Prologue

3401 คำ
"อื้อ อ๊ะ เร็วอีก เร็ว มีแรงแค่นี้รึไงวะ!" "อ๊ะ อร้าย" เสียงคราง เร่งเร้า และบางครั้งก็ตามมาด้วยถ้อยคำด่าทอ ทำให้พนัสสร หรือจี๋ ผู้ร่วมชายคา ต้องวางปากกาในมือลง พร้อมเงยหน้ามองปฏิทิน "ไม่ใช่วันพระ" เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เปิดลิ้นชัก คว้าหูฟังสีขาวขึ้นมา เชื่อมต่อกับสมาร์ฟโฟน ก่อนจะเสียบหู ระดับเสียงเพลงที่ดังสุด จนหูแทบแตก ไม่ดีต่อสุขภาพกายแต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการต้องทนฟัง เสียงครางของ 'เจ๊หลิน' หลังจากจัดการกับเรื่องที่มักจะรกสมองของตัวเองในยามค่ำคืนได้แล้ว ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่ออย่างสบายอารมณ์ ราวกับว่าชินชากับกิจกรรมเข้าจังหวะของสาวใหญ่ใจโต แม้บางครัังจะไม่ได้มีแค่เสียงหล่อนก็ตาม แต่ทำใจให้ชินกับกิจกรรมวันนี้ของเจ๊หลินได้ไม่นาน ก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นอีก พร้อมมองปฏิทินใหม่อีกครั้ง อย่างสงสัย "วันโกนก็ไม่ใช่" ทบทวนกับตัวเองอีกครั้ง เรื่องราวของพวกเราไม่ได้เริ่มที่ตรงนี้ แต่สถานการณ์บีบบังคับเมื่อห้าปีที่แล้วต่างหาก "ไอ้เหี้ย! แน่จริงมึงลงมา ไอ้หน้าตัวเมีย" และอีกสารพัดคำด่าทอออกมาจากปากผู้หญิงที่แต่งตัวแปลก และแปลกยังไง ก็คนปรกติที่ไหน จะใส่ชุดนอนเนื้อบาง พร้อมด้วยโรลม้วนผมที่ยังคงระย้า ดูรุงรังศีรษะ หน้าตาเปรอะเปื้อนด้วยเครื่องสำอาง ที่สภาพดูไม่จืด นั่นคงเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ แถมเท้าเปล่านั่นอีก ฉันไม่อาจละสายตาออกจากหล่อนได้ ไม่ใช่เพราะเสียงด่า หรือการแต่งตัว แต่เป็นเพราะ ฉันเคยรู้จักผู้หญิงคนนั้น จากที่กำลังรอจะข้ามถนน ฉันจึงต้องหยุดนิ่งและยืนดูอยู่ไกลๆ ผู้คนเริ่มให้ความสนใจ แต่ฉันมั่นใจว่าไม่ได้มาจากความเห็นใจ พิสูจน์ได้ด้วยเสียงที่ซุบซิบนินทา ซึ่งเหมือนเป็นการกระตุ้นให้หล่อนยิ่งเพิ่มการกระทำที่รุนแรงไปอีก แถมพ่วงด้วยการทำลายข้าวของ รถหรูที่จอดอยู่หน้าคอนโดในยามค่ำคืนถูกพ่นด้วยสีสเปรย์จนดูไม่จืด แค่นั้นยังไม่พอ หล่อนยังเดินเยื้องย่างอย่างไม่เร่งรีบไปยังกล่องกระดาษเก่าๆ ทรงสูง เพื่อหยิบบางอย่างออกมา แม้จะไม่ได้ดูเร่งรีบ แต่คงเหนื่อยกันบ้าง ฉันสังเกตได้จากไรผมที่เปียกโชก หล่อนลากไม้กอล์ฟเดินวนรอบรถ และไม่ลังเลที่จะฟาดมันลงไปที่กระจก จนร้าว และแตกละเอียด สร้างเสียงฮือฮาให้คนแถวนั้น "พอเถอะเจ๊ กลับบ้านไปเถอะ" และวีรบุรุษผู้กล้าหนึ่งเดียวก็เผยโฉม เขาคือหนุ่มน้อยหน้าใสในชุดเครื่องแบบพนักงานรักษาความปลอดภัย "กูไม่กลับ! มึงไปเรียกมันลงมา" น้ำเสียงดุดันตอบกลับไปนั้นทำให้เขาดูสีหน้าลำบากใจกว่าเก่า รวมถึงทั่วทั้งบริเวรที่ตอนนี้ก็พากันส่ายหัว ในทีแรกก็ที่เผลอโล่งใจ ที่มีใครสักคนเข้าไปหยุดการกระทำที่บ้าคลั่งนั้น แต่ตอนนี้กลับดูแย่ลง เพราะผู้ถูกว่ากล่าวตักเตือน ดันสวนกลับ แถมผู้กล้าก็ดูจะแพ้พ่าย "เขาไม่อยู่ เ**กลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมไปส่ง" เขาเสนอด้วยสีหน้าน่าสงสาร "กูจะกลับก็ต่อเมื่อเจอหน้าไอ้ผู้ชายเฮงซวย! " "ขอร้องนะเจ๊ ผมไหว้ล่ะ ไม่งั้นผมตกงานแน่" เขาถูกลูกบ้านร้องเรียน เป็นหน้าที่ที่พนักงานรักษาความปลอดภัยต้องควบคุมสถานการณ์ แต่หากไม่สามารถทำได้ คงต้องเตรียมหางานใหม่ "เออ! กูไปก็ได้" อย่างน้อยหล่อนก็ยังคงมีหัวคิดอยู่บ้าง มันทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมา "งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง" เขาแสดงน้ำใจ เพราะสภาพหล่อนตอนนี้นั้นน่าเป็นห่วง หากต้องปล่อยให้กลับบ้านคนเดียว "ไม่ต้อง กูไม่ได้มาคนเดียว" ตอบออกไป พร้อมชี้นิ้วมาทางฉัน สายตากลมโตเบิกโพลง ตัวแข็งทื่อ อย่างไม่อยากเชื่อ กับสิ่งที่ได้เห็น หล่อนบอกกับใครๆ ว่ามากันฉัน เพื่อความแน่ใจ ฉันจึงยกนิ้วขึ้นและชี้ที่ตัวเอง บางทีหล่อนอาจจะชี้ไปข้างหลังหรือจำคนผิด คิดไปในแง่นั้นเพื่อสร้างความสบายใจ "ไอ้จี๋! " ฉันทั้งงงและอับอาย จากที่ไม่ชอบแค่เจ๊หลินเพียงคนเดียว กลายเป็นว่าฉันก็ถูกเกลียดไปด้วย สายตาตำหนิติเตียน คงคิดกันว่าฉันคือพวกเดียวกับคนที่มาสร้างความวุ่นวายให้พวกเขา ยิ่งไม่เข้าใจตัวเองและเจ๊หลินไปใหญ่ ที่ยอมมาเป็นคนขับรถให้ และรถคันนั้น ก็คือคันเดียวกับที่ถูกหล่อนทำลาย ทั้งเปื้อนสีและกระจกแตก เศษนั้นยังคงเกลื่อนอยู่ในรถ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้น ให้เราทั้งคู่ต้องตัวติดกันจนถึงตอนนี้ จี๋ หรือ พนัสสร เดินออกจากห้องนอนตัวเองในยามเช้า เมื่อคืนนั้นหลับสบายไปหน่อย จนตื่นสาย "รอคอนเฟิร์มแขกด้วย" เสียงเจ๊หลินบอกอย่างสบายอารมณ์ สายตาหล่อนกำลังจดจ้องไปที่หนังสือพิมพ์ เพื่อเช็คข่าวสารบ้านเมือง พร้อมยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียว  หากใครพบเห็น คงเข้าใจไปว่าหล่อนเก่ง ที่สามารถดื่มของร้อนได้ในทีเดียว แต่เปล่าเลย เจ๊หลินชงมันแต่เช้า ตั้งแต่ลืมตาตื่น และทิ้งมันวางไว้นานเป็นชั่วโมง ก่อนจะกลับมาดื่มมัน  พนัสสรเหลือบมองหล่อนเพียงนิด ก่อนจะดึงสายตากลับมา คนอะไรจะใส่ชุดนอนอยู่บ้านตลอดทั้งวัน  เธอไม่เคยเห็นเจ๊หลินจะสวมชุดอื่นขณะอยู่บ้านนอกจาก ชุดนอน โรลม้วนผม บวกกับการแต่งหน้าหนาๆ แม้จะอาบน้ำแล้วก็เถอะ แต่เมื่อย่างกายออกจากบ้าน หล่อนก็ดูเหมือนจะเป็นคนละคน ทั้งหน้า ผม และเสื้อผ้าจัดเต็ม พนัสสร ไม่เคยถามไถ่และยุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวแบบนั้นของหล่อนอยู่แล้ว เพราะไม่อยากรู้ รวมถึงเรื่องกิจกรรมทางเพศแสนแปลกด้วย เจ๊หลิน มักจะพาผู้ชายแปลกหน้าเข้าบ้าน เพื่อร่วมรักทุกๆ วันโกน และวันพระ โดยไม่แคร์เธอ ที่ห้องติดกันโดยมีเพียงแค่กำแพงกั้น และเมื่อตื่นเช้ามา ต่างคนก็ต่างทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หล่อนคงชอบ ที่พนัสสรไม่ใช่คนพูดมากและไม่สอดรู้ ทั้งคู่จึงสบายใจที่จะอยู่ด้วยกัน "อืม" ตอบกลับการบอกกล่าว และถือว่าเป็นการสั่งงาน ด้วยคำพูดสั้นๆ เพียงเท่านั้น เปิดประตูออกจากบ้าน พร้อมคล่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจ โดยไม่ลืมใส่หมวกกันน็อค ปลายทางคือสถานที่ทำงาน นั่นคือ ร้านทำผม ตำแหน่งหน้าที่ของพนัสสร คือ ผู้จัดการ การทำงานคือ ทำทุกอย่างที่เจ๊หลินจะต้องทำ เพราะหล่อนคือเจ้าของร้านที่เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจจะมีมันแต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งการมีเธอ ก็ทำให้เจ๊หลินวางใจ ร้านทำผมทำเลทองกลางกรุงฯ ซ้ายมือคือร้านทอง ขวามือคือร้านกาแฟชื่อดังที่กำลังมีชื่อเสียงในโลกโซเชียล  แต่ร้านทำผมก็ไม่ได้สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ดังนั้นเจ้าของร้านอย่างเจ๊หลิน จึงเลือกที่จะปล่อยเลยตามเลย ไม่คิดจะปรับปรุงหรือพัฒนา ห้าปีที่แล้วเป็นอย่างไร ปีนี้ก็ไม่ต่าง แต่อาศัยว่าช่างทำผมในร้านเป็นคนฝีมือดี และมีลูกค้าประจำ  และโชคดีที่เจ๊หลินไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน เพราะไม่เช่นนั้น ร้านนี้คงปิดตัวไปนาน ราวกับเปิดไว้เพื่อเลี้ยงดูลูกน้องให้มีรายได้ ซึ่งผู้ที่สามารถทำรายได้เลี้ยงตัวเอง อย่างเป็นกอบเป็นกำก็คือ พนัสสร แต่มันไม่ได้มาจากการทำผม แต่มาจาก ไฟร้านปิดลงต่างหาก พวงกระดิ่งหน้าประตูร้านกำลังส่งเสียง เป็นสัญญานว่ามีลูกค้าเข้าในยามวิกาล พนัสสรเงยหน้ามองดูนาฬิกา อีกห้านาทีสามทุ่ม ยังไม่ถึงเวลาปิดร้าน จึงลุกขึ้นเพื่อต้อนรับลูกค้า  "สระผมค่ะ" หญิงสาวหน้าตาดีเอ่ยออกมาอย่างสุภาพทันทีที่เจอหน้าพนัสสร แม้จะห่างกัน แต่ก็รู้สึกถึงกลิ่นน้ำหอมที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ จนเผลอสูดดมเบาๆ  "นั่งรอสักครู่นะคะ" ตอบกลับด้วยรอบยิ้มน้อยๆ พนัสสร หันหลังให้เพื่อเตรียมจะเข้าไปเปิดไฟบริเวณโซนสระ เพราะการที่ไร้ผู้คน เธอจึงเลือกปิดไฟ เพื่อต้องการช่วยเจ้าของร้านประหยัด เธอไม่ใช่ช่างทำผมที่เชี่ยวชาญ แต่ก็สามารถทำอะไรได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็แค่การสระ  เดินห่างออกมาในความมืดไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกเหมือนมีสิ่งชีวิตเดินตามเข้ามา "สระ ข้างหลังค่ะ" เสียงจากลูกค้าที่เพิ่งจะเข้ามา พนัสสรหยุดปลายเท้า  "งั้น ตามมาค่ะ" ตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เดินนำ ทะลุผ่านโซนสระผม ไปถึงห้องวิไอพี ก็เพราะป้ายเขียนแบบนั้น หล่อนเป็นลูกค้าใหม่ เธอจึงจำต้องบริการ "นอนรอที่ตัวแรกได้เลยค่ะ" ลูกค้าใหม่พยักหน้าเข้าใจ และทำตามอย่างไม่เร่งรีบ พนัสสรจำต้องเดินกลับออกมา จัดการลงกลอนหน้าร้าน ปิดม่าน ปิดไฟในร้าน และรวมถึงไฟหมุนด้านหน้าก็ด้วย นั่นแสดงถึงว่าเธอไม่รับลูกค้าเพิ่มแล้ว ฉันขายบริการทางเพศ และนี่คือเบื้องหลังของฉัน  ฉันให้ความสุขเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ผู้หญิงที่ฉันเรียกว่าลูกค้า มักมาจากการติดต่อและคัดกรองจากเจ๊หลิน โดยที่ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน และ สระข้างหลัง คือคำขอรับบริการ เจ๊หลิน ห้าปีที่แล้ว 'พั่บ พั่บ พั่บ' เสียงเนื้อหนังเสียดสีกัน ท่อนเอ็นขนาดเกินมาตรฐานชายไทยกำลังแหวกทะลุทะลวงถ้ำสวาทของสาวใหญ่ ด้วยท่าร่วมรักมาตรฐาน เสียงกรีดร้องเกินจริง ทำให้เขายิ่งชอบใจ โหมกระหน่ำแรงที่มีทั้งหมดไปที่ร่างกายหล่อน โดยไม่กลัวว่าเครื่องในจะเสื่อมสภาพ และเมื่อได้ที่ มือกำยำก็ยกขาขาวๆ ของหล่อนขึ้นชี้ฟ้า พร้อมเดินเครื่องอีกอย่างไม่ผ่อนแรง หากเป็นสาวแรกรุ่นคงขาดใจตายเป็นแน่ กับการปรนเปรออารมณ์ขั้นสุดของชายคนนี้ แต่กับ เจ๊หลิน ผู้โชกโชน และพบเจอมาทุกรูปแบบ เรียกได้ว่ากร้านโลก แค่นี้จึงไม่ได้สะทกสะท้านช่องรัก และยังดูว่าธรรมดาไปเสียด้วย เขาปล่อยน้ำรักให้พวยพุ่งเข้าไปในกายหล่อนด้วยความภูมิใจ ที่เห็นผู้หญิงตรงหน้าเกร็งกระตุก ช่องรักของหล่อนกำลังบีบรัดท่อนเอ็นของเขา จนรู้สึกได้ถึงความหนึบ เมื่อเห็นว่าผู้หญิงที่นอนแผ่หราเบื้องหน้ากลับมาสู่ความปรกติจึงก้มตัวลง หมายจะมอบจูบอันเร่าร้อนให้ โดยที่ท่อนเอ็นยังคงคาอยู่ที่เดิม เจ๊หลินคว้าคอเขา เพื่อตอบรับจูบอย่างช่ำชอง 'ลิ้นแลกลิ้น' นี่คงเป็นคำนิยามของหญิงคนนี้ ก็ไหนจะต้องแลกจูบกันแล้ว ก็ต้องเอาให้ถึงที่สุด การันตีได้จากเสียงดูดที่ดังจ๊วบจ๊าบ "อื้อ อ่าห์" เสียงร้องของเจ๊หลินหลุดออกมา เมื่อชายกำยำไม่ได้ให้แค่จูบ แต่เขายังช่วยทำให้ช่วงล่างของเจ๊หลินไม่ได้พักผ่อน ซอยท่อนเอ็นเบาๆ ด้วยจังหวะเนิบนาบ นั่นคือค่ำคืนแรกของ พนัสสร ที่จะต้องมาได้ยินและรู้สึกถึงกิจกรรมเข้าจังหวะของนายจ้างตัวเอง จนเผลอแอบจินตนาการตาม แต่การจินตนาการจะไปสมจริงเท่ากับการเห็นด้วยตาตัวเองได้อย่างไร เปิดประตูออกจากห้อง ลงน้ำหนักเท้าบนพื้นอย่างระวัง เพราะเกรงว่าคู่รักจะรู้ตัว ค่อยๆ แง้มประตูห้องข้างๆ ออกทีละนิด แค่พอได้เห็นแผ่นหลังของชายหนุ่ม และคนบนเตียง สอดส่องสายตาตัวเองเข้าไปข้างในด้วยการแนบดวงตาที่รูเล็กๆ โจรถ้ำมองกัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ตาค้างกับสิ่งที่เห็น มันช่างดูน่ามอง หลงไหล จนเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เจ๊หลินที่อยู่ในท่าโก้งโค้ง หันก้นให้ชายคนนั้นกระแทกของลับใส่ จนเนื้อตัวหล่อนกระเพื่อมตามแรงส่ง เขาทำกับเจ๊หลินเหมือนเป็นสิ่งของไร้ความรู้สึก "กระเด้าแรงๆ " แต่นั่นคงมาจากความต้องการของเจ๊เอง สรุปได้จากการออกปากสั่ง เขาจึงทำตามอย่างว่าง่าย ก็ในเมื่อคำพูดของหล่อนเหมือนกำลังดูถูกความสามารถของชายอกสามศอก "อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ" ส่งเสียงครางออกมาตามการกระแทก พนัสสร เอาแต่จ้องใบหน้า และเรือนร่างของเจ๊หลิน เสียงร้องกับการแสดงสีหน้าของเจ๊ดูไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกัน หล่อนดูไม่สะทกสะท้าน จนทำให้คนแอบดูขมวดคิ้วเข้าหากัน แต่ความสงสัยก็จบลง เพราะสายตาของพนัสสรและเจ๊หลินดันประสานกันในเวลานี้ คนที่แอบดูอยู่รีบเบือนหน้าพร้อมหนีเข้าห้องตัวเอง โดยไม่คิดช่วยปิดประตูห้องให้ เมื่อกลับเข้ามาถึงห้อง ก็ยกมือขึ้นจับหน้าอก เพราะการสั่นไหวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เจ๊หลินจับได้ว่าเธอแอบดู มันน่าอาย หล่อนคงคิดว่าเธอเป็นพวกโรคจิต แต่เมือนคนที่กระทำผิดจะไม่รู้สึกตัวเอง เมื่อข้างห้องยิ่งส่งเสียงดังมากขึ้นเท่าไหร่ พนัสสรก็อยากจะฟังมันอีก ก็ภายใต้ชุดนอน เรือนร่างของเจ๊หลินช่างดูเย้ายวนน่ามอง ไม่เหมือนคนวัยสี่สิบ มันยังคงเต่งตึง ทั้งหน้าตา นม และของสงวน แม้จะมีขนอยู่รำไรไม่เกลี้ยงเกลาเหมือนเด็กสาว แต่ก็รู้สึกชอบที่จะมองมัน และนั่นคือจุดเปลี่ยนในชีวิตประจำวันของพนัสสร เธอกลายเป็นนักถ้ำมองอย่างมืออาชีพ จนสามารถจำท่าทาง สีหน้า และเสียงร้องของเจ๊หลินได้ แถมเจ๊หลินยังทำเหมือนตัวเองเป็นนักแสดง เพราะเมื่อมีคนมอง หล่อนจึงยิ่งแสดงได้อย่างสมบทบาท จนพนัสสรอินตาม หากวันใดที่เจ๊ไม่ได้มีสัมพันธ์สวาทกับใคร พนัสสรก็รู้สึกห่อเหี่ยวใจไปด้วย ปัจจุบัน "เข้ามาข้างในเลยจ้ะ" เสียงป้าพร ช่างทำผมเก่าแก่ ประจำร้านเจ๊หลินซาลอน เอ่ยออกมาอย่างเป็นกันเอง พริตา หรือน้องต้า เด็กสาววัยสิบแปด พนักงานพาร์ทไทม์ประจำร้านกาแฟ หล่อนมักจะเข้ามาที่ร้านเกือบทุกวัน เพื่อมาส่งอาหาร แน่นอนว่าละแวกนี้ไกลจากร้านสะดวกซื้อ และตลาด พนักงานในร้านทำผมจึงต้องฝากท้องไว้กับร้านกาแฟที่ครบวงจร "พี่จี๋ยังไม่มาเหรอจ้ะ" พูดพลางสอดส่องสายตาเข้ามาในโซนที่พนัสสรมักจะนั่งเป็นประจำ "วันนี้คุณจี๋ไม่เข้า" สีหน้าคนถามดูสลดลง "ลงบัญชีไว้ก่อนนะ เดี๋ยวสิ้นเดือนเจ๊มาเคลียร์" ป้าพูดต่อ ทั้งที่มือยังสาละวนกับการทำผมให้ลูกค้า "จ้ะ" บอกแค่นั้น พริตาเดินคอตกกลับร้านตัวเอง ก็หล่อนอุส่าตั้งใจทำโกโก้สูตรพิเศษของคนที่แอบชอบมาให้ ดังนั้น เธอจึงจำต้องก้มลงดูดโกโก้เย็นแบบที่หวานไส้แตกด้วยใบหน้าเหยเก ก็หากพนัสสรไม่อยู่ ก็ต้องดื่มมันด้วยตัวเอง นอกจากเจ๊หลินจะมีร้านทำผมแล้ว กิจการอีกอย่างหนึ่งที่สร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำคือ การปล่อยเงินกู้ ด้วยดอกที่แสนโหด "กูไม่ได้บังคับให้มึงมาเอาของกู ทีตอนมาเอาแทบจะกราบตีน พอตอนคืน ทำบ่นว่าดอกกูแพง ไม่มีปัญญาคืน ก็ไม่ต้องกู้ และอย่าให้กูรู้นะ ว่าใครมันสาระแนไปแจ้งความ กูจะตบให้เลือดกลบปากเลย" เป็นไดอะล็อคที่เจ๊หลินมักพูดกับลูกค้าตาดำๆ ธุรกิจสีเทาแบบนี้ไม่มีคำว่าปรานี และเจ๊หลินก็ทำมันได้ดี พนัสสรจำมันจนขึ้นใจ และได้ยินทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ หากใครที่คิดตุกติก เจ๊ก็จะงัดเอาประโยคนี้ขึ้นมาบ่นกับบรรดาลูกหนี้ แทบได้ว่าในหนึ่งวัน เธอฟังมันไม่ต่ำกว่าสิบรอบ เธอไม่เข้าใจ ปากเก่งแบบนี้ ทำไมถึงต้องถูกลากมาเป็นเพื่อน เพราะดูเจ๊จะไม่ได้รับอันตรายใดๆ จากลูกหนี้เลยสักนิด ไม่มีใครกล้าต่อปากต่อคำ ซึ่งนอกจากเจ๊หลินจะมีลูกค้าประจำที่ร้านทำผมแล้ว เจ๊ก็ยังมีที่ตลาด และร้านรวงต่างๆ ด้วย ล่าสุด บรรดาเมียตำรวจทั้งหลาย ก็กำลังจะเข้าวงการเงินกู้ "ได้เจ็ดหมื่นหก" พนัสสรรายงานยอดเงินที่เพิ่งจะนับเสร็จหมาดๆ  "ที่ธนาคารมีเท่าไหร่" เธอจึงจำต้องเปิดแอพพลิเคชั่นธนาคารจากทางสมาร์ทโฟนของตนเอง "ห้าล้านแปดแสนสี่หมื่น"  ที่บอกออกไปนั้นคือตัวเลขกลมๆ โดยปัดเศษแล้ว "โอนให้ขนมจีนสักสามหมื่น และของแกห้าพัน" บอกออกมาอย่างไม่คิดเสียดาย พร้อมเริ่มจุดบุหรี่ ก่อนจะส่งมันเข้าปากตัวเอง พนัสสรจึงจำต้องลดกระจกฝั่งเจ๊หลินลง เพื่อไล่ควัน ก่อนจะทำตามคำสั่ง ขนมจีน คือลูกสาวของเจ๊หลินที่เรียนอยู่ต่างประเทศ ส่วนห้าพันของตัวเอง คือค่าจ้างที่มาเป็นเพื่อนในวันนี้ เมื่อเรียบร้อย จึงหันสมาร์ทโฟนให้หล่อนดูหลักฐานการโอนเงิน ซึ่งเจ้าของเงินก็ไม่ได้สนใจนัก เพียงชำเลืองมองเล็กน้อย และพยักหน้าแสร้งทำเป็นรับรู้ "และก็อีกหมื่นนึง งานแกเมื่อคืน" พูดจบก็พ่นควันออกมา พร้อมใบหน้าบิดเบี้ยว นั่นคงเพราะรู้สึกระคายจมูก มือเรียวยาวของพนัสสรคว้าแย่งบุหรี่ที่ยังคาปากเจ๊หลินมาถือ ก่อนจะส่งเข้าปากตัวเองบ้าง สูดสารนิโคตินเข้าเต็มปอด ไม่นานก็พ่นควันออกมาทางรูจมูก พร้อมโยนทิ้งไปนอกรถ เรียกเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจของคนนั่งข้าง หล่อนสูบมันไปแค่นิดเดียวเอง แต่พนัสสรดันมาแย่งไป แถมโยนทิ้งต่อหน้าต่อตาอีก "ว้าย เจ๊ของเรามา ดีใจจังเลย" เสียงทักทายอย่างกระแนะกระแหนออกจากปากหนึ่งในลูกน้องของร้านทำผม แหวว หรืออีแหวว ช่างทำผมคู่บุญของเจ๊หลิน ก็นะ ด้วยความที่ปากชอบหาเรื่องไม่แพ้กัน แถมเข้ากันได้ดี ไปไหนไปกัน ทั้งดื่มเหล้า เที่ยว และเป็นมือตบประจำตลาด ดีกรีความแรงไม่แพ้กันตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อมองจากตรงนี้ ห่างไปร้อยเมตรก็ดูรู้ว่าเป็นใคร สีสันที่ศีรษะ ด้วยการใส่วิกผมหลากสี โดยไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน คิ้วหนาเตอะ สีแก้มและปากสดราวกับดื่มเลือดมา และเสื้อผ้าที่เรียกได้ว่าคัลเลอร์ฟูล ถ้าคุณเดินผ่าน รับประกันการเหลียวหลังมอง "น้อยๆ หน่อย เดี๋ยวแม่ตบคว่ำ" พูดพลางทิ้งตัวลงบนโซฟา ใบหน้าหล่อนดูไม่สู้ดีนัก เนื่องจากเก็บดอกไม่ได้ยอด เรื่องเงินนั้นเป็นเรื่องเล็กสำหรับเจ๊หลิน แต่หากได้ไม่ครบ ดันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเสียอย่างงั้น "ส้มตำมั้ยเจ๊ ร้านยายชื่นกลับมาขายแล้วนะ" "เออ ก็ดี!"  แหววจึงเดินนวยนาดเข้าหาพนัสสรที่นั่งประจำโต๊ะทำงาน พร้อมแบมือ  ธนบัตรสีเทาถูกวางลงบนมือหล่อน และก็เดินออกจากร้านไปอย่างสบายอารมณ์ "วันนี้กลับกันไวหน่อยนะ" เจ้าของร้านสั่งบรรดาลูกน้องที่เหลืออยู่สามสี่คน ซึ่งทั้งหมดก็พยักหน้ารับรู้ การเลิกงานไว เป็นสิ่งที่ลูกจ้างทุกคนชื่นชอบอยู่แล้ว แต่กับพนัสสรนั้น ถือว่ามันคือการทำงานล่วงเวลา 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม