“ค่ะ เขาอยู่ในห้องกับรษาตอนเช้า ในสภาพร่างกายของรษาไม่มีเสื้อผ้าและมีรอยช้ำเต็มตัวไปหมด รษาจะไม่โทษว่าเป็นความผิดของใคร ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นเพราะตัวรษาคนเดียว” รษาหยุดสูดลมหายใจเข้าปอดนิดหนึ่ง ก่อนที่จะเล่าต่อ “ถ้าวันนั้น รษาเชื่อฟังพี่ธาม ไม่หนีออกไปเที่ยว หรือถ้าไป แล้วรษาไม่เชื่อคำยุยงของเพื่อน ดื่มเหล้าทั้งที่ไม่ชอบดื่มก็คงไม่เป็นอะไร แต่เพราะความรั้นของรษาก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้”
“คุณนนท์ยืนยันว่าคุณปรินทรเป็นคนดี แล้วพี่ก็ไม่เชื่อว่าเขาจะทำเรื่องแบบนั้นได้ พี่สังเกตอาการของเขาตอนที่มาเฝ้ารษา เขาดูห่วงใยรษามาก ไม่ยอมห่างไปไหนตลอดสามวันที่รษาหลับๆ ตื่นๆ อยู่บนเตียง”
“เขามาอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือคะ รษาคิดว่าฝันไปเสียอีก”
“จ้ะ มาเฝ้าจนเกือบวางมวยกับธามอยู่หลายครั้ง พี่มาเจอทีไรก็เห็นเขานั่งกุมมือรษาอยู่ตลอดเวลา”
“หรือคะ” คนป่วยพยักหน้าครางเหมือนรับรู้ ญาดาขยับเข้าไปโอบรั้งร่างบางขอวงเธอเข้ามากอดไว้อย่างปลอบโยน
“ถ้าเป็นเรื่องจริง รษายังโกรธเขามากหรือเปล่า พอจะอภัยให้เขาแล้วเริ่มต้นใหม่ได้ไหม”
รษาผินหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง
“หลังจากที่รษาผ่านความเจ็บปวดเสียใจที่สุดมาครั้งหนึ่ง แม้แต่ความตายก็อยู่เพียงเอื้อมมือ ต่อไปนี้รษาจะเริ่มต้นชีวิตในมุมมองใหม่ ใช้เหตุและผลมากขึ้น”
“ดีแล้ว ถ้ารษาคิดได้แบบนั้น พี่ยินดีด้วย”
“รษาคงเรียกวันเวลาที่ผ่านมาคืนไม่ได้อยู่ดี เรื่องวันนั้นรษาแค่รู้สึกผิดและสงสารพี่ธามก็เลยไม่อยากเล่า ไม่อยากพูดถึงมัน อยากเก็บเรื่องเลวร้ายไว้คนเดียว ไม่คิดว่ามันจะบานปลายมาเป็นแบบนี้ รษาอยากลืมและเริ่มต้นใหม่ค่ะ” รษาเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ญาดาลูบศีรษะคนป่วยอย่างปลอบโยน
“ดีแล้วจ้ะ ธามคงจะดีใจที่สุด รษาคงยังไม่รู้ว่าพี่ขอยกเลิกงานหมั้นก่อนที่จะเกิดเรื่องกับรษาไม่นาน พอธามรู้เรื่องรษาก็รีบบินกลับมาทันที เป็นเรื่องเลวร้ายสองเรื่องที่เกิดกับเขาในวันเดียวกัน จนพี่เองยังละอายใจที่หนีไปมีความสุขในขณะที่ธามเป็นทุกข์ รษาเข้มแข็งให้ได้เร็วๆ นะ พี่จะคอยเป็นกำลังใจให้รษาเสมอ”
“ขอบคุณค่ะพี่ญาดา รษาสร้างความหนักใจให้พี่ธามมาตลอด เมื่อก่อนก็เป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเอง ดื้อรั้นทำทุกอย่างที่พี่ธามห้าม พอเรียนจบแทนที่จะกลับมาช่วยงานแบ่งเบาภาระ แต่รษากลับเหลวไหลแล้วยังสร้างเรื่องให้พี่ธามไม่สบายใจอีก” ญาดาประคองใบหน้าซีดของคนป่วยขึ้น มองด้วยรอยยิ้ม
“ถ้ารู้ตัวแล้วก็แก้ใข รีบพักให้หายดี เข้มแข็งเร็วๆ กลับไปช่วยงานตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ”
“ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
“ไม่เป็นไร รษาเป็นน้องสาวพี่นี่นา รษาอยากทานอะไรไหม พี่จะไปซื้อให้ ขอเลี้ยงต้อนรับน้องสาวคนใหม่เสียหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ รษาว่าพี่ญาดากลับไร่ดีกว่านะคะ รษาสบายดีขึ้นเยอะแล้ว สักพักคุณพยาบาลก็มาถอดสายน้ำเกลือให้ รษาอยู่คนเดียวได้ค่ะ เพิ่งจะแต่งงานเดี๋ยวคุณสามีงอนเอานะ”
“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ธามไม่ว่าง แล้วพี่ก็เพิ่งไล่บุรุษพยาบาลพิเศษขาประจำของรษากลับไปพัก”
“แน่ะ! เมื่อครู่รษาเพิ่งบอกว่าจะเป็นคนใหม่ที่เข้มแข็ง ใจคอพี่ญาดาจะทำให้รษาช่วยตัวเองไม่ได้ตั้งแต่ห้านาทีแรกเลยหรือคะ” หญิงสาวรีบค้าน เธอไม่อยากให้ใครต้องเป็นห่วงและกังวลกับเธอ
“โอเค ก็ได้จ้ะ เดี๋ยวพี่จะอยู่เป็นเพื่อนอีกสักพัก รอให้คุณนนท์มารับ เมื่อเช้าพี่มากับธามน่ะ รษาอยากได้หนังสืออ่านแก้เบื่อไหม” คนเฝ้าไข้จำนนด้วยคำพูด ยอมกลับ แต่ก็ไม่วายห่วงอยู่ดี
“ก็ดีค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นรษานอนพักก่อนนะ เดี๋ยวพี่ลงไปซื้อมาให้ เอ๋! คนป่วยจะสนโกโก้ปั่นมั้ยน้า” ญาดาไม่วายส่งข้อเสนอเย้าคนป่วยด้วยรอยยิ้ม คนบนเตียงก็พยักหน้ารับทันที
หลังจากที่ญาดากลับไปนานพอสมควร รษายังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงพร้อมหนังสือที่ญาดาซื้อมาให้ อากาศของเมืองไทยละลายโกโก้ปั่นของเธอไปจนเกือบหมดแก้ว มีเพียงหยดน้ำก้อนกลมใสเกาะอยู่ข้างขอบแก้ว เป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวให้ความสนใจหนังสือมากกว่า
เพียงครู่ต่อมา เสียงทุ้มนุ่มหูก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะสุนทรีย์ของคนเพิ่งพื้นไข้
“สวัสดีครับคนป่วยแสนสวย คุณดีขึ้นหรือยัง คุณหมอถอดสายน้ำเกลือให้แล้วนี่นา”
หญิงสาวละสายตาจากหนังสือตรงหน้าหันไปตามต้นเสียงก็เห็นชายหนุ่มเดินยิ้มหน้าระรื่นมา พร้อมกับหิ้วถุงพะรุงพะรังเดินเข้ามา
“จะไม่ดีก็เพราะเห็นหน้าคุณนี่แหละ มาทำไมอีกไม่ทราบ” คนป่วยบนเตียงค้อนเหน็บ
“ว้า! สงสารตัวเองจัง เป็นห่วง คิดถึงเขาข้างเดียว เขาไม่ใยดีสักนิด” ชายหนุ่มทอดเสียงอ่อนระโหยอ้อนแหย่คนป่วย มองหาคนที่อาสาเฝ้าไข้หญิงสาว
หญิงสาวมองคนโอดอย่างหมั่นไส้
“คุณญาดาไปไหนเสียล่ะ ผมให้เชฟที่โรงแรมทำอาหารมาให้คุณ แล้วก็เอามาเผื่อคุณญาดาด้วย”
“พี่ญาดากลับไร่ไปแล้ว ว่าแต่คุณจะมาทำไมอีก!” อาการเจ็บคอของคนป่วยดีขึ้นมาก ทำให้ระดับน้ำเสียงที่ส่งผ่านออกมาเร่งระดับมากกว่าเดิมจนกลายเป็นตะคอก
“ไม่น่ารักเลย”
“ก็มันเรื่องจริง ใช่ธุระที่ต้องมาบ่อยๆ มั้ย”
“ก็ไม่รู้สินะ ผมคิดถึงคนป่วยที่นี่ ตอนนี้คงต้องการกำลังใจผมก็เลยอาสาหอบมาฝาก เพราะกำลังใจ ผมเหมามาไว้เยอะ ไม่รู้จะเอาไปให้ใครดี” ปรินทรทักหยิกแกมหยอกสาวน้อยอย่างอารมณ์ดี
“ฉันสบายดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่กำลังใจที่ว่า ก็ไม่ต้องการจากคนอื่นเหมือนกัน เพราะฉันมีเยอะแทบล้นไร่” เธอตอบกลับชายหนุ่มไปทันที แต่คนที่โดนว่ากลับส่งยิ้มหวาน นึกสนุกที่เห็นสาวน้อยต่อปากต่อคำ
“ไม่สน ก็อยากดูแล” เขาบอกหน้าตาย
รษามองคนมาใหม่ตาเขียวปัด เขาเป็นคนทำร้ายเธอแท้ๆ ยังกล้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันน่าตบล้างแค้น ให้ยิ้มไม่ออกเลยจริงๆ
“พอเถอะ ดูสิ! มองผมตาเป็นนางพญางูเขียวแล้ว มาทานข้าวดีกว่า ไม่รู้ว่าคุณชอบทานอะไร เลยทำมาหลายอย่างเลย” ชายหนุ่มชี้ชวนพร้อมทั้งจัดแจงนำอาหารในกล่องที่ถือมาใส่จานไปด้วย แล้วเดินกลับมาประคองคนป่วยไปนั่ง
“ไปนั่งตรงโน้นดีกว่า คุณจะได้รับลมด้วย”
“ฉันไม่หิว จะนอนแล้ว” หญิงสาวบอกพร้อมกับทิ้งตัวลงนอน
“ไม่ได้ ลุกมาก่อน ผมมีเรื่องจะตกลงกับคุณด้วย” ชายหนุ่มฉุดหญิงสาวลุกขึ้น
“ไม่!” คนบนเตียงตอบกลับเสียงแข็ง
ปรินทรสบตาคนป่วยบนเตียงอย่างเอาเรื่อง ถามต่อเสียงเข้ม
“เลือกเอา! จะลุกเองหรือให้อุ้มไป” เขาเตรียมจะช้อนอุ้มอย่างที่เขาบอกไว้ คนป่วยกระโดดลงจากเตียงอีกฝั่งและวิ่งปรู๊ดไปที่โต๊ะทันที ชายหนุ่มมองตามขำๆ
หญิงสาวปั้นหน้าบึ้งมองเขาจัดแจงอาหารให้เธอ อาหารหลากหลายอย่างถูกจัดเรียงในจานอย่างสวยงาม ซุปเห็ดหอมสำหรับคนป่วยกำลังอุ่นพอดี ยังมีสลัดทูน่าของโปรด สเต๊กปลาราดซอสมะนาวกับเค้กสตรอว์เบอรี่มูสชิ้นน่ารักวางอยู่บนจานสวยงาม คนป่วยที่บอกไม่หิวเผลอกลืนน้ำลายลงคอ
“น่ากินใช่ล่ะ ลองชิมสิ” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับยื่นช้อนให้หญิงสาว จัดแจงตักอาหารใส่จานให้เธอ พร้อมรอลุ้นคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ