หลังจากวันนั้นผมก็ห่างเมมาตลอด เจอกันที่โรงงานก็คุยบ้างแค่ทักทายทั่วไปไม่ได้คุยนานเหมือนเมื่อก่อนแล้ว กับเจนก็ยังคุยปกติครับ ก็มีเจอกันบ้างเสร็จแล้วก็แยกย้ายอย่างเช่นทุกครั้ง
“พรุ่งนี้ไปบ้านกูดิ” ไอ้แก้มเอ่ยชวนขึ้น “วันเกิดพ่อกู”
“มึงไม่ชวนพ่อก็ลากกูไปอยู่แล้วแหละ” แต่ไหนแต่ไรท่านเป็นเพื่อนรักกันมานานครับ พ่อเคยเล่าให้ฟังอยู่บ่อย ๆ
“เออ แล้วนี่มึงไปไหนต่อ”
“ไปรับเพียงฝันที่โรงเรียน” เหลือบมองนาฬิกาใกล้ได้เวลาแล้วครับ “งั้นกูไปก่อนนะ”
“เออ ขับรถดี ๆ”
วันนี้เอารถยนต์แม่มาครับ ส่วนของตัวเองยังไม่มีหรอก ไว้ทำงานเก็บเงินได้สักก้อนค่อยออก ความจริงพ่อจะออกให้แล้วแต่ผมอยากทำด้วยตัวเองไง
มาถึงโรงเรียนก็หาที่จอดรถครับปกติน้องจะออกมารอผมก่อนแล้วแต่วันนี้ยังไม่ออกมาสงสัยจะมีเรียนเสริมมั้ง
ระหว่างรอก็หยิบมือถือมาเล่นเพื่อค่าเวลา ไถฟีดโซเชียลไปเรื่อยจนสะดุดเข้ากับโพสต์หนึ่งของเจน เรื่องที่ไอ้มิวไหว้วานให้ช่วยผมดันลืมไปสนิทเลย กดถูกใจแล้วแชทไปทันทีครับ อยากรู้ก็แค่ถามไม่เห็นยาก
“ถ่ายรูปคู่กับใครเหรอ”
(ทำไมอะ หึงเหรอ)
ผมอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไร
(พี่ชายเราเอง หน้าเหมือนกันขนาดนี้ยังดูไม่ออกอีก)
ได้คำตอบแบบนั้นก็แคปหน้าจอส่งให้ไอ้มิวทันที
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะกระจกดังขึ้นทำให้ผมละสายตาจากมือถือแล้วปลดล็อคประตูรถให้
“สวัสดีค่ะ” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยทักทายและยกมือไหว้อย่างเช่นทุกครั้ง แต่วันนี้ต่างออกไปตรงที่มีรอยเล็บบนใบหน้านี่แหละ “หนู...”
“ไว้คุยกันที่บ้าน”
“...”
ทุกครั้งที่มีบาดแผลเกิดขึ้นก็มักจะถูกพ่อบ่นอยู่เสมอ แค่บ่นจริง ๆ ครับน้องอ้อนหน่อยพ่อก็ใจอ่อนแล้ว เว้นแต่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ เขาก็จะมีวิธีจัดการในแบบของเขา
กลับถึงบ้านก็ถูกพ่อบ่นไปตามระเบียบ และแน่นอนว่าเรื่องนี้ผมจะไม่ยุ่ง ...
“เจ็บไหม” เอ่ยถามเมื่อเพียงฝันเดินออกมาจากห้องพ่อ
“ไม่เจ็บค่ะ”
“เจ้าของรอยเล็บนี่เป็นใครกันนะ”
“เฮ้อ... ช่างเถอะ” น้ำเสียงไร้อารมณ์เอ่ยก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าห้องตัวเองไป
ทุกคนอาจจะมองว่าเพียงฝันน่ารักยิ้มเก่งช่างพูดช่างเจรจาซึ่งมันเป็นแบบนั้นจริงครับ แต่ยกเว้นเวลาโกรธ ...
เช้าวันใหม่
วันนี้เป็นวันหยุดและเย็นนี้ก็ต้องไปบ้านลุงกายด้วย ระหว่างวันผมไม่ได้ออกไปไหนเลยก็อยู่ช่วยพ่อนั่นแหละ ส่วนแม่ออกไปเจรจากับลูกความครับ
“วันนี้ไปด้วยกันหรือเปล่า”
“ไปครับ”
“ตอบเร็วดีนะ ไม่ลังเลแล้วเหรอ”
“ลังเลอะไรพ่อคิดไปเอง”
“งั้นเหรอ? แบบนี้ก็ดี”
ไม่รู้หรอกว่าที่พ่อพูดหมายถึงอะไร ถ้าเป็นเรื่องเอิงเอยผมเฉย ๆ นานแล้ว
ช่วงเย็นผมออกมากับพ่อแค่สองคน ส่วนเพียงฝันไม่มาสงสัยยังจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ได้แม่เลยต้องอยู่เป็นเพื่อนแม้ว่าเจ้าตัวจะยืนกรานหนักแน่นว่าอยู่คนเดียวได้ก็ตาม
“ผมไปหาเพื่อนนะ”
“อืม”
พ่อแยกไปนั่งกับเพื่อนเขาครับ ผมก็แยกมานั่งกับเพื่อนตัวเองเช่นกัน
“อ้าวแล้วน้องเพียงล่ะ” จุ้นห่าวเอ่ยถามอย่างเช่นทุกครั้ง
“ไม่มาอยู่บ้านกับแม่ อ่อ! น้องกูชื่อเพียงฝันครับน้องเพียงที่มึงเรียกนั่นแม่กู” เป็นชื่อที่พ่อใช้เรียกบ่อย ๆ อาจเป็นเพราะมีคำว่าเพียงเหมือนกันล่ะมั้ง
“ฮ่า ๆ โทษทีก็มันติดปาก”
แค่เพียงไม่นานไอ้มิวกับเสียงเพลงก็มา รวมไปถึงครอบครัวของเอิงเอยก็ด้วย แน่นอนว่าเธอเองก็ต้องมานั่งรวมกับพวกเราอยู่แล้วเพราะว่ามันเป็นงานภายในครับ มีแค่โต๊ะผู้ใหญ่แล้วก็พวกเราเท่านั้นเอง
“บรรยากาศตึงเครียดแฮะ” ไอ้เคมีพูดขึ้นลอย ๆ
“พี่ ๆ สวัสดีครับ” เอ้ น้องชายของเธอเอ่ยทักทายพวกเราก่อนจะนั่งลงตรงที่ว่างข้างผม “เพียงฝันเป็นยังไงบ้างพี่ ไม่ใช่สิ! คู่กรณีมันต่างหากบ้านพี่ไปเยี่ยมเขาหรือยัง” ได้ยินแบบนั้นถึงกับต้องวางแก้วแล้วหันไปถามด้วยน้ำเสียงจริงจังแทน
“พี่ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้นสายปลายเหตุมันยังไงนะ แต่ปกติฝันมันไม่ค่อยวุ่นวายกับใครหรอกแต่ทีนี้เสือกฟิวส์ขาดใส่ไม่ยั้งเลยแถมเปิดก่อนด้วย ที่สำคัญหน้าเสาธงตอนเข้าแถวเลยครับ”
“สุดยอด!”
“ไอ้จุ้น!”
“อะไรของมึงเกิดเป็นคนมันก็ต้องสู้ดิวะ เล่าต่อไอ้น้อง”
“ตัวเล็กแค่นั้นแต่เหวี่ยงกระเด็นเลยแรงโคตรเยอะ คนนั้นน่ะหัวแตกเลยนะพี่ ไอ้ฝันแม่งตามซ้ำไม่ยอมจบเลยจนเขายกมือไหว้อะ” ผมบอกแล้วว่าเพียงฝันไม่ยอมใครง่าย ๆ หรอก ถ้าตัวเองเจ็บคนที่ทำก็ต้องเจ็บกว่า “แล้วนี่ถูกเชิญผู้ปกครองด้วยนะ ไม่รู้ว่าจะถูกพักการเรียนหรือเปล่า”
“พักก็พักดิ อยู่บ้านชิว ๆ สบายจะตาย”
“ไอ้จุ้น!” ผมว่าผมเจอแล้วล่ะกำลังสนับสนุนของน้องผมเนี่ย
“มึงก็ไม่ต่างหรอกครับคุณกำปั้น วิ่งไล่กันตรงป้ายรถเมล์กูยังจำได้อยู่เลย”
“พอ! ไม่ต้องพูด”
“ฮ่า ๆ”
จากเรื่องซีเรียสกลายเป็นเรื่องฮา ๆ ไปซะงั้น แต่เรื่องของน้องช่างมันก่อนครับ ตอนนี้วนมาที่เรื่องของผมดีกว่า
“มึงดู” ไอ้มิวกระซิบบอกก่อนจะยื่นมือถือมาตรงหน้าผม “มันกลับมาง้อน้องกู ไอ้เหี้ยนี่ต้องมีแผนแน่เลย”
“แล้วน้องมึงว่าไงล่ะ” เอ่ยถามพลางเหลือบสายตาไปทางเสียงเพลงที่กำลังตั้งใจกินขนมอยู่ “ก็ดูสดใสขึ้นเยอะแล้วนี่”
“กูหวังว่าจะไม่พาตัวเองกลับไปเจ็บอีกครั้งนะ”
“กระซิบอะไรกันวะ” ไอ้แก้มแทรกขึ้นเมื่อเห็นผมกับไอ้มิวคุยกันแค่สองคน
“ไม่บอกอย่าหลอกถาม”
“อย่างมึงสองคนคงไม่พ้นเรื่องผู้หญิงหรอก”
“รู้แล้วจะถามอีกนะ”
“เบาได้เบาเพื่อน ไม่ได้เป็นห่วงแต่เป็นเหี้ยไรหลอกกินเขาไปเรื่อยเลย”
“โสดจะทำอะไรก็ได้”
“จ้า... พ่อคนหล่อ!!”
ระหว่างนี้เราก็ดื่มกินกันตามปกติจนกระทั่งไอ้มิวลุกออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกแล้วฝากให้ผมดูแลเสียงเพลงที่ตอนนี้เอาแต่เงียบ ไม่ใช่สิ เงียบตั้งแต่มาแล้วต่างหาก
“เป็นอะไร?” ว่าจะไม่ถามแล้วเชียวแต่ปากเสือกไวอีก
“ไม่รู้สิคะ หนูไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง”
“...”
เมื่อเห็นผมเงียบเธอจึงยื่นมือถือของตัวเองมาให้ผมดูครับ ก็เป็นแชทอันเดียวกันกับที่ไอ้มิวเปิดให้ดูนั่นแหละ
“ถ้ายังรู้สึกก็แค่กลับไป”
“รู้สึกค่ะ แต่ไม่อยากกลับ”
“รู้สึกมากน้อยแค่ไหน”
“ก็ประมาณหนึ่ง หนู...” คำพูดขาดหายไปพร้อมกับการสั่นไหวของมือถือที่มีสายเรียกเข้าอยู่ในตอนนี้ เธอจ้องมองอยู่แบบนั้นแล้วรอให้สายมันตัดไปเอง
“ไม่รับล่ะ?”
“ไม่ดีกว่าค่ะ หนูกลัวตัวเองจะใจอ่อนอีก” ใช้คำว่าใจอ่อนอีกแปลว่ายอมกลับไปหลายครั้งแล้วสินะ
“ไม่หรอก นี่ก็เก่งขึ้นเยอะแล้ว”
“...”
“อย่างน้อยวันนี้ก็เลือกที่จะไม่รับสายเหมือนที่ผ่านมาได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“จริงด้วย ครั้งแรกเลยนะที่หนูปฏิเสธการโทรของเขา” แววตาเปล่งประกายขึ้นมาเชียวครับ “แถมยังไม่รู้สึกดีใจที่เขาโทรมาอีกต่างหาก”
“เก่ง” ผมว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะมองดูคนตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังกดบล็อกเบอร์นั้นรวมไปถึงกดบล็อกช่องทางในโซเชียลก็ด้วย “ไม่มีประโยชน์หรอกเดี๋ยวเขาก็หาทางจนได้”
“ไม่หรอกค่ะ เขาไม่มีความพยายามขนาดนั้น แต่ถ้าโทรมาอีกก็บล็อกอีกเราต่างคนต่างห่างหายเดี๋ยวเขาคงเลิกสนใจไปเอง” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยอย่างไม่คิดอะไรก่อนจะหยิบของกินใส่ปาก “อันนี้อร่อยพี่กินไหมคะ?”
“...”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ กวาดสายตาไปรอบบริเวณทุกคนเอาแต่จดจ้องมาทางผมจนรู้สึกทำตัวไม่ถูก
“อะไรของพวกมึง”
“เปล๊า! อันนี้อร่อยใช่ไหมไอ้เค” ไอ้แก้มครับ ยังมีหน้ามาอมยิ้มอีก
“เออ อันนี้ก็อร่อย ใช่ไหมไอ้จุ้น”
“เออ” ถึงกับส่ายหน้าให้ครับ เรื่องกวนประสาทต้องยกให้เขาล่ะ
“หนูรู้ว่าเพียงฝันมีเรื่องกับใคร” เสียงกระซิบแผ่วเบาเอ่ยพร้อมกับโน้มใบหน้ามาใกล้ผม “คือว่า...”
“ฝึกงานเป็นยังไงบ้างเหรอ โอเคใช่ไหม?” เอิงเอยพูดแทรกขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน “เห็นลุงเก้าบอกว่านายกลับสองทุ่มแทบทุกวันเลย” ทุกประโยคถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มแล้วมันก็ทำให้ผมตกเป็นจุดสนใจอีกครั้ง จะมีก็แต่เสียงเพลงที่ไม่สนใจอะไรแล้วเอาแต่กินนั่นกินนี่อย่างเอร็ดอร่อย
“ก็ดี”
“อ่อ... แล้วตอนนี้คบกับใครอยู่เหรอ มีแฟนใหม่หรือยัง”
“ถามทำไม?”
“ขอคุย...”
“พี่คะอันนี้ก็อร่อยค่ะ” คนที่เอาแต่สนใจของกินพูดแทรกขึ้นพร้อมกับตักเค้กน่าตาน่ารักวางลงในจานผมกับไอ้มิว “พี่มิวชอบกินช็อกโกแลต แล้วพี่ล่ะคะ?”
“ปั้นไม่ค่อยกินของพวกนี้หรอกแต่ถ้าเป็นเพียงฝันนะชอบมาก” คำตอบถูกเอ่ยออกมาจากปากของเอิงเอยแต่ถึงอย่างนั้นเด็กห่วงของกินก็ไม่สนใจอยู่ดี
“ทำไมล่ะคะ อร่อยนะหนูชอบมาก” ปากพูดกับผมแต่ก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับของกินครับ “แล้วพี่ไม่ชอบอะไรอีกคะ พี่มิวไม่ชอบผักค่ะ”
“...”
“ว่ายังไงคะ พี่ไม่ชอบอะไร? ส่วนหนูไม่ชอบขิง” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วยังคงถามไปตามประสา และคำถามนี้ก็ไม่มีใครตอบได้ครับนอกจากตัวผมเอง เพราะไม่เคยมีใครถามว่าผมไม่ชอบอะไร เสียงเพลงคือคนแรก
“ขนม ลูกอม ของหวานครับ”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะตอนเด็ก ๆ พี่กินจนเบื่อแล้วเพราะเพียงฝันยัดเยียดให้แทบทุกเวลา”
“ฮ่า ๆ ทำไมวะ” ไอ้จุ้นห่าวถามขึ้นมาบ้างครับ “ขนมนี่ของชอบตั้งแต่เด็กเลยนะเว้ย”
“จะทำไมล่ะ ซื้อมาเยอะไม่พอแกะทุกห่ออีกต่างหากแล้วพ่อยื่นคำขาดไว้ถ้ากินไม่หมดจะตี กูก็เสือกเป็นพี่ที่รักน้องอีกกลัวน้องโดนตีจะแอบเอาไปซ่อนก็ไม่ได้ เอาไปทิ้งยิ่งหนักเลย ก็นั่นแหละตามนั้น” ตอนเด็ก ๆ เพียงฝันเอาแต่ใจครับ อยากได้อะไรก็ต้องได้ พ่อก็ไม่ขัดนะแต่มีข้อแม้ว่าต้องกินให้หมด ขู่ไปแบบนั้นแหละเคยตีซะที่ไหน
... : ฮ่า ๆ
“เป็นอย่างนี้นี่เอง ถึงว่าสิเวลาเราทำขนมทำไมปั้นถึงไม่ค่อยกิน ตอนแรกก็คิดว่าไม่อร่อย ที่ไหนได้ไม่ชอบนี่เอง”
“อ้าว... พี่เพิ่งรู้เหรอคะ?”
“...” ถึงกับไปไม่เป็นครับเมื่อถูกตั้งคำถามแบบนั้น
ก็บอกแล้วว่าไม่มีใครรู้เพราะไม่เคยมีใครถาม เสียงเพลงคือคนแรก