สองวันต่อมาเป็นวันหยุดของหลานจิ้นหลี่ ชายหนุ่มจึงได้มีเวลาทำหน้าที่เป็นบุตรชายและพี่ชายที่ดีโดยการพาทุกคนในครอบครัวไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวง
ความจริงแล้ววันนี้เป็นวันนัดหมายที่ผู้อาวุโสตระกูลเสิ่นจะมาเยี่ยมเยือนที่จวนตระกูลหลานเพื่อพูดคุยเรื่องการหมั้นหมายกันให้เป็นเรื่องเป็นราวระหว่างเสิ่นจ้านกับหลานหลีเกอ
ทว่าไม่รู้เป็นเพราะโชคไม่ดีหรืออย่างไร ผู้เฒ่าตระกูลเสิ่นอยู่ดีๆ จึงเกิดล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน คนตระกูลเสิ่นจึงได้แต่ส่งแม่สื่อมาพูดคุยอย่างคร่าวๆ ไว้เพียงว่าเรื่องเกี่ยวดองกันของสองตระกูลนั้นยังอยู่ในตะกอนความคิดของผู้เฒ่าตระกูลเสิ่นอยู่ ขอตระกูลหลานอย่างด่วนรีบร้อนยกหลานหลีเกอให้ผู้ใด
ซึ่งหลานเหวินก็ได้แต่ตอบแม่สื่อจากตระกูลเสิ่นไปว่าตัวเขานั้นไม่ได้รีบร้อนจะให้บุตรสาวเพียงคนเดียวแต่งออกไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทั้งยังฝากความห่วงใยไปให้ผู้เฒ่าตระกูลเสิ่นหายป่วยโดยเร็ว
ตอนแรกที่ได้ยินเรื่องนี้หลานหลีเกอได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ตัวนางในชาตินี้เพิ่งจะอายุครบสิบห้าหนาวได้ไม่นาน ใครเขาอยากจะไปเป็นสะใภ้ผู้อื่นรวดเร็วปานนั้นกัน
ไปเป็นสะใภ้เขา ไปอยู่บ้านผู้อื่นลำบากยากเย็นเพียงใด หลานหลีเกอเรียนรู้มาจากชาติก่อนมากพอแล้ว และถ้าหากว่าเป็นไปได้...หลังจากได้แก้แค้นเอาคืนพี่น้องตระกูลโจวสองคนนั้นอย่างหอมปากหอมคอแล้ว นางก็อยากอยู่คนเดียวไปจนตาย ไม่ต้องตบแต่งให้ผู้ใดทั้งสิ้น
และด้วยสาเหตุนั้น วันนี้ทุกคนในครอบครัวจึงได้ยกโขยงกันมาเที่ยวเล่นในเมืองหลวง
หลานเจี่ยเอ๋อร์เกาะติดหลานจิ้นหลี่ผู้เป็นพี่ใหญ่ไม่ห่าง ด้วยเพราะเจ้าเด็กน่าตีผู้นั้นมีสิ่งของที่อยากจะได้มากมาย ซึ่งต้องพึ่งพาเงินในกระเป๋าของผู้เป็นพี่ใหญ่
“หลีเอ๋อร์ไม่มีสิ่งใดอยากได้หรือ?”
หลานจิ้นหลี่เอ่ยถามน้องสาวที่เดินอยู่ข้างๆ เวลานี้พวกเขากำลังพากันเดินเข้าไปในเหลาอาหารแห่งหนึ่งที่หลานจิ้นหลี่สั่งให้พ่อบ้านมาจองห้องรับรองพิเศษไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
“ไม่มีสิ่งใดอยากได้เป็นพิเศษเจ้าค่ะ ที่จวนล้วนมีของทุกอย่างเพียงพร้อมอยู่แล้ว น้องไม่ขาดเหลือสิ่งใดเลย”
ด้วยเพราะก่อนหน้าที่ครอบครัวจะเดินทางมาหาที่เมืองหลวง หลานจิ้นหลี่ได้สั่งการให้พ่อบ้านจัดเตรียมของใช้ทุกอย่างไว้ให้บิดามารดาและน้องชายน้องสาวอย่างครบครัน ถือเป็นการต้อนรับคนในครอบครัวไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
“เช่นนั้นหลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จพี่จะพาเจ้าไปซื้อเครื่องประดับสักชิ้น ถือเป็นของขวัญที่เจ้าครบวัยปักปิ่นก็แล้วกัน”
“มิใช่ว่าพี่ใหญ่มอบปิ่นให้น้องแล้วหรือเจ้าคะ?” หลานหลีเกอเอ่ยทัก มือบางยกขึ้นแตะปิ่นที่ปักอยู่บนมวยผมของตนเอง
“ให้แล้วก็ให้อีกได้ อีกอย่างปิ่นไม้แกะสลักนั่นก็ดูธรรมดาเกินไป”
“แต่น้องชอบปิ่นที่พี่ใหญ่ทำให้นะเจ้าคะ อีกอย่างซื้อไปก็เปลืองเงินเปล่าๆ”
“ไม่เปลืองหรอก ใจคอเจ้าจะปักแต่ปิ่นอันเดิมทุกวันเลยหรือไง ไหนจะงานชมบุปผาที่กำลังจะถึงอีก เจ้ายังไม่ได้ตัดชุดใหม่และหาเครื่องประดับที่เข้ากับชุดเลยมิใช่หรือ?”
หลานหลีเกอลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อถูกผู้เป็นพี่ชายเอ่ยถามถึงเรื่องเตรียมตัวไปงานเลี้ยงในอีกเกือบๆ หนึ่งเดือนข้างหน้า ด้วยความที่นางไม่อยากไปร่วมงานดังกล่าว หญิงสาวจึงตั้งใจจะเข้าไปในงานเพียงแค่พอเป็นพิธี จากนั้นก็จะหาข้ออ้างกลับออกมา หรือไม่นางก็จะหลบไปอยู่ใต้ต้นไม้เพียงคนเดียว จะได้ไม่ต้องพบเจอใครหน้าไหนทั้งสิ้น
ทว่าหญิงสาวกลับลืมไปอย่างหนึ่งว่า พี่ชายของนางอาจจะต้องไปร่วมในงานในวันนั้นด้วย
“ในวันงาน...พี่ใหญ่ต้องเข้าร่วมด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
หลานหลีเกอไม่ตอบ แต่ดูจากสีหน้าของพี่ชายแล้วเป็นไปได้ว่างานในวันนั้นเขาอาจจะได้เข้าร่วมด้วย ซึ่งก็อาจจะรวมไปถึงขุนนางหนุ่มคนอื่นๆ และบรรดาเชื้อพระวงศ์ ซึ่งนั่นก็หมายความว่านางอาจจะได้เจอกับสองพี่น้องตระกูลโจวในงานนั้นก็เป็นได้
จากที่ตอนแรกมีความรู้สึกไม่อยากไปร่วมงานเพราะหลานหลีเกอเบื่อที่จะปั้นหน้ายิ้มให้กับบรรดาบุปผามีพิษทั้งหลาย ทว่าพอคิดได้ว่างานในวันนั้นอาจจะมีเชื้อพระวงศ์ชายเข้าร่วมด้วย ความรู้สึกไม่อยากไปร่วมงานในตอนแรกจึงสลายไปในทันที
เพราะนี่เป็นโอกาสที่จะทำให้นางได้พบกับสองพี่น้องตระกูลโจวนั่น!
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นหลานหลีเกอจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปได้อย่างไร อย่างน้อยๆ นางก็ต้องได้รับรู้ความเป็นไปของพวกเขาบ้างไม่มากก็น้อย ส่วนเรื่องจะหาทางแก้แค้นเอาคืนพวกเขาอย่างไรนั้น ค่อยกลับมาคิดดูอีกครั้งก็ยังไม่สาย
หลังจบมื้อกลางวันที่เหลาอาหาร ครอบครัวสกุลหลานก็พากันเดินเล่นดูข้าวของที่ผู้คนวางขายอยู่ริมทางอย่างไม่รีบร้อน กระทั่งพวกเขาเดินมาถึงร้านขายผ้าแห่งหนึ่ง
หลานจิ้นหลี่เล่าว่าร้านขายผ้าแห่งนี้เป็นร้านของสหายผู้หนึ่งของเขา หลานหลีเกอรับฟังด้วยความสนใจ นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่ชายของนางจะเป็นสหายกับคุณชายใหญ่เจ้าของร้านผ้าแห่งนี้
ร้านผ้าตระกูลฮัว...
“หลีเอ๋อร์ เข้าไปเลือกดูผ้ากับท่านแม่เถิด ร้านนี้เป็นร้านสหายของพี่ บางทีพี่อาจจะให้เขาช่วยหาช่างเก่งๆ สักคน ตัดชุดให้เจ้าเสร็จทันวันงานก่อนสักหลายวันได้”
คำพูดนั้นของหลานจิ้นหลี่ไม่ได้เข้าหูผู้เป็นน้องสาวเลยแม้แต่น้อย หลานหลีเกอมองป้ายหน้าร้านผ่านม่านน้ำตาที่นางพยายามกลั้นไว้อย่างสุดความสุดความสามารถ เพราะที่แห่งนี้...นางเคยมาเยือนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วเมื่อชาติก่อน
“หลีเอ๋อร์” เถาลี่อิงเอ่ยเรียกบุตรสาว
หลานหลีเกอกะพริบตาถี่ๆ ไล่หยาดน้ำตาที่เอ่อมาอยู่ริมขอบตาให้ย้อนกลับเข้าไป หญิงสาวกลืนก้อนความขมขื่นก้อนหนึ่งลงคอ ก่อนจะหันหน้ามองมารดาแล้วก้าวตามเข้าไปในร้านขายผ้าดังกล่าว
นี่สวรรค์เล่นตลกอะไรกับนางกันหนอ...
ให้นางกลับชาติมาเกิดใหม่พร้อมกับความทรงจำเดิมในชาติก่อน มอบครอบครัวใหม่ให้กับนางแต่กลับกำหนดให้นางได้มาพบเจอกับครอบครัวในชาติที่แล้วของตัวเองอีกครั้ง...
ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในร้านผ้าตระกูลฮัว หลานหลีเกอก็มองไปเห็นร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนโดนเด่นอยู่ท่ามกลางคนงานร้านขายผ้า บุรุษผู้นั้นหันมองมาที่นาง หลานหลีเกอจึงได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนเต็มสองตา คนผู้นั้นคือฮัวหมิงซื่อพี่ชายคนโตในชาติที่แล้วของนาง
ร่างกายของหลานหลีเกอแข็งทื่อและเย็บเหยียบราวกับยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ เวลานี้นางกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพี่ชายของนางในชาติที่แล้ว พี่ชายที่ตายตกไปอย่างน่าอนาถเพราะนาง
ภาพการตายของคนสกุลฮัวในชาติที่แล้วย้อนกลับเข้ามาในความคิดของหลานหลีเกออีกครั้ง ความเจ็บปวด เสียใจ และรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่หญิงสาวอย่างไม่อาจผลักไสและยิ่งไม่อาจแก้ตัว
หลานหลีเกอได้สติคืนมาอีกครั้งเมื่อร่างสูงของฮัวหมิงซื่อเดินผ่านเลยนางไปหาหลานจิ้นหลี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของนาง พวกเขาพูดคุยกันตามประสาคนเป็นสหาย หญิงสาวรู้สึกตั้งตัวไม่ติดกับเหตุการณ์ที่นางกำลังเผชิญอยู่ จึงได้ก้าวเดินไปดูผ้าแบบต่างๆ ตามการชักจูงของผู้เป็นมารดา
เมื่อไม่เห็นร่างของฮัวหมิงซื่ออยู่ในครรลองสายตา หลานหลีเกอก็คล้ายจะหายใจหายคอได้คล่องขึ้น สมองของนางคอยครุ่นคิดแต่เพียงว่าเหตุใดเรื่องราวกับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
ตระกูลฮัวยังเป็นตระกูลฮัวดังเดิมเช่นในอดีต นางได้เห็นฮัวหมิงซื่อแล้วก็พอคาดเดาได้ว่านอกจากพี่ชายในอดีตชาติจะยังมีชีวิตอยู่แล้ว คนอื่นๆ ในตระกูลฮัวก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า สวรรค์ไม่ได้ส่งนางมาเกิดใหม่เท่านั้น แต่ย้อนเวลาให้นางกลับมายังอดีตชาติที่จบสิ้นไปแล้วอีกครั้งในร่างใหม่ แต่ยังใจดีมอบความทรงจำในชาติที่แล้วให้นางติดตัวมาด้วย
และถ้าเป็นเช่นนั้น ฮัวจื่อเวยตัวตนของนางในชาติที่แล้วก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่?
แต่ในเมื่อเวลานี้วิญญาณของนางอยู่ในร่างของหลานหลีเกอ แล้ววิญญาณดวงใดกันที่อยู่ในร่างของฮัวจื่อเวย?
สวรรค์! ท่านว่างงานเกินไปแล้วใช่หรือไม่? เหตุใดจึงกำหนดโชคชะตาของคนคนหนึ่งได้ยุ่งยากวุ่นวายและซับซ้อนถึงเพียงนี้เล่า?
เรื่องที่หลานหลีเกอกำลังคิดอยู่ตอนนี้อาจจะเป็นเรื่องอยู่เหนือความคาดคิดเกินไปจนไม่อาจเชื่อถือได้ เล่าให้ใครฟังแน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อ ซ้ำยังจะกล่าวหาว่านางนั้นเลอะเลือนพูดจาเลื่อนเปื้อน แต่สำหรับนางแล้วทุกเรื่องที่นางคิดนั้นย่อมเป็นไปได้
ในเมื่อสวรรค์ทำให้นางจดจำอดีตชาติได้ สวรรค์ก็ย่อมทำให้ดวงวิญญาณอื่นเข้ามาสิงอยู่ในร่างของนางในอดีตได้เช่นเดียวกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้นหลานหลีเกอก็นึกแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ หญิงสาวมาดหมายใจว่าหลังจากนี้นางจะต้องมาที่ร้านผ้าตระกูลฮัวให้บ่อยขึ้น เผื่อว่าวันหนึ่งนางอาจจะได้พบกับตนเองในชาติอดีต
ทว่ายังไม่ทันที่แผนการของนางจะได้เริ่มต้น เสียงเรียกของมารดาก็ดังขึ้นปลุกนางออกจากภวังค์ เถาลี่อิงเอ่ยถามบุตรสาวว่าได้ผ้าสีที่ต้องการแล้วหรือไม่ หลานหลีเกอที่ยืนใจลอยคิดเรื่องอื่นอยู่เป็นนานสองนานจึงจับตัวอย่างผ้าสีหนึ่งขึ้นมาส่งๆ ก่อนจะเดินกลับไปหาผู้เป็นมารดา
“สีนี้รึ?” เถาลี่อิงมองผ้าตัวอย่างสีเขียวเข้มในมือบุตรสาวด้วยสีหน้าแปลกใจ
หลานหลีเกอก้มลงมองผ้าชิ้นเล็กในมือ ก่อนจะยิ้มแหยให้มารดาแล้วออกตัวอย่างเหนียมอายว่าผ้าร้านนี้มีแบบและสีที่สวยมากมายจนนางเลือกไม่ถูก
เถาลี่อิงส่ายหน้า ทว่าคำพูดประโยคนั้นลอยไปเข้าหูพี่ชายของนางและสหายของเขาพอดี หลานจิ้นหลี่ยิ้มขันน้องสาว ตัวอย่างผ้าที่นางถืออยู่เป็นผ้าสีเขียวเข้ม ดูๆ ไปแล้วเหมาะสมกับสตรีวัยกลางคนมากกว่าดรุณีที่เพิ่งผ่านพ้นวัยปักปิ่นมาไม่ถึงเดือนอย่างนาง
“คุณหนูหลานชอบผ้าสีนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ในหมู่ฮูหยินตราตั้งทั้งหลาย ผ้าสีนี้ขายดีและเป็นที่ต้องการมากทีเดียว” สหายของหลานจิ้นหลี่เอ่ยขึ้น หลังจากนั้นชายหนุ่มก็เดินไปหยิบผ้าตัวอย่างสีชมพูอ่อนผืนหนึ่งขึ้นมาและยื่นมาตรงหน้าหลานหลีเกอ
“คุณหนูหลานมีผิวขาวผุดผ่อง เหมาะสมกับสีชมพูไม่น้อย ข้าแนะนำผ้าสีนี้ให้ดีกว่า”
หลานหลีเกอหลุบตามองตัวอย่างผ้าในมือเขา ชาติที่แล้วฮัวหมิงซื่อถือเป็นคนที่รอบรู้เรื่องผ้ามากผู้หนึ่ง อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ในการเลือกสีผ้าสีชุดให้เข้ากับคนใส่ แน่นอนว่าชาตินี้เขาก็ย่อมต้องเป็นดังชาติที่แล้ว
“ขอบคุณคุณชายฮัวเจ้าค่ะ” หลานหลีเกอเอ่ยบอกเสียงเบา
หญิงสาวพยายามอย่างยิ่งไม่ให้เสียงของตนเองสั่น อีกทั้งยังพยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างสุดความสามารถ เพราะเพียงแค่ได้เห็นหน้าเขา ภาพการตายของคนทั้งตระกูลก็ฉายชัดเข้ามาในดวงตาทั้งคู่ของนางอีกครั้ง
“เรียกพี่ชายฮัวเถอะ ระหว่างเราหาใช่คนอื่นไกล ข้ากับพี่ชายเจ้าอายุเท่ากันทั้งยังเป็นสหาย เจ้าเองก็เหมือนน้องสาวของข้าผู้หนึ่ง”
หลานหลีเกอฝืนยิ้มเมื่อได้ยินประโยคนั้น ชาติที่แล้วนางก็มีเขาเป็นพี่ชาย มาชาตินี้นางก็ยังจะได้เขาเป็นพี่ชายอีกเช่นนั้นหรือ?
ช่างโชคดีเสียนี่กระไร…
ทว่าความรู้สึกว่าตัวเองโชคดีก็อยู่กับหลานหลีเกอได้ไม่นาน เมื่ออยู่ๆ ผ้าตัวอย่างสีชมพูที่ฮัวหมิงซื่อมอบให้นาง ถูกใครบางคนแย่งชิงไปจากมือในเวลาเพียงชั่วพริบตา
“ผ้าสีนี้ข้าจองเอาไว้แล้ว พี่ใหญ่จะขายให้ผู้อื่นได้อย่างไรกัน?”
หลานหลีเกอหันขวับไปผู้มาใหม่ก็พบว่า คนที่แย่งผ้าตัวอย่างไปจากมือนางนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นตัวนางในชาติที่แล้วนั่นเอง...ฮัวจื่อเวย!