“รีณ พี่ไปทำงานก่อนนะ” เสียงเข้มเอ่ยดังข้างหูของฉันทำให้ฉันต้องปรือตาเพื่อมอง
“.....” พอเห็นหน้าแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร ถึงแม้เมื่อคืนจะมีอะไรกันแต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะลืมเรื่องที่เค้าทำและหายโกรธหรอกนะ
“ไม่พูดนี่ยังไม่หายโกรธ?”
“.....” ยังมีหน้ามาถามอีก เรื่องใหญ่ขนาดนี้มันไม่ใช่แค่ว่าต้องโกรธ แต่เรื่องการโกหกและนอกใจไปมีอะไรกับคนอื่นแบบนี้มันหนักหนาพอที่จะทำให้เลิกกันได้เลยด้วยซ้ำ
“เห้อ พี่สัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่ทำอีก ตกลงไหม”
“.....” มันใช่สิ่งที่ต้องมาถามฉันไหมว่าตกลงหรือเปล่า มันก็เป็นสิ่งที่เค้าไม่ควรทำอยู่แล้วไหมล่ะ
“โอเค ถ้ารีณยังไม่อยากพูดกับพี่ก็ไม่เป็นไร ไว้ใจเย็นกว่านี้แล้วเราค่อยคุยกันนะ” พี่นำทับพูดจบก็เดินออกจาห้องไปโดยไม่หันกลับมามองฉันอีก เออดี ให้มันได้แบบนี้สิ
นำทับ
วันนี้ผมมาทำงานด้วยความหงุดหงิด ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันผิด แต่ผมก็ขอโทษไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไง ไม่คิดว่าพอเช้ามาไอรีณยังจะโกรธและไม่พูดกับผมแบบนี้ แล้วคือผมไม่ชอบไงโกรธไม่พอใจแล้วไม่พูดอ่ะ มันจะไปรู้เรื่องได้ยังไง สู้พูดกันให้เข้าใจดีกว่าไหม
พลั่ก เสียงประตูที่ถูกเปิดออกโดยไร้การเคาะในเวลาพนักงานทำให้ผมต้องเงยหน้าไปมองด้วยความไม่พอใจ
“คุณควรจะเคาะประตูห้องผมก่อนเข้ามานะ” ผมบอกกับร่างบางด้วยชุดเซ็กซี่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่บ่งบอกถึงอารมณ์
“แหม ทีเวลาทำเรื่องอย่างว่าคุณยังไม่เคยจะขออนุญาตพิชชาก่อนเลยนะคะ” พิชชาตอบพร้อมกับเดินเข้ามากอดคอผมแล้วลูบไล้ร่างกาย
“มีอะไรก็ว่ามา” ผมแกะมือเธอออกแล้วถามด้วยสีหน้าเดิม
“ห่างเหินจังนะคะพ่อหนุ่มน้อย พอเมียรู้เรื่องนี่กลับตัวเป็นเด็กดีเลยหรอคะ” พิชชาพูดด้วยรอยยิ้มร้าย แต่คำพูดของเธอมันเป็นการหยามผมมาก
“อย่ามาพูดพร่อยๆแบบนี้ ผมไม่ชอบ” ผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน
“ก็พิชชาพูดความจริงนี่คะ ถ้าคุณไม่กลัวเมียคุณ คุณคงตอบสนองพิชชาไปแล้ว” พิชชายังคงพูดหยามผมไม่เลิก แล้วคุณอย่างผมมีหรอที่จะปล่อยให้ผู้หญิงที่อ่อนกว่าอย่างเธอมาทำแบบนี้กับผม
“อื้มมม” ผมพุ่งไปจูบพิชชาด้วยความรุนแรงเพราะอยากสั่งสอนให้เธอรู้ว่าไม่ควรใช้ปากของเธอมาพูดแบบนี้กับผมอีก และพิชชาเองก็ตอบสนองผมได้ดีเป็นอย่างมาก และหลังจากนั้นก็ไม่ต้องถามว่าเกิดอะไรขึ้นอีก
ถ้าถามว่าพิชชาเข้ามาที่นี่ได้ยังไง พอดีเธอเป็นนางแบบชุดว่ายน้ำคอลเลคชั่นใหม่ของบริษัทผม และผมก็เป็นคนเลือกเอง
เราเคยเรียนมหาลัยเดียวกันเคยเจอกันบ่อยๆ ตอนแรกผมก็สนใจเธอนะ แต่ตอนนั้นผมคบกับไอรีณแล้วผมเลยเลือกที่จะไม่ยุ่ง
แต่
“เป็นไงมึง” เสียงวันใหม่ถามฉันด้วยความเป็นห่วงหลังหมดคาบโดยมีหยาดฝนที่พึ่งรู้เรื่องนั่งอยู่ด้วย
“มีแต่คำแก้ตัวว่ะ” ฉันตอบเพื่อนไปตามตรง เพราะตั้งแต่กลับไปคุยกันมันไม่มีคำสารภาพหรือสำนึกผิดเลยสักนิด ถึงจะพูดคำว่าขอโทษก็เถอะ
“แล้วมึงจะเอายังไงต่อ” หยาดฝนเพื่อนสนิทอีกคนถาม
“รอดูพฤติกรรมไปก่อน ถ้ามีอีกครั้งกูคงปล่อย” ไม่ได้งี่เง่าหรือไร้เหตุผล แต่คนที่โกหกแฟนแล้วไปมีอะไรกับคนอื่นได้เป็นเดือนมันก็ต้องไม่สำนึกพอแล้ว แล้วถ้าเกิดว่ามีอีกครั้งก็แสดงว่าเค้าไม่ได้มีใจหรือคิดจะสำนึกจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องไปเก็บเค้าไว้
“เออ ยังไงก็ใจเย็นๆก่อน รอให้อะไรมันชัดเจนก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ” วันใหม่เตือนฉันออกมา เพราะมันเคยผ่านเรื่องคล้ายๆฉันมาก่อน แต่กลับกันที่คนที่โดนเข้าใจผิดเป็นมันจนตอนนี้เลิกกับแฟนมันไปได้สักพักใหญ่แล้ว
“อืม ขอบใจพวกมึงที่เป็นห่วง กูจะไม่บู่มบ่ามทำอะไรแล้วกัน” ฉันเป็นคนที่มีเหตุผลคนหนึ่งเลยแหละ ถ้าคิดจะทำผิดกับฉันต้องมีเหตุผลที่ดีและฟังขึ้น นั่นถึงจะทำให้ฉันให้อภัย แต่ถ้าสิ่งที่พูดออกมาเป็นเพียงแค่คำแก้ตัว พูดทั้งชาติฉันก็ไม่มีวันยกโทษให้
“งั้นกลับกันเลยป่ะ” หยาดฝนพูดขึ้น เพราะไม่พวกฉันไม่มีอะไรทำแล้ว
“เออ เจอกันพรุ่งนี้” ฉันบอกแล้วแยกกันกับเพื่อนขับรถกลับคอนโด
แกรก พอเปิดประตูห้องเข้ามาก็ได้ยินเสียงทีวีและห้องที่เย็น
“กลับมาแล้วหรอ” เสียงเข้มเอ่ยถามเมื่อฉันเดินเข้ามาในห้อง
“ทำไมวันนี้กลับเร็วค่ะ” ฉันถามพี่นำทับออกไป เพราะนี่พึ่งจะห้าโมงนิดๆ ปกติเค้าเลิกงานห้าโมงเย็น กว่าจะขับรถมาถึงห้องแบบที่รถไม่ติดก็ไม่ต่ำกว่าห้าโมงครึ่ง
“วันนี้งานเสร็จเร็ว พี่ก็เลยกลับมาอยู่กับรีณไง”
“รีบกลับมาอยู่กับรีณแบบนี้อย่ามาโทษรีณว่าไม่ให้อิสระพี่นะคะ” ไม่ได้อยากประชด แต่เค้าเป็นคนเลือกเองทำเองแล้วจะมาโทษฉันว่าให้อิสระเค้าน้อยเหมือนเมื่อคืนมันก็ไม่ใช่ไหมล่ะ
“เราอย่าพูดเรื่องเก่าๆกันเลยดีกว่าเนอะ” หึ พอโดนย้อนศรให้ก็ทำเสียงอ้อน คิดว่าฉันจะลืมหรือไงกัน
“หิวข้าวหรือยังคะ” ฉันเปลี่ยนเรื่องถามออกไป เพราะใจฉันก็ไม่ได้อยากทะเลาะหรอก เสียสุขภาพจิต อยู่นิ่งๆรอดูพฤติกรรมดีกว่า
“ไม่เท่าไหร่ รีณหิวแล้วหรอ”
“ยังค่ะ แค่ถามดู” เวลากินข้าวปกติก็ประมาณหกโมงทุ่มหนึ่งเลยยังไม่หิวเท่าไหร่ อีกอย่างฉันกินขนมกับเพื่อนก่อนแยกกันมาแล้วด้วย
“งั้นมาดูหนังกับพี่ดีกว่า นี่ซี่รี่ย์แนวที่รีณชอบทั้งนั้นเลยนะ” พี่นำทับพูดแล้วเดินมาจูงมือฉันไปนั่งที่โซฟา
“เอาใจจังเลยนะคะ กลบเกลื่อนความผิดเก่าหรือความผิดใหม่กันคะ” บอกแล้วไม่ได้อยากประชด แต่คนที่พึ่งทำผิดมาแล้วมาทำดีด้วยแบบนี้มันหน้าสงสัยไง และคิดว่าไม่ใช่ความดีที่มาจากใจบริสุทธิ์แน่นอน
“รีณอย่าหาเรื่องพี่ได้ไหม พี่แค่อยากมีเวลาอยู่กับแฟนพี่แค่นั้นเอง” พี่นำทับพูดด้วยสีหน้ากึ่งไม่พอใจกึ่งน้อยใจ แต่ทำไมฉันรู้สึกว่าเค้ากำลังวีนฉันเลยนะ
“ค่ะ รีณไม่หาเรื่องแล้วก็ได้” ฉันตัดปัญหาออกไปเพราะไม่อยากเอาเวลาดีๆมาทำให้ต้องทะเลาะกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นดีแตกหรือเปล่าไม่รู้ก็เถอะ
“เออรีณ ช่วงหลังๆพี่อาจจะกลับห้องดึกนะ” ระหว่างนั่งดูซี่รี่ย์ได้สักพักพี่นำทับก็พูดออกมา
“ทำไมคะ”
“ช่วงนี้ต้องออกคอลเลคชั่นใหม่หลายชุดเลยอ่ะ พี่ต้องอยู่เร่งงาน”
“ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงานรีณก็ไม่ว่าอะไร” ฉันตอบกลับไปตามความรู้สึก ถึงแม้จะไม่ได้เชื่อเค้าเต็มร้อยก็เถอะ แต่ยังไม่อยากงี่เง่าเพราะเดี๋ยวมันเป็นเรื่องงานจริงๆฉันจะดูไม่ดีเอา
“เป็นเรื่องงานจริงๆ ถ้ารีณไม่เชื่อรีณจะไปดูกับตาตัวเองก็ได้นะ”
“ไว้วันไหนรีณว่าง รีณจะไปหาแล้วกันนะคะ” ไม่ได้ขู่ให้กลัว แต่พูดเรื่องจริง
“ได้ครับ เพราะพี่ต้องทำงานจริงๆ” พี่นำทับตอบด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ
“รีณก็ไม่ได้ว่าอะไร รีณแค่คิดว่าอาจจะเอาข้าวเย็นไปให้ก็แค่นั้นเองค่ะ ไม่ได้คิดจะไปจับผิดอะไรหรอก” ฉันยิ้มตอบออกไป ก็บอกแล้วว่าถ้าเป็นเรื่องงานฉันไม่งี่เง่า
“เมียพี่นี่น่ารักที่สุดเลยครับ” พี่นำทับพูดพร้อมกับบีบจมูกฉันส่ายไปมาเบาๆ
“อื้อ น่ารักก็รักให้มากๆนะคะ อย่ารักแต่ปาก” ฉันดึงมือหนาออกแล้วสบตาพูดด้วยคำพูดและแววตาจริงๆจังออกไป
“ทุกวันนี้รักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้วครับ” พี่นำทับสบตาแล้วตอบกลับ แต่คำตอบของเค้ามันเชื่อได้แค่ไหนกันนะ
“ก็รักเหมือนเดิมที่เคยรักนั่นแหละค่ะ ต้องการแค่นั้น”
“ถ้าเหมือนตอนเดิมที่รัก ตอนนั้นพี่จำได้ว่าเรารักกันทุกวันหลายเวลาด้วย” และคำตอบของเค้าตอนนี้กำลังวกกลับไปเรื่องอย่างว่าอีกครั้ง แต่ไม่เป็นไร เรื่องเซ็กส์ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องสำหรับชีวิตคู่ ถ้ามันทำให้เค้าพอใจได้ฉันก็ยอม
“แล้วเมื่อก่อนเวลานี้เรารักกันไหมคะ” ฉันถามกลับด้วยสายตายั่วยวนไม่ต่างจากร่างสูง
“รักสิ บ่อยเลย” พี่นำทับตอบกลับ
“แล้วจะช้าอยู่ทำไมคะ รีณก็อยากให้พี่นำทับรักรีณเหมือนกัน”