วันรุ่งขึ้นต้นหอมตื่นขึ้นมาเพราะแดดที่แยงตา เขาหยิบมือถือมาดูเวลาก็พบว่าเป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้ว เช้ากว่าเวลาตื่นในช่วงที่ยังทำงานกลางคืนอยู่มาก แต่เมื่อนึกได้ว่าสาเหตุที่ทำให้ตนไม่ได้ไปทำงานคืออะไรก็รีบลุกพรวดดอกไปหาขนมรองท้องทันที
“พี่เปรม…”
คนที่ไม่ได้หวังว่าจะได้เห็นนั่งหันหลังให้อยู่บนโซฟา แต่เพียงข้างหลังนั่นเขาก็จำได้แล้ว ก็จะมีมนุษย์บนโลกนี้สักกี่คนที่ตัดสกินเฮดแล้วยังย้อมผมสีน้ำเงิน
ต้นหอมมองข้ามพ่อของลูกในท้องที่นั่งอยู่ด้วย วิ่งไปกระโดดกอดพี่ชายคนสนิทพร้อมโวยวายใหญ่เรื่องหมอบอกให้ทำแท้ง และเรื่องที่
กัษษภาคย์โยนการตัดสินใจทั้งหมดมาให้เขาด้วย
“อย่างนั้นผมไปทำงานก่อน ฝากคุณดูแลเขาทีนะครับ” เมื่อเห็นว่าอยู่ไปอีกฝ่ายจะนินทาไม่สะดวกเปล่า ๆ จึงขอตัวแยกออกมา เขาเองก็ยังไม่พร้อมรองรับอารมณ์คุณแม่ในวันนี้ แค่คิดว่าต้องหาข้ออ้างไปบอกกับคนที่ทำงานถึงเหตุผลที่มาสายแล้วก็ปวดหัวจะแย่
ฝั่งต้นหอมเองพอพ้นสายตาเจ้าของห้องแล้วก็นอนแผ่หลาลงบนโซฟา บ่นงุ้งงิ้ง ๆ เรื่องเวียนหัวคลื่นไส้ แถมยังสั่งให้เปรมไปหาของกินมาเสิร์ฟอีก
“กูซื้อโจ๊กมา แต่มึงต้องกินเอง”
“ก็ต้องกินเองอยู่แล้ว ไม่ได้คิดว่าพี่จะมาป้อนกันหรอก”
“จะไปรู้เหรอ ทำเหมือนเป็นง่อยจนกูคิดว่าคุณภาคย์เขาป้อนมึงทุกมื้อน่ะ”
“ป้อนก็แย่แล้ว”
“แล้วยังไง” เปรมส่งเสียงถามจากห้องอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกล
“ยังไงอะไร”
“ได้สานสัมพันธ์อันดีอะไรกันไหม”
“พี่หมายถึงได้เอากันอีกรอบไหมเหรอ” ว่าอย่างนั้นระหว่างเดินไปนั่งรอรุ่นพี่เทโจ๊กลงชาม “ไม่ได้ทำหรอก งงมาก หน้านิ่งเหมือนตายด้าน คนแบบนี้เหรอมาทำหอมท้อง”
“ปากมึงนี่นะ ท้องไม่ท้องหลักฐานก็อยู่ในท้องมึงแล้ว”
“ไม่รู้ ๆ ๆ หิว”
เปรมเลื่อนชามอาหารมาให้คนตรงหน้าก่อนจะถามต่อ
“แล้วจะได้เป็นสะใภ้วิสุทธิ์โยธินเลยไหม”
“นั่นนามสกุลเขาเหรอ ยาวจัง” เด็กหนุ่มส่งหมูก้อนชิ้นโตเข้าปาก วันนี้เขาไม่เหม็นแล้วแฮะ
“มึงช่วยคิดถึงอนาคตตัวเองให้มากทีเถอะหอม กูไหว้”
“พี่ มันเป็นไปไม่ได้เปล่า ถึงหอมจะไม่รู้ว่าเขารวยมาจากไหนแต่ก็บอกได้เลยว่าคนละชั้นกับเรา คนละชั้นแบบ... แบบที่ลิฟต์ก็วิ่งไม่ถึงอ่ะ”
“แต่มึงท้องลูกเขา”
“คลอดเสร็จก็ไป แค่นั้น”
“หอม”
“อะไร” โอเมก้าหนุ่มหน้างอ “พี่ หอมไม่รู้ ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น”
“เฮ้อ... เออ ๆ กูขอโทษ”
“ไถ่โทษยังไงดี”
“ยังจะเล่นอีก”
“เด็กแฝดอยากกินหมูกระทะ”
“ไอ้หอม เดี๋ยวท้องเสีย”
“หมูปิ้งก็ได้”
“เดี๋ยวกูบอกคุณภาคย์ให้เตรียมไว้”
“ทำไมต้องบอก คนแบบนั้นเหรอจะไปซื้อให้หอม”
“เขาก็สั่งแม่บ้านได้ไหม หรือมึงจะไปซื้อเองล่ะ”
“มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่นา แค่ยังไม่คุ้นทางแถวนี้”
“พอเลย เดี๋ยวเป็นอะไรขึ้นมาจะยุ่ง ยิ่งคิดน้อยอยู่”
“หอมคิดเหอะ ไม่ใช่ไม่คิด”
“ก็คิดไง แต่น้อย”
“พี่เปรม มาเลคเชอร์อะไรเนี่ย หอมเรียนจบแล้วนะ”
“มึงไม่คิดอยากจับเขาบ้างเหรอ” พี่ชายเปลี่ยนเรื่อง
“ละครไปไหม เออก็รู้แหละว่าเป็นหนูตกถังข้าวสารมันดี แต่หอมเนี่ยมันวรรณะต่ำสุดของหนูท่อ ส่วนเขาก็เป็นข้าวไรซ์เบอร์รีสีทองเกรดพรีเมียม…”
“ข้าวไรซ์เบอร์รีสีม่วง”
“ก็เปรียบเทียบ” ต้นหอมพ่นลมออกปากอย่างไม่สบอารมณ์ที่จินตนาการถูกขัด
“วันนี้กูจะได้สาระจากมึงไหม” เปรมถอนหายใจ “ไปอาบน้ำแต่งตัวไป คุณภาคย์เขาฝากให้กูพามึงไปซื้อของใช้ส่วนตัว”
“ซื้อทำไม ไปขนจากที่ห้องเก่ามาก็ได้”
“ห้องเก่ามึงมีเหรอ หมอนคนท้องกับอาหารเสริมน่ะ”
และเพราะคำพูดนั้น ตอนนี้ทั้งคู่จึงได้มาอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าใกล้คอนโดฯ ที่พักด้วยกัน
ต้นหอมกำลังเพลินเพลินกับไอศกรีมฟรีที่พี่เปรมเลี้ยงเขา เนื่องจากก่อนออกจากบ้านก็อ้วกเอาอาหารเช้าออกไปอีกรอบ ท้องก็เลยว่าง ต้องการเติมน้ำตาลเข้ากระแสเลือด
“ในเน็ตบอกต้องเสริมแคลเซียมกับธาตุเหล็ก แล้วก็โปรตีน กรด
โฟลิกคืออะไรนะ” มือเรียวเลื่อนหน้าจออ่านบทความอย่างรวดเร็ว “โห วุ่นวายจัง วิตามินบี 1 โอเมก้า 3 อีก เอ้า แต่พอสามเดือนให้เลี่ยงตับเพราะมีวิตามินเอ แต่ตับมีธาตุเหล็กไม่ใช่เหรอ”
“ซื้อผลไม้ไหม ที่ผ่านมามึงไม่ค่อยกินนี่”
“เอาส้มเปรี้ยว ๆ ใช่ ๆ ต้องซื้อของเปรี้ยวติดไว้” แต่พูดไปแล้วก็น้ำลายสอ “อยากกินยำอ่ะ”
“ผงชูรสทั้งนั้น”
“แต่มันเซ่บอ่า เข้าใจไหม ของเซ่บบบ”
“กูชักสงสารคุณภาคย์แล้วนะ งานเขาก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้วยังต้องกลับบ้านมาเจอมึงอีก”
“แค่แชร์ห้อง ต่างคนต่างอยู่”
“ทำให้ได้อย่างปากพูดเถอะ เดี๋ยวก็ต้องทำรัง พึ่งกลิ่นเขา เอาไรมาต่างคนต่างอยู่”
คนฟังชะงักไปกับความจริงข้อนั้น เขาเองที่ใช้ชีวิตอย่างไม่เคยมีแม้กระทั่งคนที่แอบชอบย่อมไม่เคยจินตนาการถึงวันที่จะมีลูก เพราะฉะนั้นถึงจะเป็นโอเมก้าแต่ก็มีหลายเรื่องที่หลงลืมไป
“หอมจะเผลอชอบเขาไหมเนี่ย” หัวเราะแห้ง ๆ พลางเลือกซื้อนมผงสำหรับคุณแม่ต่อ
“กูอยากให้มึงลงเอยกับเขานะ จะได้มีคนดูแล” เปรมพูดตามตรง “ แต่ถ้าเป็นมึงที่รักก่อนแล้วเขาไม่รักเนี่ย ก็ลำบากอีก”
“งั้นหอมควรอ่อยเขาเนอะ แต่ว่าต้องทำไงอ่ะ ถ้าไม่มีเหล้าก็ไปไม่ถูก”
“ก็ทำตัวน่ารัก ๆ”
“ก็น่ารักตลอด”
“เหรอ แต่ที่กูเห็นมันไม่ใช่นะ”
“อะไรอีกล่ะ แซะเก่งจังนะ หัวใจหอมบอบบางนะช่วงนี้”
“เอาแค่คำว่าขอโทษกับขอบคุณง่าย ๆ เนี่ย พูดให้ดังเหมือนตอนโวยว่าเขาโยนภาระการตัดสินใจให้ได้ไหมล่ะ”
“มันคนละเรื่องกัน”
“เห็นไหม มึงเถียงอีกแล้ว”
“พี่เปรม!”
“กับกูมึงไม่มีมารยาทได้ เล่นหัวได้ แต่คุณภาคย์น่ะ มึงพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเขาอยู่คนละชั้นกับเรา”
ต้นหอมทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดนั้นแล้วเดินไปยังชั้นขายซีเรียลต่อ ทำเป็นอ่านฉลากส่วนผสมทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้แพ้อาหาร ไม่ต้องการรับฟังบทสนทนาหนักอึ้งในตอนนี้
หลังทานอาหารกลางวันด้วยกันอีกมื้อพี่เปรมก็มาส่งเขาและช่วยขนของขึ้นมา คีย์การ์ดที่คุณกัษษภาคย์ฝากไว้ก็ยัดคืนใส่มือเขามาอีก
โอเมก้าหนุ่มนอนเล่นที่โซฟาสักพักก็เริ่มง่วงจึงย้ายร่างกายเข้าห้องนอน และเพราะเขากลัวจะถูกบ่นว่าไม่ยอมเก็บของที่ซื้อมาให้เป็นระเบียบจึงจัดการหิ้วถุงเข้าห้องไปด้วยเลย
กัษษภาคย์กลับห้องมาในตอนค่ำ แต่ถึงจะค่ำแต่ก็ถือว่าเร็วกว่าเวลาทำงานปกติแล้ว
เปิดประตูมาไม่เจอใครแต่ไฟที่สว่างโร่ทั้งห้องก็เป็นเครื่องยืนยันว่าอีกคนถึงห้องนานแล้วตั้งแต่เปรมส่งข้อความมาแจ้งเขา และก็คงไม่ได้ออกไป
เถลไถลคนเดียวที่ไหน
เสียงบานประตูถูกเปิดออกทำให้ชายหนุ่มเบนสายตาไปมอง คนตัวขาวยืนขยี้ตางัวเงียพร้อมถือถุงพลาสติกใบใหญ่พิมพ์ชื่อซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อดังเด่นหราอยู่หลายถุง
“ค่าอาหารบำรุงครรภ์พร้อมนมเสริมแคลเซียมทั้งหมดสองพันหนึ่งร้อยแปดสิบสี่บาท”
ต้นหอมวางถุงพลาสติกลงบนโต๊ะทานข้าวก่อนยื่นบิลใบยาวให้ “แล้วก็มีพวกอาหารแห้งด้วย ผมเห็นคุณไม่ค่อยมีอะไรติดบ้านเลย”
กัษษภาคย์เพียงกวาดสายตาผ่าน ๆ จำได้ว่าตอนเช้าเขาบอกให้เปรมพาอีกฝ่ายไปซื้อของ ส่วนของเก่าก็ให้วางติดห้องเก่าไว้อย่างนั้น ตอนย้ายออกจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขนไปมา
“นั่นของนาย?” เขาถามถึงขวดแชมพูยี่ห้อที่ไม่คุ้นตาในถุง
“อ้อ ใช่ ของคุณดูแพง ผมไม่กล้าใช้หรอก”
“แต่ก็มาเบิกกันอยู่ดี”
“เบิกที่ไหน” คนตัวเล็กโยนใบเสร็จอีกใบใส่ “เห็นไหม ผมแยกบิลเลยนะ คุณจะได้เอามาว่ากันไม่ได้”
“แชมพูไม่กี่ร้อย คิดว่าฉันจะงกหรือไง” ว่าพลางหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา “เอาไปเลยสองพันห้า”
“ไม่”
“ไม่ได้หิวเงินเหรอ จู่ ๆ มาปฏิเสธอะไร”
“ผมพูดหรือไงว่าให้คุณมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนตัวน่ะ บอกแล้วไงว่าทำด้วยกันก็ต้องรับผิดชอบด้วยกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมาเกาะคุณกิน แค่ขอเงินเดือนทดแทนเท่าเดิม” คนเด็กกว่าถอนหายใจยาว “แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ใครจะมาเชื่อ ก็ผมทำงานแบบนี้”
“แล้วไม่อยากสบายเหรอ” ชายหนุ่มเก็บแบงก์ห้าร้อยลงกระเป๋า พยายามควานหาแบงก์ย่อยให้พอดีที่สุด “สี่พันเท่าไรนะ”
“สองพันสอง อะไรของคุณเนี่ย”
“โทษที พอดีฉันเบลอ”
“งานเหนื่อยเหรอ” ต้นหอมว่าเสียงอ่อนลงยามเห็นความอ่อนล้าฉายผ่านดวงตาคม “อาบน้ำไหม หมายถึงในห้องผม มันมีอ่างอยู่”
“ไว้ก่อน ไว้วันศุกร์ค่อยแช่ดีกว่า”
“วันนี้วันศุกร์”
กัษษภาคย์ยืนบื้อไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ กับอาการทำงานจนลืมวันลืมคืนของตัวเอง เห็นอย่างนั้นต้นหอมกลับคิ้วขมวดเป็นปมหนัก บ่นคนแก่กว่าเสียยกใหญ่
“จะมาโหมทำงานจนตายไม่ได้นะ เราไม่ได้จดทะเบียนกัน ถ้าคุณตายแล้วลูกจะเอามรดกจากไหน”
“ก็ไปฟ้องเอากับบ้านฉันสิ ยังไงนายก็มีดีเอ็นเอเด็ก”
“จริงด้วยแฮะ” เด็กหนุ่มชะงักขาที่กำลังเตรียมเดินไปเตรียมน้ำอุ่น “หาทางออกได้แล้ว งั้นผมไม่เอาใจคุณแล้วนะ บ๊ายบาย เจอกันพรุ่งนี้”
“เฮ้! เดี๋ยวสิ” กัษษภาคย์คว้ามืออีกคนเอาไว้ และต้นหอมก็หันกลับไปยิ้มเผล่
“ล้อเล่น ใครจะใจร้ายกับพ่อของลูกได้ขนาดนั้น เดี๋ยวผมรองน้ำให้ คุณหาไรกินรอไปก่อน”
“จะไม่อ้วกใส่อ่างใช่ไหม”
“ผมอ้วกมาเยอะแล้ว แต่วันนี้ได้นอนเต็มอิ่ม คงไม่เป็นไร”
ต้นหอมเดินลิ่วเข้าห้องนอนอีกครั้งอย่างกับเป็นเจ้าของบ้านทั้งที่เพิ่งย้ายเข้ามาได้เพียงหนึ่งวัน และกัษษภาคย์ได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นอีกครู่ใหญ่ ปกติเขาเพียงมีห้องไว้ซุกหัวนอนหนีความวุ่นวายของคนเป็นแม่ที่เป็นห่วงกันเกินเหตุ แต่มันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านเมื่อไร้ตัวตนของคนอื่นนอกจากเขา
กัษษภาคย์ไม่เลี้ยงสัตว์ ไม่ปลูกต้นไม้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดรอเขากลับบ้านเพราะอย่างนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่หวั่นไหวกับคนคนนี้
‘เกิดผมตกหลุมรักคุณขึ้นมาทำไง’
ต้นหอมเคยพูดอย่างนั้น
แต่คนที่กล้าพูดออกมาตรง ๆ แบบนั้น ก็มีแต่คนที่รู้ตัวว่าจะไม่มีวันตกหลุมไม่ใช่หรือไง
ต้นหอมไม่เคยลงอ่างกับใครก็จริง แต่แน่นอนว่าเขาเคยเตรียมอ่าง
เพราะฉะนั้นการรองน้ำอุ่นหรือผสมฟองโฟมบาธบอมบ์ย่อมไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ แม้จะแปลกใจเล็กน้อยที่ห้องของคนโสดแบบนี้มี
บาธบอมบ์สีหวานอยู่ก็เถอะ
“เสร็จแล้วครับคุณภาคย์” ลองเยี่ยมหน้าออกจากห้องพร้อมแกล้งเรียกเสียงสุภาพปนหยอกเย้าอย่างที่ใช้ในการทำงาน ทว่าห้องรับแขกกลับไร้เงาเจ้าของห้อง
“คุณ” ต้นหอมเดินเข้ามาในห้องนอนเล็กที่ถูกเปิดประตูทิ้งไว้ อีกฝ่ายกำลังนั่งทุบบ่าตัวเองอยู่บนเตียง
“เสร็จแล้วเหรอ” กัษษภาคย์ลุกยืนขึ้น ทว่าคนเด็กกว่ากลับตรงเข้ามากดไหล่เขาเป็นเชิงให้นั่งต่อ
“ผมนวดให้ไหม”
“ไม่เป็นไร รีบอาบน้ำนอนดีกว่า”
“ให้ไปนวดในอ่างก็ได้นะ” พูดทีเล่นทีจริงพลางแกล้งม้วนปอยผมทิพย์ ทว่าอัลฟ่าตรงหน้ากลับกระตุกยิ้มน้อย ๆ กลับมา
“ก็มาสิ”
ก็เลยต้องตามมาบริการอย่างที่พูดไว้นี่ไง
เขาปล่อยให้อีกฝ่ายลงแช่อ่างไปก่อน ส่วนตัวเองก็ขอตัวออกมาดื่มน้ำส้มรองท้อง กลัวว่าจะเผลออ้วกใส่พ่อของลูกอยู่เหมือนกัน
ต้นหอมกลับมาพร้อมกางเกงขาสั้นที่ม้วนเอวขึ้นไปสูงจนขากางเกงปิดก้นนิดเดียว นั่นก็เพราะว่าเขาตั้งใจจะนั่งที่ขอบอ่างเพื่อคอยนวดให้เจ้านายชั่วคราว
กล้ามเนื้อเรียงตัวสวยของคนในอ่างเล่นเอาเลือดสูบฉีดหนักหน่วง คนเด็กกว่าพยายามเสสายตาไปทางอื่น อยู่ดี ๆ ภาพความทรงจำคืนนั้นก็แทรกทะลักเข้ามาจนเขาเขินอายอย่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย
“คุณ… ขยับไปหน่อย” โอเมก้าว่าขณะหย่อนขาลงในอ่าง พยายามไม่ให้กางเกงเปียก
กัษษภาคย์ขยับตัวตามคำบอก รู้สึกว่าวันนี้อีกฝ่ายยอมอ่อนลงให้เขาเล็กน้อย คิดว่าเปรมคงสอนอะไรกันมา เพราะอย่างนั้นเลยอยากจะรอดูท่าทีคนปากแจ๋วคนนี้ต่อไป
ต้นหอมนั่งลงที่ด้านหลังของชายหนุ่ม สองขากางออกอยู่ด้านหลังอีกฝ่าย บ่ากว้างของเขาพอได้มาเห็นใกล้ ๆ แล้วยิ่งสะท้อนใจ ลูกอัลฟ่าคนนี้จะออกมาเป็นลูกยักษ์ไหมนะ
หวังว่าท้องเขาคงไม่ใหญ่จนลากพื้น
“คุณนี่วุ่นวายจริง ๆ จะทำแฝดทำไมก็ไม่รู้” พูดไปเรื่อยขณะเทสบู่เหลวลงในมือเตรียมใช้ต่างน้ำมันนวด
“อะไรนะ”
“อย่าหันมาสิ ผมจะนวดบ่าให้”
คนแก่กว่าถอนหายใจ ก็คิดอยู่แล้วว่าจะทำตัวดีไปได้สักกี่นาที
แต่น้ำหนักมือกำลังดีพร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ นั่นก็ทำให้ผ่อนคลายจนเผลอเคลิ้ม สบู่ที่ใช้ทุกวันกลับเหมือนมีกลิ่นที่เปลี่ยนไปยามมีกลิ่นของโอเมก้ามาผสม
จริงสิ…
“ทำไมไม่ใส่ปลอกคอ”
“ช่วงนี้กลิ่นไม่ค่อยออกเลยไม่ใส่น่ะ รำคาญตอนอ้วกด้วย”
“ฉันว่าฉันได้กลิ่นนายนะ” ชายหนุ่มพูดเตือน แต่แน่นอนว่าคนอย่าง
เจ้าโอเมก้าคนนี้ไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น
“อืม ผมก็ได้กลิ่นคุณ ก็ใกล้กันขนาดนี้อ่ะนะ”
“ระวังตัวบ้างเถอะ”
“ยังจะให้ระวังอะไรอีก ไม่ทันแล้ว” ต้นหอมหัวเราะ ก้มลงล้างมือหนึ่งรอบพร้อม ๆ กับวักน้ำขึ้นมาล้างบ่ากว้างด้วย
หลังนวดเสร็จเขาก็เตรียมเปลี่ยนเป็นสับถึงได้กลัวสบู่กระเด็นเข้าตา
ต้นหอมยังคงขะมักเขม้นกับการทุบบ่าเหมือนสับหมูต่อไป อยู่ ๆ คำพูดของรุ่นพี่ก็ย้อนเข้ามาในหัว ไม่ใช่เรื่องให้จับผู้ชายคนนี้ แต่เป็นเรื่องที่เขาทำตัวไม่น่ารัก
“ผมไม่น่ารักเหรอ”
“ฮะ?”
“พี่เปรมบอกว่าผมไม่น่ารัก ไม่พูดขอโทษขอบคุณ แถมยังไม่มีหางเสียง”
“...”
“ไม่ตอบแปลว่าใช่สินะ”
“ก็ใช่แหละ”
“แย่จัง แต่เวลาพูดอะไรแบบนั้นก็รู้สึกเหมือนกำลังทำงานอยู่ตลอดเลย”
“หมายความว่าไง”
“ก็กับแขกน่ะ จำเป็นต้องทำตัวอ่อนหวานแบบนั้นตลอดเวลาไง พอนอกเวลาผมเลยขยาด อยากเป็นคนห้าว ๆ” ต้นหอมหัวเราะเสียงใส
“นายนี่มีข้ออ้างกับทุกเรื่องเลยจริง ๆ”
ให้ตายสิ แล้วแบบนี้เขาจะโกรธลงได้ยังไง
“คุณหายเมื่อยหรือยัง”
“อืม”
“งั้นผมขอขึ้นก่อนนะ หนาว ๆ ยังไงไม่รู้”
โดยไม่รอคำอนุญาตเจ้าตัวก็ลุกขึ้น เดินเข้าห้องอาบน้ำสี่เหลี่ยมเพื่อล้างขา แต่ตอนที่ก้มลงไปนั่นชายกางเกงก็เลิกขึ้นสูงจนเห็นบั้นท้ายวับแวม จนกัษษภาคย์ต้องแหวใส่อีกครั้ง
“นี่นายไม่ใส่กางเกงในเหรอ!”
“เห็นเหรอ แย่จัง” โอเมก้าหนุ่มเปลี่ยนเป็นหันหลังเข้ากำแพง “ก็อยู่บ้านใครเขาใส่ชั้นในกันบ้างเล่า”
“แต่นี่…”
“คุณก็อย่าแอบดูสิ แน่ะ หรือว่า…”
“ต้นหอม”
“โอเค ๆ ผมไปนอนก่อน เสร็จแล้วฝากคุณปิดไฟได้เลย”
“...”
“ฝันดีนะครับคุณกัษษภาคย์”
ช่วงเวลาวันหยุดเช่นนี้เป็นวันที่กัษษภาคย์จะได้ตื่นสายกว่าปกติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะสบาย เพราะเขามีหน้าที่ที่ต้องกลับไปทานข้าวที่บ้านทุกวันเสาร์ และแม้จะมั่นใจว่ายังไม่มีใครในบริษัทรู้เรื่องที่เขาพลาดแต่ก็อดกลัวไม่ได้ ที่ผ่านมากัษษภาคย์ไม่มีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้จนต้องโกหกพ่อแม่ และเขาก็เชื่อว่าบุพการีทั้งสองย่อมจับสังเกตได้หากมีอะไรเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย
“อ้าว ตาภาคย์ ทำไมวันนี้มาเร็วล่ะ” มารดาเอ่ยทักเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามายังห้องโถง
“ไม่มีอะไรทำน่ะครับ” เขานั่งลง พยายามไม่สบตาผู้เป็นแม่ เพราะความจริงแล้วสิ่งที่ทำให้ออกจากบ้านแต่เช้าเป็นเพราะกลัวว่าหากใช้ชีวิตอยู่กับโอเมก้าในห้องนาน ๆ ไปแล้วกลิ่นจะติดตัวมา ถึงแม้แม่ของเขาจะเป็นเบต้ากัษษภาคย์ก็ยังกลัว
“พ่อเราเขาไปออกรอบอีกแล้ว ไม่รู้ว่าภาคย์จะมาเร็ว” ณัฐรีเข้ามากอดลูกชาย “ไปห้างฯ กับแม่ไหม”
“ไปก็ได้ครับ”
“ดี ๆ ไปซื้อของกัน อยากกินอะไรเดี๋ยวแม่ทำให้ เอากลับไปกินที่คอนโดฯ ด้วยดีไหม”
และกัษษภาคย์ทำเพียงยิ้มรับไม่หือไม่อืออื่นใด แต่ณัฐรีเพียงคิดว่าลูกชายเหนื่อยล้าจากการทำงานเท่านั้น
“ลำบากแย่เลยสินะ แม่น่าจะมีลูกหลาย ๆ คนไว้ช่วยงานที่บริษัท”
รู้สึกขนลุกขึ้นมายามได้ยินคำว่ามีลูก แต่กระนั้นก็เก็บท่าทีให้สงบก่อนขอแม่ไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อย ซึ่งคุณนายก็ไม่ได้เอะใจ ยังคงมัวแต่ดีใจที่จะได้ใช้เวลากับลูกชาย
เพราะกัษษภาคย์เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง ถึงจะเป็นลูกที่ดีแต่ก็ไม่ใช่คนขี้อ้อน เข้ามาเอาอกเอาใจอย่างที่ผู้ใหญ่แก่ ๆ จะชอบ เธอเองก็เคยพยายามมีลูกสาวด้วยวิธีทางการแพทย์กับสามีตอนเขาอายุได้ราวสิบขวบ แต่ลองเท่าไรก็ไม่ได้ผลจึงล้มเลิก ยิ่งความคิดที่ว่าลูกชายจะมีหลานให้นั้นยิ่งไม่ต้องหวัง กัษษภาคย์ของเธอไม่เคยชอบใครเลยสักคน
แต่เพราะเขาเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง ณัฐรีรู้ดีว่าอย่างไรลูกก็คิดมีทายาทเพื่อสืบทอดธุรกิจ กระนั้นจึงไม่รีบร้อน เป็นผู้ชายค่อยแต่งงานตอนสามสิบก็ยังไม่สาย ช่วงนี้ก็ปล่อยให้ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระไปก่อน เมื่อถึงเวลาที่ต้องบังคับกันจริง ๆ จะได้มีอำนาจต่อรอง