เป็นเวลาสามเดือนแล้วหลังจากที่หมั้นหมายกัน สาวน้อยรับหน้าที่เป็นแม่ครัวส่วนตัวให้ชายหนุ่ม และการที่เขาทำงานที่บ้านซะเป็นส่วนใหญ่นั่นทำให้เธอได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเขามากขึ้น เสียงรถยนต์คันหรูเลี้ยวเข้ามาจอดก็ทำให้เขารู้เลยว่าเป็นใครมาหา
"อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่โภคิน วันนี้คุณลุงคุณป้าไม่อยูหรอคะบ้านเงียบเชียว" คู่หมั้นสาวยิ้มทักทายเขาน้ำเสียงสดใสร่าเริง เวลาที่หญิงสาวมาหาเขาจะวางงานตรงหน้าลงทันทีเพราะอยากให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย
"ครับ วันนี้คุณพ่อคุณแม่ออกไปธุระข้างนอกกัน ว่าแต่วันนี้มีเมนูอะไรให้พี่ทานบ้างครับกำลังหิวอยู่พอดีเลย"
"มีเมนูข้าวต้มปลาค่ะ หอมม๊ากมาก ลองทานดูนะคะว่าถูกปากของพี่ไหม"
"ต้องชิมแล้วล่ะครับว่ารสชาติดีเหมือนกลิ่นหอมๆนี่หรือเปล่า"
"ได้เลยค่ะเดี๋ยวฟองดูว์ตักใส่ถ้วยให้นะคะ" เขามองดูหญิงสาวด้วยความเพลิดเพลินคนตัวเล็กถ้าเป็นงานครัวคล่องแคล่วกว่าใครเลยล่ะ เธอเหมาะจะเป็นแม่ศรีเรือนมากๆถึงแม้จะถ่อมตนกับเขาเสมอว่าเพิ่งหัดทำอาหาร
"เป็นไงบ้างคะ" สาวน้อยตาโตรอฟังคำตอบจากชายหนุ่ม เธอลุ้นทุกครั้งที่ทำอะไรมาให้เขาทานเพราะไม่รู้ว่าเขาจะถูกใจหรือเปล่า
"อืม..." ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นใช้ความคิดส่วนคนที่รอฟังเลยคิ้วขมวดลุ้นตัวโก่งว่าจะได้รับคำตอบอย่างไร
"..."
"อร่อยมากครับ"
"เห้อ นึกว่าจะไม่อร่อยซะแล้ว" คำตอบของเขาทำให้เธอรู้สึกโล่งอกลุ้นมาตั้งนานว่าเขาจะชอบหรือเปล่า แต่ผลออกมาคือชอบนั่นก็ทำให้เธอยิ้มออกแล้ว
"อร่อยสิครับ อร่อยทุกเมนูนั่นแหละ พี่แค่แกล้งเล่นนิดเดียวอย่าทำหน้าเคร่งเครียดขนาดนั้นสิครับพี่รู้สึกผิดนะครับ"
"ปากหวานจังเลยนะคะ วันหลังอย่าแกล้งกันสิคะใจหายใจคว่ำหมด"
"ถ้าอยากรู้ว่าหวานไหมก็ต้องพิสูจน์ ฟองดูว์อยากลองพิสูจน์ไหมละครับ" ชายหนุ่มถามออกไปน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
"บะ บ้า ฟองดูว์กลับก่อนดีกว่าค่ะ"
"จะรีบไปไหนล่ะครับเพิ่งมาไม่ใช่เหรอครับ"
"วันนี้มีธุระค่ะเดี๋ยวต้องไปช่วยพี่ฟอสทำงานด้วย"
"งั้นก็ได้ครับพี่ก็มีธุระเหมือนกัน"
"ค่ะ"
หลังจากที่หญิงสาวตั้งใจทำอาหารให้เขาทานเป็นประจำวันนี้เขาเลยถือโอกาสพาเธอออกมารับประทานอาหารข้างนอกบ้างเพราะเขาอยากให้เธอได้เป็นผู้ทานบ้างไม่ใช่ทำให้เขาทานอย่างเดียว ในร้านค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวเนื่องจากวันนี้มีลูกค้าไม่มากนัก
“ถูกใจไหมครับ”
“ถูกใจที่สุดเลยค่ะ ถูกใจทั้งอาหารแล้วก็คนพามาทานเลย” เธอบอกเขาออกไปน้ำเสียงร่าเริง
“ทะเล้นใหญ่แล้วเรา”
“ฮ่าๆ”
“นี่จะไม่คิดให้พี่จีบเราบ้างเลยหรือไง”
“กะ ก็ไม่รู้สิคะ” หญิงสาวก้มหน้าหงุดด้วยความเขินอายเพราะเวลาที่เขาถามอะไรเธอแล้วยิ้มกรุ่มกริ่มแบบนี้มันทำให้เธอแทบละลาย
“ว่าไงเรา”
“วะ วันหลังพามาอีกได้ไหมคะ ฟองดูว์ชอบ”
“ได้เลยครับ” อาหารที่นี่อร่อยถูกใจหญิงสาวมากๆ เธอเลยอ้อนให้เขาพามาทานอีกในวันหลัง ซึ่งเขาก็รับปากเธอไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรต่อก็มีเรียกเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของชายหนุ่มดังขึ้น
"สายเข้านี่คะ พี่โภคินไม่รับเหรอคะ" ท่าทีของเขาดูลังเล เธอเลยอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงไม่กดรับหรือเพราะเกรงใจเธอที่นั่งอยู่ตรงนี้เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ต้องเกรงใจเธอหรอกคนที่โทรมาคงมีเรื่องสำคัญแน่ๆ
"พี่เกรงใจฟองดูว์น่ะครับ" นั่นไงเป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆด้วย
"ไม่ต้องเกรงใจเลยค่ะพี่รับได้เลยค่ะอาจจะเป็นเรื่องสำคัญก็ได้นะคะ รับเถอะค่ะ"
"งั้นก็ได้ครับ พี่ขอออกไปคุยด้านนอกแปบนึงนะครับ"
"ตามสบายเลยค่ะ" ชายหนุ่มออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกไม่นานก็เข้ามาบอกกับเธอว่ามีธุระด่วนต้องรีบออกไปเพราะเพื่อนของเขาต้องการความช่วยเหลือ แม้ในใจจะแสนเสียดายเวลาทีมีให้กันสองต่อสองแต่เพื่อนของเขาก็คงมีปัญหาจริงๆนั่นแหละสุดท้ายเธอก็ปล่อยให้เขาไปหาเพื่อนโดยไม่อิดออด
"ถึงหน้าบ้านแล้วครับช่วยออกมาเปิดประตูหน่อย"
“ค่ะๆ รอก่อนนะคะ” เบญญารีบเดินไปเปิดประตูให้กับชายหนุ่ม หล่อนรู้สึกขอบคุณเขามากๆที่สละเวลามาช่วยเธอเพราะไม่อย่างนั้นเธอคงต้องใช้ชีวิตในความมืดตลอดทั้งคืน
"ขอบคุณนะคะที่มาช่วย เบญเปลี่ยนมันไม่ได้จริงๆ"
"แน่นอนสิครับงานแบบนี้น่ะของผู้ชาย เรียบร้อยครับสว่างแล้ว" ชายหนุ่มจัดการเพียงไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย
"ขอบคุณค่ะ ถ้าไม่ได้โภคินช่วยคงต้องอยู่มืดๆกันอย่างนี้แน่เลย"
"มีอะไรจะให้ช่วยอีกไหมบอกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจกันไหนๆเราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว" ชายหนุ่มบอกกับอีกฝ่ายยิ้มๆ สถานะเพื่อนระหว่างเขาและเธอทำให้คนทั้งคู่รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
"ไม่มีแล้วล่ะแค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว" หญิงสาวส่ายศีรษะไปมาเบาๆเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือแล้ว หล่อนรู้สึกซาบซึ้งที่เขาสละเวลามาหาเธอจริงๆ
"บอกแล้วไงเราเป็นเพื่อนกันไม่ต้องเกรงใจหรอก"
"ขอบคุณมากจริงๆ"