ตอนที่ 7 ยกน้ำชา
หลิวหลีเห็นเขาเอ่ยเสียงแหบพร่าเยี่ยงนี้ ก็ทำให้นางรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นางรีบดับกำยานนั้นทิ้งไปทันที แล้วนำน้ำชาให้เขาดื่ม ทว่ามันก็ไม่สามารถบรรเทาอาการของเขาได้เลย แต่กลับทำให้เขากอดรัดฟัดเหวี่ยง กักขังนางเอาไว้ในอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก
แม้ว่าหลิวหลีพยายามดิ้นรนขัดขืน สุดท้ายก็ไม่เป็นผลอยู่ดี ในใจนั้นปวดร้าวนัก ถ้อยคำที่เขาเอ่ยนั้นคือหลิวหลินพี่สาวที่เพิ่งจากไปได้ไม่นาน ชายหนุ่มมิรู้อันใดเรื่องนี้ เขาจึงไม่หยุดยั้งความต้องการที่พรั่งพรูออกมาไม่หยุดหย่อน
ทั้งสองกกกอดกันจวบจนฟ้าสาง หลังจากผ่านข้ามคืนเข้าหอมาแล้ว รุ่งอรุณวันใหม่มาเยือน หลิวหลีค่อย ๆ เปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งนั้นขึ้นมา ก็พบว่าเรือนร่างของนางนั้นเปลือยเปล่า อยู่ในอ้อมกอดของเป่ยหมิง ยามที่นางมองใบหน้าอันคมคายนี้ทีไร หัวใจนางสั่นไหวเต้นโครมครามไปเสียทุกครา
ชายหนุ่มรับรู้ถึงความเคลื่อนไหว จึงรู้ว่านางตื่นแล้ว แต่เขายังแสร้งแกล้งหลับตานอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงต่อโดยมีภรรยาสาวในอยู่ในอ้อมกอดของตน ในใจนั้นยินดีเป็นนักหนา ด้วยเพราะเขาและนางก็ได้ทำตามคำสัญญาที่ให้กันไว้
“ท่านพี่” นางกระซิบเบา ๆ คิดว่าเขายังไม่ตื่น นางจะได้ไปล้างเนื้อล้างตัว สวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อย เพราะวันนี้นางจะต้องยกน้ำชาให้แม่สามีเป็นวันแรก ไม่รู้ว่าจะถูกแม่สามีข่มเหงรังแกอันใดหรือไม่
“นอนต่ออีกหน่อยเถิด” เขายังคงกักขังนางเอาไว้ในอ้อมกอด มิให้นางห่างหายไปจากเขา รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ซาบซ่านผ่านผิวกายจนเกิดความกระสันซ่านขึ้นมาอีกหน
“ไม่ได้เจ้าค่ะ วันนี้ข้าจะต้องยกน้ำชาให้ท่านแม่” นางรีบปฏิเสธ เพราะว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังคุกคามก้นงอนงามของตนไม่หยุดหย่อน
“ท่านแม่มิใช่คนเคร่งครัด พวกเราค่อยยกน้ำชาวันหลังก็ได้” เขายังคงไม่ปล่อยนางให้ออกห่าง ฝ่ามือหนาลูบไล้ผิวกายที่เนียนละเอียด จากสะโพกกลมกลึงเลื่อนขึ้นมาถึงความนุ่มนิ่มที่ได้ครอบครองดูดดื่มเมื่อคืนนี้ มันช่างหวานหอมหวนยิ่งนัก ยากนักที่จะหักห้ามใจไม่ให้กลืนกินนาง
“ได้อย่างไรกันเจ้าคะ” นางไม่กล้าขัดใจเขา ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ ภายในใจรู้ดีว่าเขารักใคร่พี่สาวของนางมากเพียงใด หากวันหนึ่งดวงตาของเขาหายดี จะรักนางหรือชิงชังนางกันแน่ นางหวาดหวั่นนัก เกรงว่าวันเวลานั้นจะมาถึงเพียงในระยะเวลาอันสั้นนี้
“ทำไมไม่ได้เล่า หากข้าอยากอยู่กับเจ้าอีก” ชายหนุ่มยังคงออดอ้อน แต่ฝ่ามือหนากลับฟอนเฟ้นความนุ่มนิ่มไม่หยุดหย่อน ซ้ำยังค่อย ๆ หยัดกายขึ้นเล็กน้อย โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ซอกคอของนาง แล้วจรดริมฝีปากขบกัดต้นคอของนางเบา ๆ
หลิวหลีรู้สึกเสียวสยิวนัก เหตุใดเขาจึงกลายเป็นคนมากราคะไปเสียได้ เมื่อคืนก็ทำนางเจ็บไปทั้งตัว แล้วยังรุ่งเช้าเขายังคิดจะกินนางอีกหรือ กายสาวของนางเจ็บแปลบให้เสียแล้ว เมื่อถูกบางอย่างเสียดสี แหวก กลีบบุปผางามให้อ้าออก
“อื้อ...อย่า” นางพยายามห้ามปราม แต่เขากลับรัดนางเอาไว้ในอ้อมกอด ริมฝีปากหนาขบเม้มลงมาที่ยอดถัน แล้วดูดดึงเสียงดังไม่น้อยนัก ทำให้หลิวหลีเผลอไผลทอดกายให้เขาเชยชมอีกครั้ง
เพราะนางมิอาจหักห้ามใจตนเองได้ จึงปล่อยให้มันเป็นไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้น
ทางด้านเสี่ยวอันตื่นแต่เช้า ออกไปส่งจดหมายให้ร้านขายสมุนไพรเพื่อให้เถ้าแก่เฉาส่งมันไปให้ท่านหมอเทวดา คาดว่าป่านนี้คงอยู่ในหุบเขาหาสมุนไพรเป็นแน่ สิ่งที่หลิวหลีได้เขียนลงไปนั้น คือขอร้องให้ท่านอาจารย์มาตรวจอาการของเป่ยหมิง
เถ้าแก่เฉารับจดหมายมา “จดหมายนี้คาดว่าอีกนานจะถึงมือท่านหมอ” การที่จะส่งจดหมายไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะหาตัวท่านหมอพบหรือไม่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ฮูหยินน้อยร้อนใจนัก อยากให้ท่านหมอลงเขามาตรวจดวงตาท่านแม่ทัพ โดยด่วน รบกวนเถ้าแก่เฉาด้วยนะเจ้าคะ” เสี่ยวอันแจกแจงรายละเอียด เห็นว่าชายชรามีสีหน้าครุ่นคิดมากมาย
“ข้าได้ยินว่า แม้แต่หมอหลวงยังส่ายหน้า แล้วท่านหมอจะรับปากหรือว่าจะหายดีแน่” เถ้าแก่เฉาเห็นใจท่านแม่ทัพยิ่งนัก อายุยังน้อยแต่กลับต้องสูญเสียดวงตา กลายเป็นคนพิการไร้ความสามารถ เขาจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ก็แล้วกัน
แต่ก็ไม่อาจรับรองได้ว่า...เป่ยหมิงจะกลับมามองเห็นดั่งเดิมหรือไม่ กระทั่งหมอหลวงในวังหลวงยังไม่สามารถรักษาให้หายได้เลย เกรงว่าแม้แต่ท่านหมอเทวดาก็อาจรักษาไม่ได้เช่นเดียวกัน จะฝืนกฎสวรรค์ได้อย่างไรกันหนอ
“ฮูหยินน้อยตรวจคร่าว ๆ แล้ว รักษาได้ แต่ก็ต้องพึ่งวิชาการแพทย์ของท่านหมอ คุณหนูทำได้แค่เตรียมสมุนไพรช่วยบรรเทาอาการของท่านแม่ทัพ”
ทางด้านหลิวหลี ยามนี้กำลังเดินออกจากเรือนนอน โดยมีเสียนจินเดินตามแผ่นหลังของคนทั้งคู่ เป่ยหมิงถูกประคองด้วยภรรยา ที่เขาไม่รู้เลยว่า นางคือหลิวหลี มิใช่หลิวหลิน สตรีที่เขารักจนหมดใจ
เสี่ยวเสียนแม้ใบหน้าจะงดงาม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น กลับมีความคิดอันชั่วร้าย หวังจะปีนป่ายตำแหน่งฮูหยินน้อยของจวนเป่ย แต่นางก็พบกับความผิดหวัง เมื่อชายหนุ่มดวงตามืดบอดนั้นตัดรอน และไม่รับความหวังดีจากนาง
แม้ใจเจ็บแค้นเพียงใด ก็ยังรั้งรอวันที่จะเป็นของนาง ด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่สู้ดี จะหาสามีที่มีหน้ามีตาและตำแหน่งสูงส่งนี้ได้อย่างไรกัน ถึงแม้เป่ยหมิงจะถูกสั่งพักงานเพื่อรักษาตัว
ทว่าตำแหน่งแม่ทัพนี้ก็ยังมิได้ถูกริบรอนไป เช่นนั้นแล้วเสียนจินจึงต้องพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมปีนป่ายสู่ตำแหน่งฮูหยินน้อยให้สำเร็จ เพื่ออนาคตอันสดใสรุ่งโรจน์ของตนที่จะได้หลุดพ้นจากโคลนตมเสียที
อีกทั้งยังมีฮูหยินใหญ่เป็นกองหนุนที่สลักสำคัญยิ่งนัก หญิงสาวจึงมั่นอกมั่นใจว่า ระยะเวลาในไม่ช้านี้ เขาต้องยินยอมแต่งงานกับนางแน่ แล้วยามนั้นนางจะเขี่ยหลิวหลินให้ออกไปจากจวนเป่ยให้ได้
“ท่านพี่ระวังนะเจ้าคะ ยกเท้าอีกนิดเจ้าค่ะ” หลิวหลีดูแลเขาเป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลาที่เดินผ่านเส้นทางนั้น นางมักระมัดระวังเสมอ แล้วยังเดินช้า ๆ พูดคุยหยอกล้อกับเขา หวังให้เขาผ่อนคลายลงมาบ้าง
“ข้ารู้แล้ว” เขาตอบเสียงนุ่ม ใบหน้านั้นยิ้มแย้มยิ่งนัก ไม่บึ้งตึงบูดบึ้งเหมือนเมื่อหลายวันก่อน
“ฮูหยินน้อย ส่งคุณชายรองให้ข้าดูแลแทนเถิดเจ้าค่ะ รีบเข้าไปยกน้ำชา ประเดี๋ยวฮูหยินใหญ่จะตำหนิเอาได้” เสี่ยวเสียนชักสีหน้า แต่มิรู้ว่ามีสตรีนางหนึ่งเพิ่งเดินมาถึงยังเรือนด้านหน้าเช่นเดียวกัน
“เป็นเพียงแค่สาวใช้ กล้าสอดปากออกคำสั่งรึอย่างไรกัน” นางมิชอบหน้าสตรีนางนี้นัก ทำตัวราวกับเป็นนายอีกคนของจวน แม้จะเป็นญาติห่าง ๆ ทางมารดา นางก็หาได้รู้จักมักคุ้นไม่ ทำตัวเช่นนี้มิไร้ยางอายไปหน่อยหรือไรกัน มีหรือที่เป่ยเหยา จะให้สาวใช้มาวางอำนาจในจวนของนางได้กัน
“คุณหนูเล็ก” เสียนจินหน้าซีดเผือด เพราะคุณหนูผู้นี้คล้ายว่าตั้งตนเป็นศัตรูกับนางเสียอย่างนั้น นับตั้งแต่ที่เข้ามาในจวนนี้ ก็มีคุณหนูผู้นี้ที่มักมองนางด้วยสายตาไม่พอใจเสมอ
“ยังดีที่เห็นข้าเป็นคุณหนูของจวน ดูเหมือนว่าเจ้าจะกระทำตนเกินขอบเขตไปไม่น้อยนะ” เป่ยเหยาดึงมือของพี่ชายมาจับจูงเสียเอง ส่งยิ้มหวานให้แก่พี่สะใภ้ และทำให้นางต้องแปลกใจ พี่สะใภ้ผู้นี้มิใช่คุณหนูรอง แต่เป็นคุณหนูสามต่างหาก
หลิวหลีเองก็ตกใจจนหน้าซีด เพราะนางเพิ่งพบว่าคุณหนูผู้นี้เป็นบุตรสาวตระกูลเป่ยเช่นนั้นหรือ...แล้วความลับของนางจะยังคงเป็นความลับอยู่หรือไม่ หากถูกเปิดโปงจะเป็นเช่นไรกัน
“พี่สะใภ้เชิญเจ้าค่ะ” นางเก็บความประหลาดใจนี้เอาไว้ อีกเดี๋ยวค่อยสอบถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าพี่สะใภ้ตัวจริงนั้นได้ตายไปแล้ว เพราะเมื่อหลายวันก่อน ได้ข่าวว่าคุณหนูสามป่วยไข้หนักหนาจนสิ้นใจไป คงมิใช่หลิวหลินใช่หรือไม่
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ใบหน้างดงามซีดเผือด ฝืนยิ้มแต่เต็มไปด้วยความทรมานใจยิ่งนัก คิดไม่ถึงเลยว่าความลับที่ปิดบังนี้จะถูกผู้ใดรู้เข้าให้เสียแล้ว
เมื่อหลิวหลีเดินผ่านประตูเข้าไปข้างในแล้ว ก็พบว่าแม่สามีนั่งหน้าตึงอยู่บนเก้าอี้ “มาแล้วรึ ต้องให้ข้าออกมาคอยต้อนรับใช่หรือไม่ ถึงจะมาได้เสียที มีที่ไหนสะใภ้ใหม่ต้องให้แม่สามีมารอคอยเช่นนี้ ใครรู้เข้า ข้าก็คงถูกหัวเราะเยาะเป็นแน่”
“...” หลิวหลีฝืนยิ้ม แต่ภายในอกเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ ถ้อยคำที่ถากถางนี้ทำให้นางปวดใจนัก คิดไม่ถึงว่าแม่สามีจะตั้งแง่รังเกียจชิงชังนางมากถึงเพียงนี้
“ท่านแม่พูดจาเช่นนี้ไม่เหมาะเจ้าค่ะ พี่รองก็มายกน้ำชาให้ท่านแม่ด้วยอีกคน ส่วนเจ้าถอยไปสิ จะยืนอยู่ทำไมกัน รึอยากให้พี่ชายข้าคารวะสาวใช้เช่นเจ้าอย่างนั้นรึ” เป่ยเหยาขึ้นเสียงฟึดฟัดไม่พอใจนัก ท่านแม่ก็อีกไม่รู้จะพูดจาดูแคลนพี่สะใภ้ผู้นี้ทำไมกัน มิเห็นว่าทำผิดอันใดต้องให้เกรี้ยวกราดเช่นนี้ ช่างไร้เหตุผลเสียเหลือเกิน
“เหอะ” ก็นางไม่ชอบสตรีนางนี้ มิอยากรับเข้ามาเป็นสะใภ้ อยากให้หลานสาวที่แสนน่ารักอย่างเสียนจินเป็นสะใภ้เสียมากกว่า นางจะได้ปกครองได้ง่าย ๆ เพราะเสียนจินทำตามที่นางสั่งสอนทุกอย่าง แต่สะใภ้ผู้นี้ดูแววตาแล้วก็ดื้อรั้นไม่เบาทีเดียว และมีหรือที่จะยอมฟังความอันใดจากนางกัน
“ในเมื่อมาแล้ว ก็ยกน้ำชาให้ท่านแม่เถอะ จะได้ไม่ต้องนั่งคุกเข่านาน ๆ” ชายหนุ่มผู้นี้มีตำแหน่งเป็นท่านราชครูในวังหลวง เขาลางานเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ
นั่นเพราะมารดาของตนต้องหาเรื่องกลั่นแกล้งน้องสะใภ้เป็นแน่ ข้างกายเขายังมีภรรยายืนเคียงข้างอีกด้วย เมื่อวานนี้นางเห็นสีหน้าของแม่สามีก็ยิ่งเป็นห่วงน้องสะใภ้จับใจ
จึงขอร้องให้สามีอยู่บ้านเพื่อช่วยเหลือน้องสะใภ้ผู้แสนน่าสงสารนี้สักครา เผื่อว่าจะได้ช่วยออกหน้าแทนนางได้บ้าง “นั่นสิ น้องสะใภ้รีบยื่นน้ำชาให้ท่านแม่เสียสิ จะได้ไม่ต้องให้ท่านแม่คอยนาน”