“หวัดดี เด็กใหม่ใช่ไหมอยู่ห้องไหนเหรอ?” ใครคนหนึ่งเอ่ยทักทายฉันขณะที่กำลังงุนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าตัวเองต้องไปเข้าแถวตรงไหน
“สองทับสองน่ะ แต่เราไม่รู้ว่าต้องเข้าแถวไหน”
“เราชื่อปูนานะ เรียกปูเฉย ๆ ก็ได้ตามเรามาเลยเราเป็นหัวหน้าห้องสองทับสองเองแหละ” คนตรงหน้าแนะนำตัวอย่างเป็นกันเองแถมยังฉีกยิ้มกว้างให้ฉันอีกด้วย
“เราเพียงจันทร์นะ จะเรียกยังไงก็ได้แล้วแต่จะสะดวก”
“ก็ต้องเรียกเพียงจันทร์นั่นแหละ อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยจันทร์เฉย ๆ มันดูเชยไปหน่อย”
“ฮ่า ๆ นั่นสินะ”
พูดคุยทำความรู้จักกันอยู่หลายนาทีก่อนจะพากันไปเข้าแถวค่ะ ปูนาเป็นคนยิ้มเก่งมากแถมยังชวนคุยอยู่ตลอดเหมือนรู้ว่าฉันยังประหม่าและไม่ชินเท่าไหร่
ที่ที่ฉันย้ายมาเป็นโรงเรียนขนาดเล็กในต่างจังหวัดค่ะ เพื่อนน้อยและเด็กนักเรียนก็น้อยด้วย ไม่เหมือนที่นี่เพื่อนในห้องตั้งห้าสิบคนแน่ะ ทั้งโรงเรียนเดินสวนกันวุ่นวายไปหมด กว่าจะปรับตัวได้คงใช้เวลาพอสมควร
เลิกแถวก็แยกย้ายกันเข้าโฮมรูมแล้วฉันก็ตกเป็นเป้าสายตาทันที...
“ไม่ต้องตกใจ มันเป็นเรื่องปกติน่ะที่ไม่ปกติคือโรงเรียนนี้ไม่ค่อยรับใครเข้ากลางเทอมแต่ถ้าหัวกระทิก็จะเข้าได้โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ อย่างเช่นเธอ” ปูนาร่ายประโยคยาว ๆ ออกมาเมื่อเห็นฉันเอาแต่จ้องมองไปทั่วบริเวณ “แล้วอีกอย่างนะที่นี่ไม่ให้ไว้ผมยาวยกเว้นมอปลาย”
“จริงเหรอ?” ฉันเอ่ยถามแทบจะทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้นเพราะโรงเรียนเก่าไว้ผมยาวได้ค่ะ และแน่นอนว่าทั้งห้องฉันรวบผมอยู่คนเดียว
“ใจเย็น ๆ เดี๋ยวเธอค่อยตัดก็ได้ เดี๋ยวอาจารย์ที่ปรึกษาคงบอกเอง”
“ตอนเรามายื่นใบสมัครไม่เห็นเขาพูดอะไรเราเลยเข้าใจว่าไว้ผมยาวได้”
“ไม่เป็นไร ไม่รู้ก็ไม่ผิดไม่ต้องคิดมาก”
แค่เพียงไม่นานอาจารย์ที่ปรึกษาก็มาค่ะ ก็มีการแนะนำตัวกันไปหลังจากนั้นก็เข้าเรียนตามปกติ
“เธอ ๆ เราชื่อโบนะ”
“โบ?” ถึงกับต้องทวนชื่ออีกครั้ง ผู้ชายอะไรชื่อโบ
“เทอร์โบน่ะ เรียกโบก็พอ”
“อ่อ... คิดว่ามีแค่เราซะอีกที่ชื่อแปลก”
“ไม่แปลกเลยแถมยังไม่ซ้ำกับใครด้วย”
“งั้นเหรอ”
“อื้ม! ทั้งโรงเรียนก็มีเพียงจันทร์คนเดียวนี่แหละไม่เชื่อลองไปค้นหาดู เราเอาหัวเป็นประกันว่าไม่มีใครชื่อซ้ำกับเธอแน่นอน”
“...”
“แต่ว่ามีเรื่องรบกวนหน่อยอะ”
“อะไรเหรอ?”
“ช่วยติวข้อสอบให้เราหน่อยนะ”
“ไอ้โบ! เขามาเรียนวันแรกมึงก็ยัดเยียดตัวเองไปเป็นภาระเลยนะ” ปูนาเอ่ย
“มึงคิดว่าใครก็ได้เหรอที่จะสอบเข้าโรงเรียนเรากลางเทอมได้น่ะ นี่เพชรเม็ดงามเลยนะเว้ยเอาไว้สู้กับห้องหนึ่งและห้องสี่”
... : ถูก!!
“...” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันมีเพียงฉันที่ยังงงอยู่
“คืออย่างนี้นะเพียงจันทร์ อาจารย์คนอื่นเขาชอบพูดเปรียบเทียบห้องเรากับห้องอื่นน่ะ ห้องหนึ่งไม่เท่าไหร่หรอกเพราะพวกมันเด็กเรียนหัวกระทิกันอยู่แล้วแต่ไอ้ห้องสี่นี่สิ”
“ทำไมเหรอ”
“มันมีแต่คนเรียบร้อยไง ในเวลาเรียนมันก็แบบเงียบอะอาจารย์ไม่ต้องแหกปากตะโกนแข่งไม่วุ่นวายเหมือนห้องเรา นี่แหละเป็นจุดเริ่มต้นจนถึงทุกวันนี้เพราะเขาชอบพูดว่าทำไมไม่ตั้งใจฟังเหมือนห้องนั้น ทำไมเข้าใจยากไม่เหมือนห้องนี้”
“แล้วเขาจะเปรียบเทียบให้ได้อะไร”
“อยู่ไปเดี๋ยวเธอก็เข้าใจเองแหละเราไปเรียนกันดีกว่า”
บรรยากาศในห้องเรียนก็ถือว่าดีค่ะ มีบ้างที่วุ่นวายเพราะคนมันเยอะไงซึ่งมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพื่อนหลายคนก็พูดคุยกับฉันก็ถือว่าเป็นมิตรที่ดีค่ะ
“พักเที่ยงแล้วไปกินข้าวกันดีกว่า”
“ไปดิ ว่าแต่ปูนาไม่มีเพื่อนบ้างเหรอ คือเราหมายถึงกลุ่มเพื่อนน่ะ” ฉันเอ่ยถามไปตามความคิดเพราะไม่เห็นคนตรงหน้ายุ่งกับใครเลยค่ะ
“ก็ไอ้โบไงแล้วก็มีอีกสองคนไอ้เอ็กซ์กับไอ้แซ็กแต่วันนี้มันโดดอะ คงบ่ายแหละมั้งถึงโผล่หัวมาให้เห็น”
“แล้ว...ไม่มีผู้หญิงเลยเหรอ”
“เราจะบอกให้นะว่าไอ้พวกนั้นมันดูแลโคตรดี ไม่มานั่งจับกลุ่มนินทาเหมือนผู้หญิงด้วย เพื่อนคนอื่นเป็นยังไงไม่รู้นะแต่ที่เราเคยเจอมันเป็นแบบนั้น แต่ต่อไปเราจะมีเพื่อนผู้หญิงแล้วแหละก็เพียงจันทร์ไง”
“เรา?” ฉันว่าพลางเอามือชี้เข้าหาตัวเอง ไม่ใช่ว่าไม่อยากเป็นมิตรนะคะแต่แค่แปลกใจเท่านั้นเอง
“ถูกชะตามั้ง ไม่เห็นต้องมีเหตุผลเลย”
“ก็ได้ ต่อไปนี้เราจะเป็นเพื่อนสนิทให้ปูนาเอง”
“ต้องงั้น”
มันก็ถูกชะตาจริง ๆ นั่นแหละค่ะ รู้สึกว่าคุยกันแล้วเข้าใจและปูนาดูเป็นคนมีความรับผิดชอบมาก นั่นแหละเพื่อนในอุดมคติของฉัน
“คนเยอะแฮะ” ฉันบ่นขึ้นมาทันทีเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในโรงอาหารแล้วเห็นผู้คนมากหน้าหลายตา
“สาว ๆ ทางนี้” มองตามเสียงเรียกเป็นโบนั่นเอง
“ทำไมเดินเร็วจัง” ชั่วโมงสุดท้ายก็ออกจากห้องพร้อมกันแต่ทำไมโบถึงมีความสามารถมาจองโต๊ะในโรงอาหารก่อนได้
“เขาเรียกว่าความสามารถพิเศษ”
“ขี้โม้ฉิบหาย ไปซื้อน้ำมาเลยมึงอะ” ปูนาว่าพร้อมกับวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ “จะกินไร”
“เหมือนมึงอะ”
“เออ”
จบประโยคโบก็แยกไปอีกด้านหนึ่งค่ะ ฉันมองไปรอบบริเวณรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาอีกแล้วเลย
“ปู เด็กใหม่ห้องมึงเหรอ”
“ห้ามยุ่ง!”
“ชื่ออะไร”
“กูบอกว่าห้ามยุ่งไง”
“ยังไม่มีใครยุ่งเลยกูแค่ถามว่าชื่ออะไร”
“เพียงจันทร์”
“ก็แค่เนียะ”
หลังจากนั้นฉันก็ถูกปูนาลากออกมาเลยค่ะ
“นั่นน่ะไอ้พวกห้องสี่ มันกวนประสาทเฉย ๆ ไม่มีอะไรหรอก”
“เราไม่ชอบสายตาที่คนอื่นมองเลยอะ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง” ฉันพูดไปตามความรู้สึกของตัวเอง บางคนมองเฉย ๆ และบางคนก็มองเหมือนไม่ชอบหน้าเลยค่ะความรู้สึกมันบอกแบบนั้น
“ปกตินะ เธออย่าไปสนใจเลยเราไม่เคยรู้จักกันและไม่เคยไปยุ่งวุ่นวายกับใคร”
“ไม่ใช่ว่าเขามองเพราะเราไว้ผมยาวหรอกเหรอ”
“ก็มีส่วน แต่อย่าเพิ่งตัดนะพรุ่งนี้มีประชุมรวม แว่วมาว่าจะเปลี่ยนกฎระเบียบของโรงเรียนไม่แน่ว่าเขาอาจจะให้ไว้ผมยาวได้แต่ไม่รู้ว่ายาวได้แค่ไหน”
“แน่ใจเหรอ เราไม่อยากแปลกอยู่คนเดียว”
“แน่สิ! ข่าวนี้กรองมาแล้วเธออย่าลืมนะ อย่าเพิ่งตัดจนกว่าจะมีคำสั่งที่ชัดเจน” ปูนายังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่จะว่าไปอาจารย์ก็ไม่ได้แจ้งอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยค่ะ “ว่าแต่เธออยากกินอะไร”
“เราอยากกินราดหน้า” เล็งไว้แล้วค่ะดูท่าทางน่าอร่อย
“ไปต่อแถวนะ เราอยู่ร้านข้าง ๆ”
“โอเค”
มันมีสองแถวค่ะคนเยอะมากรอประมาณสิบห้านาทีก็ถึงคิวฉัน แต่ว่ามันดันมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น
“เหลือจานเดียวเองลูก”
“...” ทุกอย่างหยุดนิ่งเมื่อได้ยินคุณป้าพูดแบบนั้น คือมันมีสองแถวแน่นอนว่าต้องมีคนใดคนหนึ่งเสียสละค่ะ ส่วนคนที่ต่อคิวหลังฉันเขาก็ไปต่อคิวร้านอื่นแทน
“เธอเอาไปเถอะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยพร้อมกับมองหน้าฉัน
“ขอบใจนะ”
“เด็กใหม่?”
“อื้ม”
“...” เขาไม่พูดอะไรออกมาอีกแล้วเดินออกไปจากตรงนี้แต่ฉันกลับรั้งเขาเอาไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวสิ นายชื่ออะไร”
“อยากรู้ไปทำไม”
“...” ถึงกับหน้าชาไปชั่วขณะเมื่อเขาตอบกลับมาแบบนั้น นอกจากจะไม่บอกชื่อแล้วยังเดินหนีไปอีกด้วย คนอะไรเย็นชาชะมัดเลย
เลิกสนใจแล้วกลับมานั่งรอปูนาที่โต๊ะแทนแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเขาคนนั้นก็นั่งอยู่โต๊ะถัดไปเหมือนกัน
“คุยอะไรกับมันอะ” โบเอ่ยเมื่อฉันมาถึงโต๊ะ
“คุยกับใครเหรอ?”
“เมื่อกี้ไง”
“อ๋อ! เราแค่ขอบใจเขาน่ะ”
“ขอบใจเรื่อง?”
“ราดหน้ามันเหลือจานเดียวแล้วเขาเสียสละให้เราน่ะ”
“ไอ้เก้าเนี่ยนะเสียสละ”
“กูทำไม?” น้ำเสียงหาเรื่องเอ่ยก่อนจะเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเราสองคน
“ไม่ทำไมหรอก กูก็แค่แปลกใจเท่านั้นเองปกติของมึงไม่เคยยุ่งกับใครนี่หว่า”
“...” เขาไม่ตอบอะไรและเบี่ยงสายตามาทางฉันแทน “ชื่ออะไร?”
... : เชี่ย!!
จากที่เป็นจุดสนใจอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งกว่าเดิมอีกค่ะ
“ถามทำไมวะ” โบยังคงขั้นกลางให้อยู่ตลอด ไม่แน่ใจว่าเขาสนิทกันไหมหรือแค่รู้จักกันเฉย ๆ
“จะได้จำไว้ไงว่าคนนี้คือคนที่กูเสียสละให้เป็นคนแรก”
“...”