หลังจากเด็ก ๆ เดินออกไปนางก็เข้าครัว ต้มกระดูกหมู ใส่เกลือลงไปจากนั้นก็เข้าไปสำรวจในบ้านเสียหน่อย ข้างเอวมีกระบุงที่จางจิ้งนำมาให้ เดินผ่านห้องโถงที่กำลังเปิดหน้าต่างรับลมเข้ามาในห้องนอน
ห้องของนางกับสามีเยว่ซินคนก่อนนั้นขนาดใหญ่กว่าห้องเด็ก ๆ เล็กน้อยเท่านั้น มีเตียงเก่า ๆ ฟูกเก่า ๆ ตู้เสื้อผ้า หีบใส่ผ้าและโต๊ะที่มีกระจกเหลืองอันเล็ก เหมือนกระจกพกพาขนาดเท่าฝ่ามือ เยว่ซินหอบมาจากบ้านเชียวถึงมีกระจกใช้ สินเดิมไม่เอามาแต่เอากระจกกับตั๋วเงินใบหนึ่งติดตัวมา
ร่างบางวางตะกร้าลงบนเตียงเปิดดูว่าพี่สาวและสหายมอบสิ่งใดให้บ้าง หากสลักสำคัญต้องจัดการนางจะทำในตอนนี้ แต่หากไม่แล้วจะวางมันไว้ก่อน พรุ่งนี้ขายของเสร็จยามเช้ามีเวลาค่อยมาค้นดูอีกรอบ
“นี่คือสิ่งใดกัน” แผ่นผ้าสีขาวถูกหยิบขึ้นมาดูด้วยความสงสัยใคร่รู้ ในความทรงจำของจางเยว่ซินย่อมไม่รู้จักมัน แต่ไม่นานก็รู้ได้จากความทรงจะของเยว่ซินสะใภ้บ้านผิงว่านี่คือผ้ารองระดูหรือผ้าอนามัยนั่นเอง
รู้เช่นนั้นแล้วจึงนำเก็บใส่หีบเอาไว้ ห่อยาวางไว้ข้างตัวเพื่อจะได้นำออกไปด้านนอก ที่เหลือเป็นเสื้อผ้าและผ้าสี่เหลี่ยมสามผืน เยว่ซินคิดว่าจะใช้เป็นผ้าเช็ดหน้า ปกตินางมักจะมีผ้าเอาไว้เช็ดหน้าเช็ดตาบุตรชายอยู่แล้ว
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้จัดการตอนนี้จึงวางกระบุงไว้ข้างตู้เดินออกไปทำอาหารต่อ ก๋วยจั๊บนั้นทำไม่ยาก แป้งมันผสมกับแป้งข้าวเหนียวใส่น้ำร้อนนวดจนได้แป้ง ขึงให้เป็นแผ่นทบกันแล้วหั่นเป็นเส้นบาง ๆ จะได้เส้นสดนำไปต้ม
ใส่น้ำต้มกระดูกหมูหอม ๆ และเลือดไก่ ใส่กระเทียมเจียว ใส่หอม เท่านี้ก็เสร็จแล้วอาหารมื้อเย็น จะยุ่งยากอันใด ว่าแล้วก็ลงมือทำทันทีจะได้เสร็จไว ๆ เพราะไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างเช่นโลกก่อน
ด้านเด็ก ๆ ตอนนี้เดินใกล้จะถึงหน้าหมู่บ้านเต็มทีแล้ว ค่อย ๆ ขยับแจกจ่ายท่านลุงท่านป้าและรอฟังว่าพวกเขาชิมแล้วอร่อยหรือไม่
“อร่อยมากอาเฉิน ขอบคุณพวกเจ้าที่นำมาให้ป้ากับลุง”
“พวกเราและท่านแม่ยินดีขอรับ” ทั้งห้าคนยิ้มรับก่อนจะเดินแจกมาถึงบ้านท่านลุงฮั่ว ตอนนี้แจกจ่ายเกือบครบทุกบ้านแล้ว บางคนยังไม่กลับมาที่บ้านพวกเขาย่อมฝากไว้กับท่านป้าข้างบ้านก่อน
ตะกร้าที่ใส่ของมาตอนนี้เหลือเพียงจางจิ้งที่ยังมีฟักทองไข่อยู่ อาถงวิ่งไปขอถ้วยจากท่านป้ากลับมาหาจิ้งเกอ จางจิ้งก็ใช้ทัพพีตักใส่ถ้วยอย่างชำนาญ เด็กน้อยก็วิ่งนำกลับไปให้คนที่นั่งรออยู่บนแคร่
“ท่านลุงลองชิมดูได้หรือไม่ขอรับ ท่านแม่คิดว่าอาจจะทำขาย” มู่เฉินไม่ลืมสิ่งที่ท่านแม่ฝากมา สอบถามทุกคนว่ารสชาติเป็นเช่นไร ซึ่งที่ผ่านมาหลังจากทุกคนชิมดูแล้วต่างบอกว่าอร่อย แต่ก็ต้องรอฟังจากปากของทุกคนเช่นเดิม
“ได้ ๆ” หัวหน้าหมู่บ้านรีบตักชิมทันทีที่อาเฉินบอกว่ามารดาจะทำขายหากมันอร่อย หากทำขายพวกเขาก็จะมีเงิน มีเงินเด็ก ๆ ก็จะไม่อดอยาก ทันทีที่ตักเข้าปากชายวัยสี่สิบห้าก็เบิกตากว้างรีบตักให้ภรรยาที่นั่งอยู่ข้างกายชิมด้วยความกระตือรือร้น
“ไข่และฟักทองเข้ากันยิ่งนัก ไม่หวานมากเกินไป รสชาติของฟักทองพวกเขาเองก็พึ่งเคยลิ้มลองไม่คิดว่าจะอร่อยมากเพียงนี้”
“อร่อย ทำขายเลยอาเฉิน อร่อยจริง ๆ ป้ามิได้กล่าวเพียงต้องการยกยกอาซิน” ท่านป้าย้ำให้พวกเรามั่นใจตักกินอีกคำหลับตาพริ้ม รสชาติดีจริง ๆ หากขายต้องขายได้แน่ ๆ
“อร่อยจริงหรือขอรับท่านป้า” หยู่ถงตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างกายท่านลุงท่านป้าเอ่ยถามอีกครั้งเหมือนไม่มั่นใจขยับเข้าไปหาท่านลุงใกล้กว่าเดิม เห็นอย่างนั้นหัวหน้าหมู่บ้านก็ตักกินอีกคำยืนยันคำพูดตนเอง
“จริงสิอาถง มารดาเจ้าทำอร่อยจริง ๆ”
“เช่นนั้นขอข้าพิสูจน์ได้หรือไม่ขอรับ ในท้องข้ามันละลายหมดแล้ว” หยู่ถงยิ้มแหยพลางลูบท้องตัวเอง กลิ่นของกินลอยเตะจมูกเขาอยู่ตลอดไม่หิวก็คงแปลก ด้านครอบครัวท่านลุงฮั่วก็หัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู
“ฮ่าฮ่าฮ่า ได้ ๆ” ท่านลุงฮั่วตักฟักทองและเนื้อไข่ป้อนเข้าปากหลานชายอย่างอารมณ์ดี เด็กน้อยหลับตาพริ้มเคี้ยวเต็มแก้ม
แต่เหล่าพี่ชายทั้งสามกำลังตบหน้าผากตนเองอย่างหนักใจ ท่านลุงเป็นบ้านหลังที่สี่แล้วที่อาถงทำเช่นนี้ ยังไม่อิ่มอีกหรือ
“อาถงมาได้แล้ว” มู่เฉินกวักมือเรียกน้องชายกลับมา กินไปตั้งมากแล้วยังไปขอกินกับผู้อื่น เมื่อถูกพี่ใหญ่ทำหน้าบึ้งใส่เด็กน้อยก็วิ่งไปกอดอีกฝ่ายออดอ้อนกลัวพี่ใหญ่จะดุเอา
“คิกคิก”
“กลับดีๆ เล่า อาจิ้งอาเฉียงกินของในตะกร้าเจ้าไปครึ่งชิ้นแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”
“เจ้าเด็กนี่” จางจิ้งผลักศีรษะน้องชายออกไป สองคนนี้เหมือนลิงหิวยังไงไม่รู้ วิ่งเกาะแขนเกาะขาขอกินตลอดทาง พี่ใหญ่เช่นเขาจึงอุ้มทั้งสองขึ้นมานั่งเฝ้าของในรถเข็นเพื่อจะได้กลับเสียทีตอนนี้ก็เย็นแล้ว
ตอนนี้พวกเราอยู่หน้าหมู่บ้าน และบ้านของพวกเราอยู่หลังหมู่บ้าน เพราะเป็นตระกูลนายพรานจึงสร้างบ้านเรือนอยู่ติดป่า ทั้งห้าเดินกลับมาถึงท้ายหมู่บ้านก็ค่ำแล้ว อาถงและอาเหลียงกำลังตักกินฟักทองไข่ที่เหลืออยู่หนึ่งชิ้นอย่างเอร็ดอร่อยมีพี่ชายเข็นรถให้ไม่ต้องเดินเอง
ฟักทองไข่กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ เหมือนเป็นของคาวก็มิใช่ ของหวานก็ไม่เชิง แต่กินแล้วอร่อยทั้งยังอิ่มท้อง
มาถึงบ้านท่านปู่มู่เฉินก็อุ้มน้องชายลงเอาของใส่กระบุงแบกใส่หลังจะได้ไม่ต้องยืมรถเข็นท่านปู่ไป แยกย้ายกันหน้าบ้านท่านปู่ท่ง หยู่ถงและมู่เฉินทักทายทุกคนสองสามคำก็เดินแยกกลับบ้านของตัวเอง
ทว่าวันนี้เราสองพี่น้องเดินตามกันด้วยรอยยิ้มที่ไม่ค่อยมีใครพบเห็น พี่ใหญ่ก็จับบ่าน้องพาเดิน ส่วนเด็กน้อยอาถงก็มัวแต่กินไม่มองทางเลย ทักทายท่านลุงท่านป้าที่เจอกันไม่นานก็ถึงบ้านแล้ว
“ท่านแม่ กลับมาแล้วขอรับ” สองพี่น้องเดินกลับมาที่บ้านของพวกเรา ควันไฟและกลิ่นหอมของอาหารบ่งบอกว่ามีคนรออยู่ที่บ้านไม่เหมือนที่ผ่านมา ใบหน้าจึงแย้มยิ้มเดินตามกันไปที่ครัวเป็นที่แห่งแรก
“มาแล้วหรือ แม่ทำอาหารเสร็จพอดี” เยว่ซินตะโกนตอบเจ้าใหญ่ นางกำลังเก็บผ้าอยู่ เมื่อครู่นี้พึ่งทำอาหารทำความสะอาดบ้านเสร็จ
มู่เฉินเห็นว่าท่านแม่มิได้หายไปจึงนำตะกร้าไปเก็บ จานที่ใส่สังขยาฟักทองไปก็นำไปล้างทำความสะอาดครู่เดียวก็เสร็จแล้ว พาน้องเดินมาหาท่านแม่ที่ราวตากผ้าหลังบ้าน
เยว่ซินเก็บเสื้อผ้าที่นางตากเอาไว้พับใส่ตะกร้าค่อยไปแยกในเรือน เห็นทีวันพรุ่งนี้ต้องนำผ้าห่มและผ้าเช็ดตัวมาซักตากแดดบ้างแล้ว สบู่ซักผ้าสมุนไพรแม้ไม่หอมเช่นน้ำยาปรับผ้านุ่มแต่ไม่เหม็นอับมีกลิ่นสมุนไพรจาง ๆ พับเสื้อตัวสุดท้ายเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เด็ก ๆ
“เช่นนั้นข้าไปหาบน้ำนะขอรับ”
“แม่ถือช่วย ถือคนละมือดีกว่าหาบใส่บ่าเจ้า ไปเถิด” ไม่รอให้บุตรชายได้โต้แย้งนางก็วางตะกร้าผ้าเอาไว้หยิบถังน้ำหยิบไม้หาบเดินไปก่อนลูก นางจะไม่ยอมให้หลังอาเฉินเจ็บไปมากกว่านี้แล้ว
มู่เฉินอ้าปากพะงาบ ๆ วิ่งตามมารดาไป อาถงไม่อยากอยู่บ้านคนเดียวก็วิ่งตามไปเช่นกันไม่อยากห่างจากท่านแม่เลยแม้แต่ชั่วพริบตาเดียวก็ตาม
กลายเป็นว่าบ้านผิงสามแม่ลูกตามกันไปหาบน้ำกันทั้งบ้าน เดินมาถึงแม่น้ำมู่เฉินก็เป็นผ่านลงไปตัก มีท่าน้ำเล็ก ๆ ที่ท่านพ่อทำไว้จึงสะดวกไม่อันตราย ตักน้ำเต็มสองถังมารดาก็แย่งไปสอดใส่ไม้หาบ ชี้ให้เขาจับอีกข้างส่วนนางก็ยกไม้อีกข้าง
“ไปกันเถิด” น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยขึ้น เด็กหนุ่มจึงเดินตามแรงดึงไปอย่างไม่ทันได้คิดสิ่งใด น้ำหนักเบาลงมากจนแทบไม่เหนื่อยเลย ปกติเขาหาบใส่บ่าตลอดสองปี วันนี้มีท่านแม่ช่วยย่อมทำให้มู่เฉินอมยิ้มเบา ๆ ไม่ให้ใครเห็นกลัวจะถูกหยอกล้ออีก
บ่าไม่ต้องแบกน้ำสองถังหนัก ๆ
ใช่แล้ว บ่าของมู่เฉินไม่ต้องแบกรับภาระหนักอึ้งเพียงผู้เดียวเช่นสองปีที่ผ่านมาแล้วเช่นกัน
“แล้วท่านลุงท่านป้าว่าอย่างไรบ้างหรือ” ระหว่างเดินกลับก็ต้องใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ระหว่างสองแม่ลูกมีถังน้ำสองถังอยู่ตรงกลางซึ่งไม่นับว่าหนักอันใด หากมีเงินเหลือเยว่ซินอาจจะซื้อถังน้ำเพิ่มเป็นสี่ถังจะได้ไม่ต้องเดินหลายเที่ยว
ส่วนอาถงนั้นเดินอยู่ด้านหน้า ทำหน้าที่ตรวจสอบทางเดินให้พวกเราซึ่งเด็กน้อยทำหน้าที่ได้ดียิ่งนัก
“ระวังต้นหญ้านะขอรับ” เสียงเล็กตะโกนขึ้นพลางใช้ไม้เล็ก ๆ ชี้ให้ทั้งสองคนด้านหลังดูเพื่อจะได้ระมัดระวังไม่สะดุดล้มได้
“ได้เลยลูกรัก” เยว่ซินพาเจ้าใหญ่เดินหลบต้นหญ้าอย่างขบขันก่อนหันไปขอคำตอบจากบุตรชาย มู่เฉินมัวแต่จมดิ่งกับความคิดตนเองถูกมารดาจ้องก็เหมือนได้สติ
“ทุกคนบอกว่าอร่อยขอรับ หากทำขายพวกเราต้องขายดีแน่นอน”
“พี่ใหญ่ท่านอย่ามัวแต่คุย ระวังก้อนหิน” ใบหน้าเคร่งขรึมหันกลับมาหาพี่ชายพร้อมกับชี้ก้อนหินก้อนใหญ่ให้เฉินเกอดู มัวแต่คุยประเดี๋ยวก็สะดุดล้มร้องไห้มาเขาจะไม่ปลอบคอยดูเถิด
“พี่ชายขอโทษอาถง” มู่เฉินงงงวยเมื่อถูกน้องชายดุ เมื่อครู่นี้ท่านแม่ก็พูดเหตุใดจึงไม่ถูกดุเล่า เยว่ซินถึงกับปิดปากหัวเราะเอ็นดูบุตรชายทั้งสองคน อาถงช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง ไม่รู้นางพูดคำนี้ไปกี่รอบแล้วตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
เดินเสียหลายรอบในที่สุดน้ำก็เต็มตุ่ม ทั้งหลังบ้าน ที่ครัวสำหรับล้างจานชาม และในห้องน้ำสองตุ่ม วันนี้ใช้เวลานานกว่าที่มู่เฉินหาบทุกวันเพราะหาบไปก็พูดคุยกันไปตลอดทาง
ไม่ต้องเร่งรีบเพราะต้องไปทำอาหารต่อเพราะท่านแม่ทำเสร็จแล้ว ไม่ต้องเร่งรีบเพื่อกลับไปซักเสื้อผ้าต่อเพราะท่านแม่ทำเสร็จแล้ว มู่เฉินจึงเดินพูดคุยกับมารดาอย่างสบายใจโดยมีน้องชายเดินอยู่เบื้องหน้าจนฟ้ามืด
เยว่ซินเปิดผ้าขาวบางออกจากตุ่มน้ำหลังบ้าน นางมัดขึงปากตุ่มเอาไว้หลังจากขัดถูให้สะอาด เทน้ำลงไปก็จะถูกกรอง วันพรุ่งนี้ค่อยนำไปต้ม
แต่ส่วนที่นางต้มเสร็จแล้วอยู่ไหเล็ก มีกระบวยตักกินจะได้ไม่มีเชื้อโรคเข้าร่างกาย แม่น้ำไหลจากหลายหมู่บ้านก่อนจะมาถึงเราไม่รู้ผ่านสิ่งใดมาบ้าง
อาถงรับถ้วยสังขยาฟักทองมากินรอพี่ใหญ่ นี่คือรางวัลที่ช่วยท่านแม่ทำงาน มู่เฉินนำถังน้ำไปเก็บก็เดินมานั่งกินกับน้องชายมองมารดาเดินดูพื้นที่รอบบ้านเงียบ ๆ
ผู้เป็นแม่ตอนนี้กำลังเดินสำรวจพื้นที่อีกรอบว่าจะทำอะไรดี และที่นานั้นจะทำอะไรกับมันดี แม้ดินจะไม่ดีก็ยังเหลือที่ดินอยู่ ไม่ปลูกข้าวก็สร้างโรงเรือนได้มิใช่หรือ
หากสนใจเอาดีทางด้านเกษตรนางอาจจะหาเงินเพื่อทำเล้าไก่ ขุดสระเลี้ยงปลาหรือทำโรงเรือนปลูกผักบนที่ดินแทน แต่กิจการเองก็ต้องทำเพราะนั่นคือบ่อเงินที่จะทำให้เรามีเงินใช้ชีวิตสบายปลูกผักเลี้ยงไก่อยู่บ้านอย่างไรเล่า
และทุกอย่างต้องเริ่มจากการหาเงินเข้าบ้านเช่นเดิม เยว่ซินจึงเดินกลับไปหาลูกชายที่นั่งกินสังขยาฟักทองอยู่
“พรุ่งนี้เราลองทำสังขยาฟักทองไปขายที่ตลาดดีหรือไม่”
“ดีขอรับ” สองพี่น้องตอบมารดาอย่างรวดเร็วแทบไม่ต้องคิด ของอร่อยเพียงนี้ต้องขายได้อย่างแน่นอนจะช้าอยู่ไย ท่านแม่ว่าดีพวกเขาย่อมสนับสนุนทำตาม
“เช่นนั้นเจ้าพาอาถงไปอาบน้ำหากกินเสร็จแล้ว แม่จะเข้าไปดูข้าวของในครัว อาบเสร็จจะได้กินข้าว พรุ่งนี้เราอาจต้องตื่นเช้าหน่อย เราลองขายสักเดือนเถิด”
“ขอรับ” มู่เฉินพยักหน้า เห็นสีหน้าเป็นห่วงของมารดายิ่งทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมไม่อยากให้นางรู้สึกแย่ที่พวกเราต้องทำงานหนัก ปกติเขาก็ตื่นเช้าอยู่แล้ว
ทั้งสองแบ่งหน้าที่กันโดยมีอาถงนั่งฟังอยู่ พรุ่งนี้เขาย่อมได้ไปขายของอร่อยกับท่านแม่และพี่ใหญ่อย่างแน่นอน คิดเช่นนั้นสองพี่น้องก็รู้สึกกระตือรือร้นอยากให้ถึงพรุ่งนี้โดยเร็ว กินเสร็จก็เดินตามกันไปอาบน้ำ
ด้านเยว่ซินที่เดินเข้ามาในครัวก็สำรวจข้าวของเพราะเวลาที่กระชั้นชิดนางจึงต้องรีบวางแผน อาจจะเป็นการตัดสินใจที่รวดเร็วเกินไปแต่นางจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดเป็นอันขาด ฟักทองเหลืออยู่สิบลูกเลยทีเดียว มะพร้าวเหลืออยู่หลายลูก ไข่เองก็เหลือ
หากพรุ่งนี้ตื่นมาทำแต่เช้าคงต้องตื่นเช้าน่าดู แต่จะทำเช่นไรได้ แทบไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ยังดีที่มะพร้าวนั้นปอกเปลือกออกหมดแล้วเหลือเพียงผ่า
ฟักทองลูกใหญ่หนึ่งลูกหั่นเป็นชิ้นได้แปดชิ้นเท่า ๆ กัน หากนางใส่ไข่ประมาณยี่สิบฟองถึงสามสิบฟอง เน้นไปทางกะทิมากกว่าเพราะไม่ต้องซื้อ
ก็ประมาณสี่สิบอีแปะถึงหกสิบอีแปะ รวมเครื่องปรุงแล้วต้นทุนประมาณหนึ่งร้อยอีแปะ รองเท้าอาถงและอาเฉินคู่ละหนึ่งร้อยอีแปะ รวมแล้วฟักทองสิบลูกต้องขายให้ได้สามร้อยอีแปะเป็นอย่างต่ำ
“ชิ้นละห้าอีแปะก็คงไม่ถูกไม่แพงเกินไป” เยว่ซินพึมพำออกมาเบา ๆ หากขายหมดจะได้ประมาณ สี่ร้อยอีแปะเชียว แต่เผื่อเอาไว้แบ่งให้ชาวบ้านชิมก่อนตัดสินใจซื้อ เผื่อแบ่งให้ท่านป้าร้านข้าง ๆ เพื่อผูกมิตร
เก็บไว้กินเองและแบ่งให้บ้านอัน คงได้ประมาณสามร้อยกว่าอีแปะก็ไม่แย่เท่าใด ซื้อรองเท้าได้ก็พอแล้ว ถือว่าลองตลาดดูไม่คาดหวังกำไรมากเพียงนั้น ไม่ขาดทุนก็พอแล้ว