ตอนที่ 4 ความในใจ
เมื่อวันแต่งงานมาถึง หลิวหลี สวมรอยเป็นพี่สาวที่ได้จากไป นางยังคงโศกเศร้าเสียใจไม่จางหาย ก่อนที่นางจะสวมชุดเจ้าสาว ได้ไปยังป้ายวิญญาณเพื่อบอกกล่าวอำลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะออกจากจวนในฐานะของพี่สาว
ด้วยเพราะถ้อยคำของผู้เป็นพี่สาวได้สั่งเสียก่อนจากไป จึงนำพาให้หลิวหลีจำเป็นต้องเข้าพิธีสมรสพระราชทานในครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดวงหน้ามิได้สดชื่นเบิกบานอย่างที่เจ้าสาวคนอื่นแย้มยิ้มอย่างยินดี ในใจของนางล้วนโศกเศร้าไม่จางหาย
รถม้าประดับประดาอย่างงดงาม จอดเทียบอยู่หน้าจวนสกุลหลิวแล้ว ผู้ที่มารับเจ้าสาวในวันนี้ มิใช่แม่ทัพเป่ยที่พิการดวงตามืดบอด แต่กลับเป็นคุณชายสาม ขันอาสามารับพี่สะใภ้แทน เจ้าบ่าวตัวจริง
ส่วนพี่ใหญ่นั้นอยู่ในจวน จัดการดูแลต้อนรับแขกเหรื่อที่ทยอยเข้ามาร่วมงานเลี้ยงไม่ขาดสาย เพราะมิให้เหล่าขุนนางนินทาว่าร้ายเอาได้ กระนั้นวันนี้ยังเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา ราวกับว่ามารดาของตนจงใจเสียอย่างนั้น
หลิวหลีแต่งกายเรียบร้อยแล้ว ผ้าคลุมหน้าก็คลุมแล้ว เหลือเพียงแค่รอให้คนมาเชิญนางออกไปเท่านั้น ทว่า ในห้องนี้มิใช่มีเพียงแค่นางอยู่ตามลำพัง ยังมีคุณหนูเล็กของบ้านหลังนี้ นั่งค่อนขอดพี่สาวต่างมารดาไม่หยุดหย่อน
“ขอให้พี่สาม อุ๊ยไม่สิ ขอให้พี่รองมีความสุขมาก ๆ นะในวันแต่งงาน ข้าจะรอดูว่าจวนเป่ยจะถีบหัวเจ้าออกมาเมื่อไร” หลิวอ้ายหัวเราะเยาะสาแก่ใจเสียจริง ที่พี่สาวผู้นี้ได้แต่งงานกับคนพิการเช่นนั้น มิต่างจากสาวใช้กระมังที่ถูกแต่งเข้าไปเพื่อดูแลคนไร้ประโยชน์เยี่ยงนั้น
“หากเจ้าไม่มีอะไรจะพูดก็ควรหุบปากเสียดีกว่า ข้าคร้านจะฟังถ้อยคำเหม็นเน่าจากปากของเจ้าเต็มทีแล้ว และก็หวังว่านับจากนี้ไปจะได้ไม่ต้องพบเจอกับเจ้าอีก” แทนที่คำพูดของน้องสาวผู้นี้จะสร้างสรรคบ้าง แต่นางกลับพูดจาไม่รู้ความ ซ้ำร้ายยังสาปแช่งอีก มีหรือที่หลิวหลีจะทนคำพูดจาหยามเหยียดเยี่ยงนี้
“...” หลิวอ้ายใบหน้าแดงก่ำ เต็มไปด้วยความชิงชัง นางกำหมัดแน่น หากมิใช่เพราะว่าวันนี้เป็นงานมงคล นางจะพัง งานนี้เสีย อยากรู้นักว่าหลิวหลีจะทนความอับอายนี้ได้อีกนานหรือไม่
“ทำไม ถึงกับพูดไม่ออกเลยละสิ หลิวอ้ายเอ๋ย เจ้าน่ะมีแม่ใหญ่คอยปกป้อง ส่วนข้ากับพี่รองต้องดูแลปกป้องกันเอง
หากสักวันที่เจ้าไม่มีนาง ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่า เจ้าจะฝืนทนให้ผู้อื่นเหยียบย่ำศักดิ์ศรีได้เท่าข้ากับพี่รองหรือไม่ ที่ข้าทนกับพวกเจ้าสองแม่ลูกโขกสับมานาน มันทรมานสิ้นดี นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็มิขอหวนคืนกลับมาเหยียบจวนหลิวอีกแล้วเป็นอันขาด”
“กล่าวได้ดีนัก ลูกแม่...เจ้าพูดจาเช่นนี้ ช่างรื่นหูข้าเสียจริง” ตงซื่อเข้ามาได้ยิน มิได้ต่อว่า นางทำได้เพียงแค่เหน็บแนมเท่านั้น และนางก็หวังว่าบุตรสาวของศัตรูหัวใจจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาจวนนี้อีกครั้งเป็นอันขาด
“ขอบคุณที่พวกท่านเลี้ยงดู ให้อาหารประทังชีวิตพวกข้า” นางหยัดกายลุกขึ้นยืน เตรียมตัวเดินออกจากห้องนี้โดยไร้ผู้จับจูง ทว่าบิดาของนางก็เดินเข้ามา ใบหน้าของชายสูงวัยดูเศร้าหมองไม่น้อย รู้สึกใจหายนัก
“ลูกพ่อ นี่คือสมบัติที่แม่ของเจ้าทิ้งเอาไว้ให้ ถึงเวลาแล้วที่พ่อต้องมอบมันให้แก่เจ้า” เขากล่าวน้ำเสียงสั่น ๆ พร้อมกับล้วงบางสิ่งบางอย่างในสาบเสื้อออกมา
“ท่านพี่!” ตงซื่อประหลาดใจนัก มิน่าที่นางรื้อค้นไม่พบหนังสือที่ดินใบนี้ ที่แท้สามีของนางก็เก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าเขาจงใจเก็บซ่อนรักษาเอาไว้ ไม่ให้นางหามันพบนี่เอง
“มันคืออะไรเจ้าคะ” หลิวหลีแปลกใจ ที่จู่ ๆ บิดาก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้นาง ซ้ำตงหรานยังเสียงดังลั่นห้อง ราวกับว่าตระหนกตกใจเสียอย่างนั้น
“มันคือที่ดินผืนหนึ่ง ในนี้มีร้านน้ำชาซึ่งเป็นของแม่เจ้า เดิมทีพวกเราคิดว่าจะมอบมันให้กับเจ้าในเวลาที่เหมาะสม พ่อเห็นว่าเวลานี้สมควรแล้วที่จะมอบมันให้แก่เจ้า” นี่คือสิ่งเดียวที่เขาเก็บรักษาเอาไว้เพื่อบุตรสาวทั้งสอง
แต่นางเสียดายนักที่บุตรสาวคนรองนั้นป่วยกระเสาะกระแสะมานานหลายปี ท่านหมอมารักษาก็มากแต่ละคนก็ล้วนพูดไปในทางเดียวกันว่า โรคนี้รักษาไม่ได้ เพียงแค่รอวันสิ้นลมเท่านั้น
กระทั่งท่านหมอเทวดายังทำได้แค่ยืดชีวิตนางออกไป ในที่สุดวันที่นางจากไปก็มาถึง มีหรือบิดาจะไม่เจ็บปวดชอกช้ำใจ ไม่ว่ายาดีราคาแพงมากเพียงใด เขายินดีที่จะซื้อหามาให้นาง
และที่ถ้อยคำบุตรสาวคนที่สามกล่าวหานั้น เขามิเคยบอกกล่าวเล่าความจริงให้นางรับรู้เลยว่า ที่จริงแล้วเหล่าสตรีในหอโคมเขียวนั้น มักจะมีการซื้อขายข่าวกัน เขามักแวะเวียนไปบ่อยก็เพื่อสืบข่าวหาภรรยาของตนที่หายตัวไป
ภายนอกก็เป็นหอนางโลม ความจริงแล้วในเมืองนี้ หอนางโลมอวิ๋นเมิ่งก็คือหอขายข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นภายในเมือง ภายในแคว้น หรือเมืองใกล้เคียง ก็ล้วนมีหูตาของคนในหอนี้อยู่เป็นจำนวนมาก
ทว่า...มันก็น่าเศร้าใจนัก ข่าวคราวของนางกลับเงียบหายราวกับว่านางไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้เสียอย่างนั้น วันนี้เขาจึงตัดสินใจ มอบร้านน้ำชานี้ให้แก่บุตรสาว ผู้เป็นสายเลือดเดียวของภรรยารักที่หายสาบสูญไป
“ขอบคุณท่านพ่อมาก ๆ เจ้าค่ะ ที่เมตตาลูกคนนี้ เอาไว้ข้าจะหาเวลาไปดูร้านน้ำชานั่นนะเจ้าคะ” นางรับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม อย่างตื้นตันใจนัก ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า ท่านแม่จะมอบสิ่งนี้ให้แก่นาง และหลิวหลีสัญญาว่าจะดูแลร้านน้ำชานี้เป็นอย่างดี
“นายท่าน คุณชายสามรออยู่นานแล้วนะเจ้าคะ เกรงว่าหากช้ากว่านี้คงจะถูกตำหนิเอาได้” เพราะคนที่มารับคุณหนูของพวกนาง แม้มีใบหน้าที่หล่อเหลา รูปร่างงามสง่า แต่แววตานั้นกลับดูดุร้ายยิ่งนัก คล้ายว่าวันนี้อารมณ์ไม่ดีก็ว่าได้
“เร็วเข้าสิพี่สาม ประเดี๋ยวก็ถูกตำหนิตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าบ้านสามีหรอก” ที่นางเร่งเร้าก็เพราะอยากพบหน้าคุณชายสาม เห็นว่าหล่อเหลาคมคายยิ่งนัก
ซ้ำยังเป็นหลานรักของกุ้ยเฟยอีกด้วย เช่นนี้แล้วหากนางมีวาสนาต่อเขา ภายภาคหน้าไม่แน่ อาจได้เป็นฮูหยินน้อยจวนเป่ยอีกคนคงดีไม่น้อย เช่นนี้แล้ววันนี้จะพลาดโอกาสได้อย่างไรกันเล่า
หลิวหลีเดาทางน้องสาวผู้นี้ออก จึงยกมือขึ้นให้บิดาจับจูงออกไปด้านนอก เห็นว่ามันก็นานมากแล้ว อีกอย่างมิรู้ว่าจวนเป่ยจะยินดีต้อนรับนางหรือไม่
ระหว่างทางเดินที่ชายสูงวัยจับจูงมือบุตรสาวนั้น เขาเอ่ยเสียงแผ่ว ๆ สั่น ๆ ขึ้นว่า “หลีเอ๋อร์ไปอยู่ที่นั่นแล้ว อย่าลืมกลับบ้านมาเยี่ยมพ่อบ้างนะ”
เพราะเขารู้ดีว่าบุตรสาวผู้นี้มีจิตใจเด็ดเดี่ยวเพียงไร ทว่าเขารู้สึกเหมือนกับว่านับจากนี้จะไม่ได้พบหน้าของนางอีกแล้ว ใจเขาจึงรู้สึกว่ามันวูบโหวงเหวงเข้าให้อย่างบอกไม่ถูก
หลิวหลีหัวเราะเบา ๆ “ท่านยังเห็นว่าข้าเป็นลูกอยู่อีกหรือเจ้าคะ” ที่ผ่านมาเขาเคยคิดปกป้องนางกับพี่สาวหรือไม่ ถูกตงซื่อรังแกมากเพียงใด
ยามนั้นเหตุใดจึงไม่เคยเห็นบิดาออกโรงปกป้องพวกนางบ้างเล่า แต่หนนี้กลับบอกว่าให้นางกลับมาเยี่ยมเยียนเขาบ้าง มิน่าหัวเราะได้หรืออย่างไรกัน นางไม่รับปาก และไม่ปฏิเสธในทันที
“...” ชายชราไม่อยากพูดอันใดอีกแล้ว ลูกสาวผู้นี้มองเขาในแง่ร้ายเสมอ ใครเล่าจะไม่รักไม่ห่วงลูกสาวตนเองบ้าง ที่ผ่านมาเขาพยายามสุดความสามารถแล้ว รู้ทั้งรู้ว่านางน้อยอกน้อยใจ กระนั้นก็มิเคยพูดคุยกันอย่างเปิดอกสักครา
“คุณหนูรองเชิญขอรับ” คุณชายสามรีบเดินเข้ามา แล้วยื่นแขนให้ว่าที่พี่สะใภ้ได้กุมแขนของตน เขามิถือวิสาสะจับจูงมือของนาง ซึ่งมิใช่คู่หมั้นคู่หมายของตน
“คุณชายสาม” หลิวอ้ายเอ่ยทักทายเสียงหวาน บิดม้วนไปมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสยิ่งนัก “คุณชายสามสบายดีหรือไม่ เอ่อ...” นางคิดว่าหลังจากนี้จะชักชวนเขาไปดื่มน้ำชาและรับอาหารด้วยกันสักมื้อหลังจากจบเรื่องงานพิธีสมรสพระราชทานในวันนี้
แต่เขากลับเอ่ยสวนขึ้นว่า “ขออภัยด้วยคุณหนูหลิว ข้าไม่สะดวก” เขามิชมชอบสตรีที่แสดงกิริยาท่าทางเยี่ยงนี้
หลิวอ้ายรู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก เก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ แล้วจึงหมุนกายด้วยความหงุดหงิดใจเข้าไปในเรือน ปล่อยให้พี่สาวต่างมารดาถูกคุณชายสามเชื้อเชิญขึ้นรถม้า
ส่วนชายสูงวัยบิดาของหลิวหลีนั้น มีสีหน้าค่อนข้างกังวลใจนัก กลัวว่าสักวันความจริง เรื่องเปลี่ยนตัวเจ้าสาวจะปรากฏขึ้น เขาจึงเอ่ยขึ้นกับคุณชายสามว่า “คุณชายสาม หากสกุลหลิวทำอันใดผิดพลาดไป ขอให้สกุลเป่ย อภัยให้สักครา”