ในที่สุดนลินก็ต้องจำยอมไปส่งรวีที่บ้าน
“ตรงไปแล้วเลี้ยวทางนี้ใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ แล้วก็เลี้ยวตรงนี้ด้วย”
นลินขับไปตามทางที่รวีบอก
“ขอบคุณนะคะคุณนลิน พรุ่งนี้มารับวีด้วยได้ไหมคะ?”
“นี่ ได้คืบจะเอาศอกนะ”
รวีจึงชูมือถือขึ้นมา
“สงสัยพรุ่งนี้ต้องมีคลิปหลุดแน่ ๆ เลยค่ะ ว่าไหมคะคุณนลิน”
“พรุ่งนี้หกโมง”
“คะ?”
“ฉันบอกว่าพรุ่งนี้หกโมง”
“ขอบคุณค่ะคุณนลินคนสวย”
“ฉันรู้ตัวดีว่าฉันสวย”
“ปากก็นุ่ม...”
พูดจบรวีเดินหน้าระรื่นเข้าบ้านทันทีปล่อยให้นลินนั่งอึ้งอยู่ในรถคนเดียว
กว่านลินจะขับรถมาถึงบ้านก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน
“คุณหนูเพิ่งกลับมาเหรอคะ ทำไมวันนี้กลับดึกจังคะ”
ป้าน้อยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ค่ะป้า พอดีวันนี้งานยุ่งน่ะค่ะ ลินเลยต้องอยู่เคลียร์งาน เลยดึกไปหน่อย”
หลังจากคุยกับป้าน้อยเสร็จแล้วนลินก็ขึ้นไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวนอน แต่ทว่านลินกลับคิดถึงเรื่องที่ปากของเธอสัมผัสกับปากของรวี ถึงมันจะเป็นอุบัติเหตุแต่ก็เป็นอุบัติเหตุที่ทำให้เธอมีอาการใจสั่น
‘ปากก็นุ่ม’
นลินพลิกตัวไปมาบนเตียง เธอไม่สามารถสลัดคำพูดของรวีและภาพเหตุการณ์นั้นออกไปจากความคิดเธอได้เลย นลินจึงลงไปหานมอุ่น ๆ ทาน เผื่อจะได้หลับสบายโดยไม่ต้องคิดเรื่องที่กำลังคิด
“ออกมาสิ”
[คะ? นี่ใครคะ?]
“ฉันอยู่หน้าบ้านแล้ว ออกมาสิ”
[คุณนลิน? ค่ะ ค่ะ เดี๋ยววีรีบออกไปค่ะ]
“มาเร็วจังเลยนะคะ”
“ฉันเป็นคนตรงเวลานะ”
“ค่าคุณนลิน เอ๊ะว่าแต่ว่าเมื่อคืนคุณไม่ได้นอนเหรอคะ?”
นลินไม่ได้ตอบอะไร แต่ใครมองมาก็รู้ว่าเมื่อคืนเธอพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นแน่
“คุณขับไหวไหม? ให้วีขับให้ไหมคะ?”
“ไม่ต้อง ฉันได้นอนพออยู่เพียงแต่ไม่มากพอเท่านั้นเอง ไม่ต้องกลัวตายหรอกน่า ฉันไม่หลับในหรอกนะ”
นลินเธอรู้ลิมิตของตัวเองดีว่ายังไม่ถึงขึ้นที่เธอจะขับไม่ไหว
“นี่คุณ ขับรถทำไมไม่คาดเข็มขัดล่ะ มันอันตรายนะรู้ไหม”
รวีเอี่ยวตัวไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยให้นลิน ทำให้นลินได้สัมผัสถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของรวีหายใจรดต้นคอของเธอเป็นจังหวะ
“เรียบร้อย” เมื่อรวีคาดเข็มขัดนิรภัยให้นลินเสร็จก็เพิ่งสังเกตเห็นนลินนั่งนึ่งผิดปกติ “เป็นอะไรคะ? นั่งเกร็งเชียว”
“หะ?”
“วีบอกว่าเรียบร้อยแล้วค่ะ ไปต่อได้”
ระหว่างทางนลินได้แต่นั่งขับรถเงียบ ๆ เธอยังรู้สึกเกร็งกับเรื่องเมื่อครู่อยู่ แต่ตรงกันข้ามกับรวี ที่ไม่รู้ไปอดพูดจากที่ไหนมา เธอพูดตลอดทางไม่มีหยุดพัก
ไม่เหนื่อยเลยหรือไงนะ นลินอดสงสัยไม่ได้
เมื่อถึงบริษัทนลินก็เลี้ยวรถเข้าใต้อาคาร แต่วันนี้เธอจะไม่จอดรถในที่ประจำของเธอ เพราะเธอรู้ดีว่ายังไงรวีต้องห้ามเธอเหมือนเช่นวันนั้นแน่นอน นลินจึงวนหาที่จอดรถของพนักงานแทน โชคดีที่วันนี้มีที่ว่างหลายที่ทำให้ไม่เสียเวลาในการหาที่จอดมากนัก
.
.
.
.
“อรุณสวัสดิ์ทุกคนนนน”
รวีกล่าวทักทายเพื่อน ๆ ในออฟฟิศ เธอกล่าวอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน รวีเธอเป็นคนอัธยาศัยดีทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนในบริษัท
“วันนี้อารมณ์ดีเชียวนะวี”
สุพจน์กล่าวทัก
“ก็นิดหน่อยน่ะเจ๊สุ วันนี้มีราชรถมาเกย”
เมื่อรวีกล่าวทักทายทุกคนเสร็จปรีดาก็เดินเข้ามาในบริษัทพอดี
“วันนี้พายุต้องเข้าแน่เลยว่ะ ไอ้ดามาทำงานเช้าเว้ย”
รวีแซวทันทีเมื่อเห็นปรีดาเข้าบริษัทเวลานี้ ปกติปรีดาจะเข้างานตรงเวลาเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกินและค่อนข้างจะกลับก่อนเป็นคนแรกเสียด้วย
“นั้นสิทำไมมาเร็วนักวะนังดา สงสัยวันนี้ฟ้าจะรั่ว น้ำคงจะท่วมกรุงเทพฯ คงจะถึงวันสิ้นโลกแล้ว!”
“โห่ เจ๊ก็เวอร์ไป ฉันรู้ว่าทำไมดามันถึงมาเช้าตรู่ขนาดนี้”
“ทำไมวะนี?
สุพจน์เอ่ยถามชญานีด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เพราะไอ้ดามันต้องรีบมาแก้งานที่คุณนลินสั่งให้แก้ของเมื่อวานให้เสร็จน่ะสิ”
“อ้อ เป็นบุคคลที่แจ็คพอตแตกนั้นเอง”
“อีพี่นี! อีเจ๊! พูดมากจริง มาช่วยฉันทำเลยนะ”
“โอ๊ยยย หยุดเถียงกันได้แล้ว ฉันนี่แหละบุคคลที่โดนแจ็กพอตตัวจริงน่ะ ฉันเอง”
“ยังไง/ยังไง/ยังไง”
ชญานี สุพจน์และปรีดาประสานเสียงพร้อมกัน
“เมื่อวานฉันเคลียร์เอกสารที่แกทำเหลือทั้งหมดหมดแล้ว”
เมื่อได้ยินคำตอบดังนั้นทุกคนยิ่งทำหน้าสงสัยเพิ่มขึ้นอีก
“ไม่ต้องทำหน้าสงสัยเลย มา! นั่ง ๆ ฉันจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด”
รวีเลยเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้พวกคนขี้เผือกทั้งสามฟัง เมื่อทั้งสามได้ฟังเสร็จก็ร้องอ๋อแล้วตามด้วยสีหน้าบ่งบอกว่า ‘ซวยจริง ๆ ไอ้วี’ มีแต่ปรีดาที่มีสีหน้าเพิ่มจากคนอื่นนั่นคือ ‘โชคดีจริง ๆ ที่มีคนทำต่อให้’
เมื่อทุกคนหายสงสัยแล้วก็แยกย้ายกันไปทำงาน เว้นแต่สุพจน์ที่มีอะไรจะพูดต่อ
“ยังไงหะไอ้วี คิดจะจีบคุณนลินเหรอ?”
สุพจน์กระซิบถามรวี เขาเป็นคนที่รู้เรื่องของรวีมากที่สุดในบริษัท
“พูดบ้าไรของเจ๊”
“นี่ฉันเป็นใคร ฉันเจ๊สุนะเว้ย แกจะมาโกหกฉันไม่ได้หรอกนะ”
สุพจน์รู้อยู่เต็มอกว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ เพราะว่าปกติรวีจะไม่มีทางไปยุ่งกับหัวหน้าแผนกเด็ดขาดถ้าเธอไม่สนใจมากพอ
“อือ”
รวีไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เลยตอบไปตามตรง ยังไงสุพจน์ก็รู้เกือบทุกเรื่องของเธออยู่แล้ว
“จริงจังหรือแค่เล่น ๆ?”
สุพจน์ถามต่อ
“จริงจังสิเจ๊ คนนี้จริงจัง แต่ก็ต้องดูท่าทีเขาก่อนน่ะเจ๊”
“แล้วไงต่อ?”
“ก็ไม่แล้วไง ก็แค่ปากแตะกันเฉย ๆ”
เมื่อสุพจน์ได้ยินดังนั้นต่อมความเผือกก็เพิ่มทวีคูณ รวีจึงจำเป็นต้องเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้สุพจน์ฟัง
“เรื่องบังเอิญ?”
“เปล๊า”
รวียิ้มกรุ้มกริ่ม....