บทที่ 2

1360 คำ
ยามเช้าของวันรุ่งขึ้น หลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิง ต่างมุ่งหน้าเข้าวังหลวงไปพร้อมกันแต่เช้า เนื่องจากเขาต้องเข้าประชุมเช้าร่วมกับหลัวม่อเยียนที่วังหลวงในยามเช้าทุกวัน ระหว่างทางหลัวเยี่ยนเจ๋อก็เอ่ยบางอย่างกับหลัวเทียนเฉิง "หากท่านพี่มอบนางให้ข้ากับเจ้า อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีวันยกย่องนางเป็นชายาเอก บิดาของนางคิดก่อกบฏ พอถูกจับได้จึงส่งนางมาที่ไท่หยาง สตรีเช่นนี้ข้าไม่ไว้ใจ อย่างไรเสียก็ได้ชื่อว่าเป็นเชลยศึก" "ข้าก็เห็นด้วยกับเจ้า หากต้องรับนางเข้าจวนมาจริงๆ ให้นางเป็นเพียงนางบำเรออุ่นเตียงก็พอ" "เจ้าว่าอย่างไรข้าก็ว่าตามนั้น" เมื่อตกลงกันตามนี้แล้ว ทั้งสองจึงรีบมุ่งหน้าไปวังหลวงเพื่อร่วมประชุมยามเช้าทันที แม้ยามนี้บ้านเมืองจะสงบสุขกว่าแต่ก่อน แต่ทว่าไท่หยางก็ยังมีการคุ้มกันอย่างหนาแน่นเหมือนเช่นเคย กองกำลังทหารทั้งหมด ขึ้นตรงอยู่กับหลัวเยี่ยนเจ๋อ เนื่องจากเขาได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งสงคราม แคว้นใดที่คิดต่อกรกับเขาย่อมพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี ด้านหลัวเทียนเฉิงนั้น เขาเป็นคนที่เถรตรงและเกลียดคนที่ใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกต้องที่สุด หลัวม่อเยียนจึงให้เขาทำหน้าที่ดูแลควบคุมอยู่ที่หน่วยสืบสวนพิเศษของราชสำนักที่หลัวม่อเยียนจัดตั้งขึ้นมาเพิ่มเติมเมื่อไม่นานมานี้ ทุกคดีที่ว่ายากหรือผู้ร้ายแอบลักลอบหนีออกจากคุกหลวง เขาย่อมตามสืบและตามจับได้สำเร็จ แม้จะเป็นคนเย็นชาและเงียบขรึม ดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ แต่แท้จริงแล้ว เขานั้นเชี่ยวชาญทั้งด้านบุ๋นและบู๊ ซึ่งน้อยยิ่งนักที่จะหาผู้ใดเก่งทั้งสองอย่างเช่นนี้ได้ในใต้หล้า "ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้แผ่นดินไท่หยางแห้งแล้งยิ่งนัก อีกทั้งยังไม่สามารถปลูกพืชผลใดใดได้เลย ฝ่าบาทจะทรงหาแนวทางแก้ไขเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ" เหล่าขุนนางต่างออกความเห็นในท้องพระโรงอย่างเผ็ดร้อน เนื้อหาสำคัญย่อมเกี่ยวกับความแห้งแล้งของไท่หยาง และคำพูดจาเสียดสีทิ่มแทงที่ส่งมายังหลัวม่อเยียน ราวกับว่าภัยพิบัติในครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เขาได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ หลัวม่อเยียนพยายามอดกลั้นโทสะเอาไว้ในใจ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนไร้ซึ่งโทสะ "เอาเถิด เราจะคิดหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เราจะออกไปสำรวจและดูความเป็นอยู่ของราษฏรด้วยตนเอง" หลัวม่อเยี่ยนเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะสั่งให้เลิกประชุมเช้าไปเสีย เพราะเขากลัวว่าตนเองจะควบคุมโทสะในใจเอาไว้ได้ "เสด็จพี่อย่าทรงคิดมากเลยพ่ะย่ะค่ะ" หลัวเยี่ยนเจ๋อเอ่ยปลอบใจหลัวม่อเยี่ยนอย่างเห็นใจ หลัวเทียนเฉิงเองก็ยื่นมือไปตบไหล่พี่ชายของตนเบาๆ หลัวม่อเยี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย "พี่เข้าใจ พวกเจ้าไปทำหน้าที่ของตนเองเถิด พี่เองก็จะเดินทางไปที่วัดบนเขาเสียหน่อย เผื่อว่าจะไปขอพรให้ไท่หยางร่มเย็นได้บ้าง" "พ่ะย่ะค่ะ" "อ้อ ช้าก่อน พี่ลืมไปเสียสนิทเลย ราชเลขา พานางเข้ามา" "พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท" ราชเลขารับคำ ก่อนจะเดินออกไปที่ด้านนอกตำหนักและหายออกไปครู่หนึ่ง ไม่นานนักก็กลับเข้ามาพร้อมกับสตรีนางหนึ่ง หลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิงหันไปมองนางพร้อมกัน ก่อนจะต้องตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง สตรีตรงหน้าพวกเขางดงามราวกับเทพธิดาบนแดนสวรรค์ นางสวมชุดสีชมพูปักลวดลายดอกเหมย ทรงผมถูกเกล้าขึ้นไปครึ่งหนึ่งและประดับปิ่นสีทองเอาไว้บนศีรษะ เส้นผมยาวสลวยที่เหลือถูกปล่อยลงมาถึงกลางหลัง รับกับใบหน้าสวยหวานหยาดเยิ้ม ผิวของนางนวลเนียนราวกับหยกชั้นดี ช่างดึงดูดให้เขาทั้งสองละสายตาไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว "ถวายพระพรฝ่าบาท หม่อมฉัน โจวอวี้หลัน มาแล้วเพคะ" โจวอวี้หลัน องค์หญิงจากแคว้นต้าไห่ ผู้ถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการหรือก็คือเชลยศึกในสงครามที่บิดาของนางพ่ายแพ้ให้ไท่หยางอย่างราบคาบ แต่แท้จริงแล้ว องค์หญิงโจวอวี้หลันคนเดิมได้กลั้นใจตายระหว่างทางไปเสียแล้ว เนื่องจากนางมิอยากตกเป็นเชลยศึกของไท่หยาง อวี้หลัน หญิงสาวจากชาติปัจจุบันผู้มีอาชีพเป็นพยาบาลสาว ที่ล้มป่วยด้วยโรงมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย ได้กลับมาเกิดใหม่ในร่างของนาง โจวอวี้หลันก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม ความจริงแล้วนางเองยังไม่คุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้สักเท่าใดนักอีกทั้งตั้งแต่นางข้ามภพมาอยู่ในร่างนี้ ทุกคืนนางจะฝันประหลาดถึงเรื่องราวบางอย่าง ในความฝันนั้น นางเห็นชายผู้หนึ่ง กำลังทำพิธีบางอย่างอยู่ โดยใช้หญิงสาวเป็นเครื่องสังเวยบูชายัญ นางฝันเช่นนี้ติดต่อกันมาหลายคืนจนเริ่มหวาดกลัว "อวี้หลัน เราจะยกเจ้าให้กับน้องชายฝาแฝดของเรา นั่นก็คือชินอ๋องและจวิ้นอ๋อง เจ้าจะต้องรับใช้น้องชายของเราให้ดี เจ้าเข้าใจหรือไม่?" โจวอวี้หลันค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมองหลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิง ก่อนจะต้องตกตะลึงไม่น้อย ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเหมือนกัน แน่นอนสิเขาเป็นฝาแฝดกัน! คนหนึ่งใบหน้าไม่รับแขก อีกทั้งยังดูอารมณ์ร้ายอยู่ตลอด เขาสวมชุดสีดำยิ่งขับให้ความน่าเกรงขามของเขาดูสูงส่งเกินผู้ใด หลัวม่อเยียนบอกว่า เขาคือชินอ๋องหลัวเยี่ยนเจ๋อ ผู้เป็นแฝดพี่ ส่วนอีกคนหนึ่งก็สุขุมเย็นชา แต่แววตาดูหื่นกระหายอย่างปิดไม่มิด เขาสวมชุดสีแดงดูร้อนแรงยิ่งนัก คือแฝดน้อง นามว่าจวิ้นอ๋องหลัวเทียนเฉิง สวรรค์!!ข้ามภพมาทั้งทีจะได้สามีถึงสองคนเลยหรือ? คุ้มเว่อร์!! ไม่ได้ต้องเก็บอาการเสียหน่อย!! เมื่อคิดได้เช่นนั้น โจวเฉินอวี้จึงเอ่ยตอบหลัวม่อเยียนทันที "แล้วแต่ฝ่าบาทจะทรงเมตตาเพคะ ชีวิตของหม่อมฉัน อย่างไรเสียก็ตกอยู่ในกำมือของฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทจะทรงชี้ทางใดให้หม่อมฉันก็สุดแท้แต่ฝ่าบาทเถิดเพคะ" "ดี เช่นนั้นเจ้าก็ติดตามท่านอ๋องทั้งสองกลับจวนไปเสีย นับแต่นี้ชีวิตของเจ้าเป็นของพวกเขาแล้ว" "เพคะ ฝ่าบาท" หลัวม่อเยี่ยนเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกจากตำหนักไป ทิ้งให้โจวอวี้หลัน ยืนอยู่กับหลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิงเพียงลำพังสามคน โจวอวี้หลันค่อยๆเงยหน้าไปยิ้มให้ทั้งสองคนอย่างเป็นมิตร ในใจพลางครุ่นคิดว่านางจะได้กินคนไหนก่อนดี โอวว!!! หรือมาพร้อมกันเลยคงจะดีไม่น้อย "อย่าแม้แต่จะคิดว่าข้าจะแตะต้องตัวเจ้า ข้าไม่มีวันแตะต้องร่างกายของสตรีที่ขึ้นชื่อว่ามีสายเลือดกบฏไหลเวียนอยู่ในกายเป็นอันขาด!!" หลัวเยี่ยนเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูแคลนและเย้ยหยัน ทำให้โจวอวี้หลันยิ้มค้างกลางอากาศอยู่เช่นนั้น ด้วยความอับอาย "เห้อ เสียดายนะ ที่เจ้ามีสายเลือดกบฏ ข้าเองก็ไม่อาจทำใจรับเจ้าเป็นภรรยาได้เช่นกัน" หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เสียดายยิ่งนัก พลางจ้องมองหน้าอกของนางตาไม่กระพริบ จนหลัวเยี่ยนเจ๋อต้องยกเท้าขึ้นเตะขาของเขาคราหนึ่ง จึงจะรู้สึกตัว แฝดน้องบัดซบ!!เห็นนมเป็นไม่ได้!!โจวอวี้หลันที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ โธ่!!เป็นเชลยแล้วอย่างไรเล่า ข้างามขนาดนี้ ดูสิว่าพวกเขาจะอดใจได้นานสักแค่ไหน ...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม