ตอนที่4

1101 คำ
ในที่สุดนลินก็ต้องจำยอมไปส่งรวีที่บ้าน “ตรงไปแล้วเลี้ยวทางนี้ใช่ไหม?” “ใช่ค่ะ แล้วก็เลี้ยวตรงนี้ด้วย” นลินขับไปตามทางที่รวีบอก “ขอบคุณนะคะคุณนลิน พรุ่งนี้มารับวีด้วยได้ไหมคะ?” “นี่ ได้คืบจะเอาศอกนะ” รวีจึงชูมือถือขึ้นมา “สงสัยพรุ่งนี้ต้องมีคลิปหลุดแน่ ๆ เลยค่ะ ว่าไหมคะคุณนลิน” “พรุ่งนี้หกโมง” “คะ?” “ฉันบอกว่าพรุ่งนี้หกโมง” “ขอบคุณค่ะคุณนลินคนสวย” “ฉันรู้ตัวดีว่าฉันสวย” “ปากก็นุ่ม...” พูดจบรวีเดินหน้าระรื่นเข้าบ้านทันทีปล่อยให้นลินนั่งอึ้งอยู่ในรถคนเดียว กว่านลินจะขับรถมาถึงบ้านก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน “คุณหนูเพิ่งกลับมาเหรอคะ ทำไมวันนี้กลับดึกจังคะ” ป้าน้อยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ค่ะป้า พอดีวันนี้งานยุ่งน่ะค่ะ ลินเลยต้องอยู่เคลียร์งาน เลยดึกไปหน่อย” หลังจากคุยกับป้าน้อยเสร็จแล้วนลินก็ขึ้นไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวนอน แต่ทว่านลินกลับคิดถึงเรื่องที่ปากของเธอสัมผัสกับปากของรวี ถึงมันจะเป็นอุบัติเหตุแต่ก็เป็นอุบัติเหตุที่ทำให้เธอมีอาการใจสั่น ‘ปากก็นุ่ม’ นลินพลิกตัวไปมาบนเตียง เธอไม่สามารถสลัดคำพูดของรวีและภาพเหตุการณ์นั้นออกไปจากความคิดเธอได้เลย นลินจึงลงไปหานมอุ่น ๆ ทาน เผื่อจะได้หลับสบายโดยไม่ต้องคิดเรื่องที่กำลังคิด “ออกมาสิ” [คะ? นี่ใครคะ?] “ฉันอยู่หน้าบ้านแล้ว ออกมาสิ” [คุณนลิน? ค่ะ ค่ะ เดี๋ยววีรีบออกไปค่ะ] “มาเร็วจังเลยนะคะ” “ฉันเป็นคนตรงเวลานะ” “ค่าคุณนลิน เอ๊ะว่าแต่ว่าเมื่อคืนคุณไม่ได้นอนเหรอคะ?” นลินไม่ได้ตอบอะไร แต่ใครมองมาก็รู้ว่าเมื่อคืนเธอพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นแน่ “คุณขับไหวไหม? ให้วีขับให้ไหมคะ?” “ไม่ต้อง ฉันได้นอนพออยู่เพียงแต่ไม่มากพอเท่านั้นเอง ไม่ต้องกลัวตายหรอกน่า ฉันไม่หลับในหรอกนะ” นลินเธอรู้ลิมิตของตัวเองดีว่ายังไม่ถึงขึ้นที่เธอจะขับไม่ไหว “นี่คุณ ขับรถทำไมไม่คาดเข็มขัดล่ะ มันอันตรายนะรู้ไหม” รวีเอี่ยวตัวไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยให้นลิน ทำให้นลินได้สัมผัสถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของรวีหายใจรดต้นคอของเธอเป็นจังหวะ “เรียบร้อย” เมื่อรวีคาดเข็มขัดนิรภัยให้นลินเสร็จก็เพิ่งสังเกตเห็นนลินนั่งนึ่งผิดปกติ “เป็นอะไรคะ? นั่งเกร็งเชียว” “หะ?” “วีบอกว่าเรียบร้อยแล้วค่ะ ไปต่อได้” ระหว่างทางนลินได้แต่นั่งขับรถเงียบ ๆ เธอยังรู้สึกเกร็งกับเรื่องเมื่อครู่อยู่ แต่ตรงกันข้ามกับรวี ที่ไม่รู้ไปอดพูดจากที่ไหนมา เธอพูดตลอดทางไม่มีหยุดพัก ไม่เหนื่อยเลยหรือไงนะ นลินอดสงสัยไม่ได้ เมื่อถึงบริษัทนลินก็เลี้ยวรถเข้าใต้อาคาร แต่วันนี้เธอจะไม่จอดรถในที่ประจำของเธอ เพราะเธอรู้ดีว่ายังไงรวีต้องห้ามเธอเหมือนเช่นวันนั้นแน่นอน นลินจึงวนหาที่จอดรถของพนักงานแทน โชคดีที่วันนี้มีที่ว่างหลายที่ทำให้ไม่เสียเวลาในการหาที่จอดมากนัก . . . . “อรุณสวัสดิ์ทุกคนนนน” รวีกล่าวทักทายเพื่อน ๆ ในออฟฟิศ เธอกล่าวอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน รวีเธอเป็นคนอัธยาศัยดีทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนในบริษัท “วันนี้อารมณ์ดีเชียวนะวี” สุพจน์กล่าวทัก “ก็นิดหน่อยน่ะเจ๊สุ วันนี้มีราชรถมาเกย” เมื่อรวีกล่าวทักทายทุกคนเสร็จปรีดาก็เดินเข้ามาในบริษัทพอดี “วันนี้พายุต้องเข้าแน่เลยว่ะ ไอ้ดามาทำงานเช้าเว้ย” รวีแซวทันทีเมื่อเห็นปรีดาเข้าบริษัทเวลานี้ ปกติปรีดาจะเข้างานตรงเวลาเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกินและค่อนข้างจะกลับก่อนเป็นคนแรกเสียด้วย “นั้นสิทำไมมาเร็วนักวะนังดา สงสัยวันนี้ฟ้าจะรั่ว น้ำคงจะท่วมกรุงเทพฯ คงจะถึงวันสิ้นโลกแล้ว!” “โห่ เจ๊ก็เวอร์ไป ฉันรู้ว่าทำไมดามันถึงมาเช้าตรู่ขนาดนี้” “ทำไมวะนี? สุพจน์เอ่ยถามชญานีด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เพราะไอ้ดามันต้องรีบมาแก้งานที่คุณนลินสั่งให้แก้ของเมื่อวานให้เสร็จน่ะสิ” “อ้อ เป็นบุคคลที่แจ็คพอตแตกนั้นเอง” “อีพี่นี! อีเจ๊! พูดมากจริง มาช่วยฉันทำเลยนะ” “โอ๊ยยย หยุดเถียงกันได้แล้ว ฉันนี่แหละบุคคลที่โดนแจ็กพอตตัวจริงน่ะ ฉันเอง” “ยังไง/ยังไง/ยังไง” ชญานี สุพจน์และปรีดาประสานเสียงพร้อมกัน “เมื่อวานฉันเคลียร์เอกสารที่แกทำเหลือทั้งหมดหมดแล้ว” เมื่อได้ยินคำตอบดังนั้นทุกคนยิ่งทำหน้าสงสัยเพิ่มขึ้นอีก “ไม่ต้องทำหน้าสงสัยเลย มา! นั่ง ๆ ฉันจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด” รวีเลยเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้พวกคนขี้เผือกทั้งสามฟัง เมื่อทั้งสามได้ฟังเสร็จก็ร้องอ๋อแล้วตามด้วยสีหน้าบ่งบอกว่า ‘ซวยจริง ๆ ไอ้วี’ มีแต่ปรีดาที่มีสีหน้าเพิ่มจากคนอื่นนั่นคือ ‘โชคดีจริง ๆ ที่มีคนทำต่อให้’ เมื่อทุกคนหายสงสัยแล้วก็แยกย้ายกันไปทำงาน เว้นแต่สุพจน์ที่มีอะไรจะพูดต่อ “ยังไงหะไอ้วี คิดจะจีบคุณนลินเหรอ?” สุพจน์กระซิบถามรวี เขาเป็นคนที่รู้เรื่องของรวีมากที่สุดในบริษัท “พูดบ้าไรของเจ๊” “นี่ฉันเป็นใคร ฉันเจ๊สุนะเว้ย แกจะมาโกหกฉันไม่ได้หรอกนะ” สุพจน์รู้อยู่เต็มอกว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ เพราะว่าปกติรวีจะไม่มีทางไปยุ่งกับหัวหน้าแผนกเด็ดขาดถ้าเธอไม่สนใจมากพอ “อือ” รวีไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เลยตอบไปตามตรง ยังไงสุพจน์ก็รู้เกือบทุกเรื่องของเธออยู่แล้ว “จริงจังหรือแค่เล่น ๆ?” สุพจน์ถามต่อ “จริงจังสิเจ๊ คนนี้จริงจัง แต่ก็ต้องดูท่าทีเขาก่อนน่ะเจ๊” “แล้วไงต่อ?” “ก็ไม่แล้วไง ก็แค่ปากแตะกันเฉย ๆ” เมื่อสุพจน์ได้ยินดังนั้นต่อมความเผือกก็เพิ่มทวีคูณ รวีจึงจำเป็นต้องเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้สุพจน์ฟัง “เรื่องบังเอิญ?” “เปล๊า” รวียิ้มกรุ้มกริ่ม....
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม