ท้องฟ้าดำมืดลมพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตรงลานหน้าบ้านที่เป็นดินร่วนมีฝุ่นคลุ้งตลบไปทั่ว บ่งบอกว่าอีกไม่นานพายุฝนกำลังจะมา
ชายร่างใหญ่ผิวสีเข้มเพราะกรำแดดกำลังอ้อนวอนเมียรักปานจะขาดใจ ‘เกสรอย่าไปเลยนะ ถ้าเอ็งไปแล้วพี่กับลูกจะอยู่ยังไง’ เขานั่งคุกเข่าลงกับลานดินหน้าบ้านจนหัวเข่าและหน้าแข้งเปื้อนดินไปหมด แต่เขาก็หาได้สนใจไม่ มือใหญ่เกาะอยู่ที่ขาฝ่ายหญิง
‘ปล่อยให้ฉันไปได้ดีเถอะนะพี่ เราจบกันแค่นี้ดีกว่า ฉันเกลียดความลำบาก เกลียดความยากจน’ เกสรสรพูดเหมือนไม่ไยดี ขาทั้งสองพยายามสะบัดมือของเขาออกแรง แต่มือเขาเหนียวหนึบราวกับตีนตุ๊กแก เธอจึงใช้มือช่วยแกะและเอ่ยคำที่คิดว่าเขาจะยอมปล่อยเธอไปดี ๆ ‘ฉันไม่ได้รักพี่แล้ว เราจะอยู่กันไปเพื่ออะไร’
มือที่เกาะขาเธอแน่นชะงักและค่อย ๆ คลายออก ‘เวลาไม่ถึงเดือนที่เอ็งเจอมัน เอ็งกล้าพูดคำนี้กับพี่แล้วรึ’
‘หึ ฉันรู้จักตัวฉันดี เวลาไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับความรัก’ เธอยังยืนยันที่จะไปจากชีวิตเขาให้ได้
‘ฮือ ๆ ฮึก แล้วเอ็งไม่เห็นแก่ลูกของเราเหรอเกสร ทำไมเอ็งถึงได้ตัดความสัมพันธ์กับพี่ได้ง่ายดายนัก’ เขาพูดพลางสะอื้นจนอกสั่น เกิดมาเพิ่งเคยเสียน้ำตาให้ผู้หญิง
‘คนเราก็ต้องรักตัวเองก่อนไม่ใช่หรือคะ’ เกสรสลัดขาออกจากการเกาะกุมของเขาได้สำเร็จ สายตามองดูชายตรงหน้าด้วยความสมเพชแกมดูแคลน แววตาว่างเปล่าจนเขาเองมองไม่เห็นเยื่อใยของความรักหลงเหลือในดวงตาคู่นั้นแม้แต่เส้นเดียว
ต่างฝ่ายต่างเงียบเหมือนกำลังใช้ความคิดกันทั้งคู่ แต่มันก็คงสวนทางกัน
เขายังนั่งเกลือกกลั้วอยู่กับพื้นดินหน้าบ้านเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังยืนหันหลังให้โดยไม่สนใจความรู้สึกของสามีที่อยู่กินมาร่วมสิบปีเลยแม้แต่น้อย
เกือบสองนาทีเท้าซ้ายของเกสรจึงก้าวออกไป แต่ก็มีเสียงดังขึ้นตามหลัง
‘ถ้าเอ็งก้าวขาพ้นจากเรือนหลังนี้ไปแล้ว ฉันจะถือว่าเราสองคนจบสิ้นกันทุกอย่างแค่นี้ สิทธิ์เรื่องลูกจะเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียว และฉันจะถือว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน’ เขาละล่ำละลักพูดออกมาด้วยความเสียใจ น้ำหูน้ำตาไหลอาบเต็มหน้า จากที่เคยแทนตัวว่าพี่เขาก็ไม่คิดจะใช้มันอีก
‘ฉันก็อยากให้เป็นเช่นนั้น’ เกสรกล่าวอย่างไร้เยื่อใยและไม่หันหลังกลับไปมองเขาอีก เธอรีบวิ่งไปที่รถยนต์ที่จอดรอเธออยู่หน้าบ้านเพราะฝนกำลังเริ่มลงเม็ดห่าง ๆ
ก่อนเธอจะปิดประตูรถ เขาตะโกนเรียกชื่อเธออีกครั้งราวกับเจ็บปวดนักหนา ‘เกสร!’ พร้อมทั้งสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
รถยนต์ค่อย ๆ เคลื่อนออกไปจากหน้าบ้านที่มีเพียงไม้ไผ่ลำเก่า ๆ สร้างเป็นรั้วกั้น เกสรมองดูชายที่เคยเป็นสามีนั่งคุกเข่าตากฝนด้วยสายตาเย็นชา เธอไม่มีแม้แต่ความสงสารให้เขา
เหงื่อเม็ดโตผุดพรายขึ้นตามไรผมและหน้าผากแม้จะนอนในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ดวงหน้าเนียนสะบัดไปมาคล้ายกำลังฝันร้าย
“เกสร!”
กชกรสะดุ้งตื่นดีดตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อเกสรแว่วเข้ามาในหูเสียงดัง สายตามองไปรอบห้อง เมื่อรู้ว่าเป็นเพียงแค่ความฝันก็รู้สึกคลายกังวลลง
เธอผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ “เกสรอย่างนั้นหรือ” กชกรพึมพำออกมาเสียงแผ่ว เมื่อรู้ว่าตัวเองฝันเป็นเรื่องเป็นราว ผู้หญิงในฝันหน้าตาคล้ายกับเธอแต่ชื่อเกสร “ผู้ชายคนนั้นเป็นสามีของเธออย่างนั้นหรือ” ภาพของผู้ชายที่นั่งคุกเข่าตากฝนยังจำติดตา เมื่อคืนเธออาจจะนอนร้องไห้มากเกินไปเพราะเพิ่งโดนแฟนหนุ่มหักอกมาจึงทำให้เธอฝันอะไรแปลก ๆ ครั้งนี้ก็ครั้งที่สามแล้วที่เธอโดนนอกใจจากคนรักตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยจนตอนนี้ก็เรียนจบแล้ว ความผิดหวังเรื่องความรักมันก็ยังวนเวียนอยู่แบบเดิมซ้ำ ๆ
กชกรเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาปลุกที่หัวเตียง อีกห้านาทีก็จะถึงเวลาที่เธอตั้งปลุกไว้ วันนี้เธอต้องไปสมัครงานที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี ตำแหน่งเภสัชกร
ร่างอวบขาวสูงราวหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรก้าวขาลงจากเตียงนอน แล้วรีบอาบน้ำแต่งตัว รู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเธอร้องไห้อย่างหนัก หรือเป็นเพราะเธอฝันกันแน่
เธอเดินออกมาจากบ้านทรงโมเดิร์นชั้นครึ่ง แม่กับพ่อกำลังกวาดใบไม้ตรงลานหน้าบ้านที่เทลาดด้วยปูนเป็นทางเดินบางส่วน เมื่อคืนฝนตกหนักและมีลมกรรโชกแรงจึงทำให้ใบไม้ร่วงเกลื่อนพื้น เมื่อคืนในฝันของเธอฝนก็ตกหนักเช่นกัน หรือฝนตกหนักจนเธอเก็บไปปะติดปะต่อกันจนกลายเป็นความฝัน
“แม่คะ พ่อคะ กรไปสมัครงานก่อนนะคะ”
“ไปแต่เช้าจังลูก ยังไม่เจ็ดโมงเลย” ลัดดาเอ่ยถามลูกเพราะบ้านอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลที่ลูกจะไปสมัครงานมากนัก
“กรจะไปหาอะไรกินก่อนน่ะค่ะ และอยากได้คิวแรกด้วยค่ะแม่ อีกอย่างกลัวพี่กฤตไปทำงานสายด้วยค่ะ” กฤตภัทรผู้เป็นพี่ชายก็เดินตามหลังเธอออกมาเช่นกัน
“งั้นก็โชคดีจ้ะ ลูกพ่อเก่งอยู่แล้ว” นายแพทย์สมเกียรติที่อยู่ในวัยเกษียณบอกลูกสาวด้วยความมั่นใจว่าเธอต้องได้ทำงานใกล้บ้านแน่
ผู้เป็นแม่โบกมือให้ลูกทั้งสองเบา ๆ
ขับรถออกมาได้สักพักกชกรก็บอกพี่ชาย “พี่กฤตจอดแถวร้านก๋วยจั๊บญวนก่อนถึงโรงพยาบาลให้กรหน่อยนะคะ”
“จ้ะ แล้วกลับยังไง”
“ไม่นั่งรถสองแถว ก็วินมอไซด์ค่ะ” ถ้าอยากถึงเร็วแต่ต้องทนร้อนหน่อยก็นั่งมอเตอร์ไชด์รับจ้าง แต่ถ้านั่งรอรถสองแถวก็นานหน่อย เพราะรถออกทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง
“อืม” กฤตภัตรไม่ได้ห่วงน้องสาวมากเพราะปกติเธอก็ใช้ชีวิตแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายแล้ว เธอคุ้นเคยกับเมืองอุดรฯ เป็นอย่างดี อีกอย่างเธอก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว
เขาจอดรถตามที่น้องสาวบอกแล้วทั้งสองก็โบกมือร่ำลากัน