เช้าอีกวันฉันก็มาเรียนตามปกติค่ะ
“เมื่อวานกลับยังไงอะ” โบที่มาถึงโรงเรียนเรียนก่อนเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าฉัน
“ทำไมเหรอ” ฉันเลือกที่จะถามกลับแทนคำตอบเพราะไม่รู้ว่าอยู่ ๆ โบถามแบบนั้นทำไม
“ก็เมื่อวานมอสี่กับไอ้ห้องสี่มันมีเรื่องกันหลังโรงเรียนแล้วเพียงจันทร์ก็กลับประตูหลังด้วย”
“ตอนเราเดินออกไปก็ไม่เห็นมีอะไรนะ”
“ดีแล้วจะได้ไม่โดนลูกหลง”
“...” อยากตะโกนออกไปจังว่ามันไม่ทันแล้ว
“ไปกินข้าวเช้ากันดีกว่า”
“เลี้ยงนะ”
“ได้ดิ”
ฉันพูดแหย่เล่นไปอย่างนั้นแหละค่ะแต่โบมันพูดจริงแถมยังลากฉันเข้ามาในโรงอาหารแล้วเรียบร้อย
“มีร้านเดียวเองอะ”
“ก็ยังไม่หกโมงครึ่งเลย” ฉันว่าพลางดูนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองไปด้วย “กินเท่าที่มีไปก่อนแล้วกันนะ”
“ฝากซื้อด้วยเราเอาข้าวผัด”
“โอเค”
เอากระเป๋าวางที่โต๊ะเสร็จฉันก็มาซื้อข้าวค่ะส่วนโบไปซื้อน้ำ
หลังจากได้ของที่ต้องการแล้วฉันก็กลับมาที่โต๊ะตามเดิม แต่ว่าตรงนั้นมันไม่ได้มีแค่โบ
“โห... กินไปได้ยังไงเนี่ย” โบเอ่ยเมื่อเห็นข้าวกระเพราของฉันนั้นเต็มไปด้วยพริก
“อยู่บ้านกินยิ่งกว่านี้อีก”
“กินเผ็ดแต่เช้าปวดท้องตายห่า”
“ไม่เลยสบายมาก” ฉันตอบกลับอย่างไม่จริงจังมากนักเพราะปกติกินเผ็ดอยู่แล้วไง
“เมื่อวานเป็นไงบ้างวะ” ประโยคนี้มันหันไปพูดกับเพื่อนต่างห้องค่ะ
“เป็นไงล่ะปากดีทำห้าวเจอไอ้เก้าเอาขวดตีหัวซะเลือดอาบ”
“กูเห็นวิ่งกันไปเป็นโขยง”
“เออ แต่เอาไอ้เก้าไม่ลงอะคิดดูเถอะ”
“แล้วทีแรกมีเรื่องอะไรกัน”
“มันบอกว่าไอ้เก้ามองหน้ามัน”
“มองแล้วทำไม?”
“ไม่รู้แม่ง! มองไม่ได้น่าจะเอาปี๊บคลุมหัวไว้”
“ตายยากฉิบหายพูดถึงก็มาพอดี”
“...”
“นินทาอะไรไม่ทราบ” น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยพลางหย่อนตัวนั่งลงตรงที่ว่างข้างฉัน
“มึงชิวเกินไปนะ”
“ไม่เห็นมีอะไรต้องซีเรียส” เขาว่าพลางหยิบแก้วน้ำของฉันไปดื่มอย่างถือวิสาสะ
“กูได้ยินมันพูดกันว่ามึงมีผู้หญิงไปด้วยเหรอ”
“...”
“ใครพูด?”
“ไอ้พวกนั้นน่ะ มันบอกว่ามีผู้หญิงซ้อนท้ายมึงไปด้วย”
“แล้วพวกมึงเคยเห็นกูพาใครซ้อนไหมล่ะ”
“ไม่เคยอะ”
“แต่ก็ไม่แน่หรอกเผื่อมึงหมก”
“หมกพ่อง!”
ฉันได้แต่ฟังบทสนทนาระหว่างพวกเขาอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งกินข้าวอิ่มและโบอาสาเอาไปเก็บให้
“อย่าลืมที่บอกนะ” เก้าพูดใส่หูฉันเสียงแผ่วเบาจากนั้นเขาก็หันไปหาเพื่อนอีกคน “ไอ้โอมเมื่อคืนมึงโทรหากูทำไม”
“สัส! กูโทรตั้งแต่เมื่อคืนมึงเพิ่งมาถามเอาตอนนี้”
“ก็ไม่ได้สนใจ”
“ใช่สิ! กูมันไม่สำคัญไง”
“พอเถอะกูขนลุก”
เมื่อถึงเวลาเข้าแถวเราก็แยกย้ายกันค่ะ แล้วเรื่องที่ฉันวิตกกังวลก็เกิดขึ้นเมื่ออาจารย์ฝ่ายปกครองประกาศให้คนที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกันออกมาด้านนอก
เบือนหน้าไปมองแถวห้องสี่ก็เห็นว่าเก้ากำลังมองมาทางฉันประจวบเหมาะกับที่อาจารย์ฝ่ายปกครองเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉันพอดี
“เธอตามฉันมาด้วย”
“หนู?” ฉันว่าพลางชี้มือเข้าหาตัวเอง แน่นอนว่าตอนนี้ฉันกำลังตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนเช่นกัน
“เพียงจันทร์ทำอะไรผิดเหรอคะ” ครูประจำชั้นรีบท้วงขึ้นเมื่อเห็นฝ่ายปกครองเอ่ยเรียกฉัน
“นี่แหละที่ไปกับนายเก้าเมื่อวานผมจำได้ถ้าไม่เชื่อก็ดูบาดแผลของเด็กคนนี้ได้เลยเพราะเมื่อวานมีเลือดออกผมเห็นกับตา”
“เด็กไปด้วยกันแล้วผิดยังไง?”
“ไว้คุยกันในห้องปกครองนะ” จบประโยคเขาก็เดินไปจากตรงนี้ด้วยท่าทีไม่ค่อยพอใจมากนักที่ครูประจำชั้นเลือกที่จะปกป้องฉันมากกว่าเชื่อคำพูดของเขา
“ไม่เป็นไรนะเพียงจันทร์เดี๋ยวครูไปด้วย”
“ค่ะ”
เลิกแถวฉันก็ถูกพาเข้าห้องปกครองทันทีค่ะ บรรยากาศมันตึงเครียดแปลก ๆ
“เกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงดุดันเอ่ยพลางกวาดสายตามองหน้าทุกคนหวังจะเอาคำตอบแต่มันก็ไม่มีใครตอบอะไรสักคน “มันหลายครั้งแล้วนะ ทำไม? มันเป็นอะไรมันถึงอยู่ร่วมกันไม่ได้เลย”
ระหว่างที่ถูกอบรมอยู่นั้นฉันลอบมองเก้าอยู่ตลอดเขาเองก็มองฉันเช่นกันก่อนจะพูดออกมาโดยไม่มีเสียงว่าให้ฉันอยู่เฉย ๆ
“เพียงจันทร์ตกลงเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น” ถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อถูกตั้งคำถามแบบนั้น
“หนูไม่ทราบค่ะ หนูแค่เดินออกทางประตูหลังตามปกติแล้วเขาก็มีเรื่องกันก่อนแล้วหนูแค่เดินผ่านเฉย ๆ เอง” ฉันตอบออกไปตามจริงแม้ว่าจะยังพูดไม่หมดก็ตาม ...
“แล้วแผล?”
“แผล?” ฉันทวนคำพูดของฝ่ายปกครองอีกครั้ง ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่จะมีแผลที่ไหนกัน
ยังไม่ทันได้ตอบอะไรฝ่ายปกครองก็สั่งให้ครูประจำชั้นสำรวจร่างกายฉันท่ามกลางสายตานับสิบคู่
“ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ”
“แต่เมื่อวานผมเห็นว่าเด็กคนนี้มีเลือดออก” ฝ่ายปกครองยังคงยืนกรานด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อผลสำรวจมันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด
“ใช่ค่ะมีเลือดเปื้อนชุดนักเรียนหนูจริง ๆ แต่หนูไม่รู้ว่าใครเป็นคนวิ่งชน” ฉันยืนกรานด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นกันเรื่องอะไรจะปล่อยให้ตัวเองถูกกล่าวหาลอย ๆ
เมื่อได้ยินแบบนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เก้าแทน “นายมานี่”
“...” เก้าไม่ตอบอะไรและเดินมาหยุดตรงหน้าฉัน เขายอมให้ตรวจร่างกายแต่โดยดีแต่มันก็ไม่พบบาดแผลอะไรมีเพียงรอยช้ำรอยแดงเท่านั้น
“แบบนี้ลูกศิษย์ดิฉันยังมีความผิดอยู่ไหมคะ?” ครูประจำชั้นพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าทุกอย่างมันชัดเจนว่าฉันไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรกับเรื่องนี้
“อาจเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเชิญครูกานดาพาน้องกลับเข้าชั้นเรียนได้เลยค่ะ” ฝ่ายปกครองอีกคนพูดขึ้นเมื่อเห็นท่าไม่ค่อยดี
“ค่ะ”
ก่อนออกจากห้องปกครองฉันหันไปมองเก้าอีกครั้ง ใบหน้าแสนเรียบเฉยของเขาไม่ได้แสดงความวิตกกังวลอะไรออกมาให้เห็นเลยสักนิด แถมยังดูชิวไม่ทุกข์ร้อนอะไรด้วยซ้ำ
“เพียงจันทร์เรื่องมันเป็นแบบนั้นจริงใช่ไหม?” ครูประจำชั้นตั้งคำถามกับฉันอีกครั้งเมื่อกลับมาถึงห้องเรียน
“จริงค่ะ หนูกลับประตูหลังทุกวันไม่เชื่อถามปูนากับโบได้ หนูไม่เคยสิงสิงกับใครและเมื่อวานใครไม่รู้วิ่งชนหนูจากนั้นมันก็ชุลมุนวุ่นวายไปหมดจนอาจารย์ฝ่ายปกครองมาเขาถึงแยกย้ายกันคนละทิศคนละทาง” ฉันบอกออกไปตามความจริง
“จริงค่ะ เพียงจันทร์กลับประตูหลังทุกวันเพราะขึ้นรถทางนั้นจะใกล้บ้านกว่า” ปูนาเสริมขึ้นเพื่อเป็นพยานให้ฉัน
“ไม่เป็นไรนะก็แค่ซวยไปเจอจังหวะไม่ดีเท่านั้นเอง ดีนะที่ครูอยู่ด้วยไม่งั้นเธอถูกจดชื่อแน่ ๆ ไม่มีอะไรแล้วไปนั่งที่เถอะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ทุกอย่างถูกเข้าใจไปแบบนั้นซึ่งมันเป็นความจริงค่ะ แต่อีกส่วนหนึ่งฉันไม่ได้บอกออกไปเพราะไม่มีใครถามก็ถือว่าไม่ได้โกหกเนอะ
เลิกเรียน
ฉันเดินกลับทางประตูหลังอย่างเช่นทุกวันค่ะแต่วันนี้ช้ากว่าปกติเพราะไปซื้อของทำงานกลุ่มกับปูนามาทำให้บรรยากาศหลังโรงเรียนเงียบกว่าที่เคยเพราะคนอื่น ๆ กลับกันเกือบจะหมดแล้ว
“...”
เท้าทั้งสองข้างชะงักไปแทบจะทันทีเมื่อเห็นใครบางคนอยู่ตรงนี้ ฉันกวาดสายตาไปรอบบริเวณเพื่อดูว่ามีคนอื่นอีกหรือเปล่าหรือว่าวันนี้เขามาดักรอใครอีกไหม
“ขอบใจนะ”
“เรื่องอะไร?”
“วันนี้ในห้องปกครอง” เท่าที่จำได้ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อเขาเลยนะ “เราไม่ผิดเราไม่ได้เริ่มก่อน”
“แต่นายลงมือก่อน”
“ก็สมควรแล้วนี่” นอกจากจะไม่รู้สึกผิดแล้วเขายังแสดงท่าทีสะใจออกมาให้เห็นอีกด้วย
“นายคนแรกเลยนะที่ทำให้เราเข้าห้องปกครองน่ะ”
“งั้นก็รู้ไว้ว่าเธอคนแรกเหมือนกันที่ซวยเพราะเรา ไม่สิ! เป็นภาระของเราถึงจะถูก”
“พูดอะไรน่ะ”
“ไม่ต้องรู้หรอก”
“...”