลับเหรอคะ?” “อาทิตย์ล่ะครั้งเห็นจะได้ พักหลังเดือนล่ะครั้งยังยากเลยหนูผึ้ง ลูกชายหมอเอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก” น้ำผึ้งพยักหน้ารับรู้แล้วเดินตามคุณลุงหมอเข้าไปในตัวบ้านสามชั้นหลังใหญ่ ภายในตกแต่งสไตล์ยุโรปสีขาวสะอาดทั้งหลัง ดูเป็นบ้านของคนมีฐานะ ซึ่งเธอไม่มีโอกาสได้สัมผัสแน่นอน ถ้าไม่ได้เสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องตั้งใจทำให้เต็มที่ ไม่ใช่มาเอาความสุขสบายเพียงอย่างเดียว พ่อยังต้องอยู่รักษาโรคอีกนาน เลยต้องพึ่งพาใบบุญคุณลุงหมอ กรึก กรัก! เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องโถงใหญ่กลางบ้าน ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งก็เดินลงมาจากชั้นบน แว่บแรกที่เห็นเขา น้ำผึ้งก็แอบตกใจ ไม่คิดว่าลูกชายของคุณลุงหมอจะโตขนาดนี้ เผลอ ๆ อาจจะอายุมากกว่าเธอด้วยซ้ำ เพราะเขาตัวสูงราว ๆ ร้อยเก้าสิบกว่าเห็นจะได้ ผิวขาวกว่าเธอเล็กน้อย (เธอมีผิวสีน้ำผึ้งตั้งแต่เกิด พ่อเลยต้องชื่อนี้ให้) สายตาคมกริบ คิ้มเข้มดกดำ สันจมูกโด่งได้รูป โดยรวมแล้วคือเขาหล่อมาก! “อย่าเพิ่งไป อยู่ทำความรู้จักกับแม่เลี้ยงก่อนสิ” ดวงตาคมกริบตวัดมองร่างเล็กข้างกายผู้เป็นพ่อ เขาหน้าตาลูกครึ่งเหมือนคุณลุงหมอ ยิ่งได้สบตา ยิ่งรู้สึกร้อนผ่าว เหงื่อแตกพลั่ก ทั้งที่ยืนประจันหน้าอยู่ในห้องแอร์ “น้ำผึ้ง นี่ลูกชายของฉันเอง ชื่อ พยัคฆ์” คุณลุงหมอแนะนำตัวและเปลี่ยนสรรพนามเพื่อความสมจริง “ค่ะ ยินดีที่ได้...ปัง!” ชายหนุ่มดึงหน้าตึง แล้วเดินออกไปจากบ้านพร้อมปิดประตูเสียงดังลั่น ที่บอกว่าเขาเป็นเด็กมีปัญหา คงจะไม่ใช่ปัญหาธรรมดาแล้วล่ะ ดูท่าจะเข้าถึงยากพอสมควร “ขอโทษทีนะหนู” “ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ หนูเข้าใจ” “เห้อ ยังไงก็อดทนหน่อยนะหนูผึ้ง หมอเชื่อว่าความใจเย็นของหนูจะเอาชนะอคติของพยัคฆ์ได้ ตอนเขามีแม่ เขาเป็นเด็กน่ารักมากเลยนะ ไม่เหมือนตอนนี้ที่...” “เขาแค่เป็นคนมีกำแพงที่สูงมากเท่านั้นเองค่ะ” “สูงมากเสียจนหมอปีนขึ้นไปไม่ไหวเลยหนู” “คุณลุงหมอไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ พี่เขา เออ...” “พยัคฆ์อายุน้อยกว่าหนูสองปี ที่เห็นโตแบบนั้น คงจะโตแต่ตัวนั่นแหละ” “เข้าใจแล้วค่ะ” เธอมีหน้าที่รับฟังในสิ่งที่คุณลุงหมอพูด และจากที่ฟังคร่าว ๆ ดูเหมือนลูกชายจะเป็นคนผีเข้าผีออก แต่ส่วนใหญ่ผีเข้าเสียมากกว่า ไม่ยอมพูดคุยกับพ่อ จะคุยต่อเมื่อมีปัญหาขึ้นโรงพัก (เรื่องทะเลาะวิวาท) แล้วก็เรื่องในมหาลัยที่ถูกเชิญผู้ปกครองบ่อยครั้ง แค่ฟังวีรกรรมก็รู้แล้วว่าผู้ชายนิสัยเสีย ต้องจับมาดัดสันดานสักที
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม