EP.4 SLAVE TO LOVE ♥
ตอน ความรักของพ่อ
“ขะ…ครับ?” พวกพนักงานขานตอบอย่างตกใจทันที เมื่อคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าคือคนเดียวกับรูปที่เขาถืออยู่
“GM” หนึ่งในสามตาโตตัวแข็งอย่างเกร็งไปทั้งตัว ทำเอาเพื่อนอีกสองคนก็ตกใจกลัวไปตาม ๆ กัน
“อยู่แผนกงานช่างใช่ไหม?” คลินต์มองป้ายชื่อและคาดเดาจากชุดที่ทั้งคู่สวมใส่
“ใช่ครับนาย” พนักงานที่สวมใส่ชุดการช่างขานรับทันที พวกเขาทำท่าทางอย่างกับเห็นผีก็ไม่ต่าง
“วันหลังถ้าจะติดประกาศอะไรหรือตกแต่งอะไรก็ตามภายในโรงแรม ให้ทำตอนกลางคืนเท่านั้นนะ!” คลินต์กล่าวตำหนิพนักงานทั้งสามคนทันที เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาบ่นพนักงานต่อทันที
“พวกคุณมาติดรูปตอนบ่ายโมงกว่า ๆ แบบนี้!” คลินต์ชี้ให้พวกเขาดูนาฬิกาข้อมือของเขา พลางเคาะ ๆ ที่หน้าปัดนาฬิกาอย่างใส่อารมณ์เล็กน้อย
“แขกส่วนใหญ่จะทยอยเข้าเช็กอินตอนบ่ายสอง...ซึ่งก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น” คลินต์ชักสีหน้าและเริ่มตำหนิลูกน้องของเขาอย่างหัวเสียทันที
“ถัดจากตรงนี้ไปไม่กี่ก้าวคือล็อบบี้เช็กอินของโรงแรม...คิดไม่ได้กันเลยเหรอ? ว่ามันเหมาะสมไหมที่แขกเดินเข้ามาเจอช่างยกบันได โก่งตัวเอนไปเอนมาโชว์กันแบบนี้?” GM จอมโหดร่ายยาว แต่เขาก็ทั้งบ่นและทั้งอธิบายถึงเหตุและผลไปอย่างชัดเจน
“ขอโทษครับ GM” ช่างทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกันก่อนจะรีบเก็บทุกอย่างให้เรียบร้อยตามคำสั่งของคลินต์ทันทีด้วยท่าทีลนลาน
“ครั้งหน้าระวังกันหน่อยนะ...ที่นี่คือโรงแรมหรูไม่ใช่หอพักราคาถูก ๆ!” คลินต์พยักหน้ารับคำขอโทษ เพราะจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ก็เป็นจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พนักงานทุกคนควรใส่ใจมากกว่านี้ เพราะตอนนี้คู่แข่งในธุรกิจโรงแรมมีผุดขึ้นมากมายกว่าเมื่อก่อนเป็นเท่าตัว ถ้าไม่พัฒนา ไม่ปรับตัว หรือทำให้ดีกว่าเดิมลูกค้าคงน้อยลงเรื่อย ๆ
“ไปทำงานได้” เขายกมืออนุญาตให้ทั้งสามคนเดินกลับไปทำงานอื่นได้ เขาเดินหลบมุมออกไปสูบบุหรี่ต่อเพื่อคลายความเครียดในระหว่างวัน ตั้งแต่คลินต์เข้ามาเป็น GM เขาก็เดินทางไปตรวจความเรียบร้อยของแต่ละโรงแรมแทบไม่มีวันหยุดเลยจริง ๆ
“ต้องให้เดินบอกปากเปียกปากแฉะ...กำกับกันทุกแผนกเลยรึไงนะ” คลินต์บ่นต่ออย่างเหนื่อยใจกับเหล่าพนักงานของตัวเองในสาขานี้จริง ๆ เพราะความใจดีของพ่อเขาแท้ ๆ ทุกคนถึงได้ใจและทำงานกันแบบชุ่ย ๆ และแสนจะเกียจคร้าน เขาพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างพยายามคลายความเครียด ใจก็นึกถึงพวกเพื่อน ๆ ตัวเองที่ตอนนี้ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำงานกันหมดแล้ว...พวกเขาในวัย 25 ปีตอนนี้ไม่มีใครเป็นเด็กวัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว
“รสชาติของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แม่งไม่ง่ายเลยวะไอ้เหี้ยเอ๊ย” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นและขยี้จนไฟดับสนิท ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโรงแรมเพื่อทำงานต่อทันที การเป็นเจ้าของกิจการมันต่างจากเป็นลูกจ้างตรงที่...เขาไม่มีวันหยุดไม่มีวันลา โรงแรมเปิดบริการ 24 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าทุกวินาทีทุกชั่วโมงเป็นเวลาทำงานทั้งสิ้น ไม่ว่าเขาจะตื่นหรือหลับอยู่ก็ตามแต่ เขาต้องพร้อมที่จะรับสายโทรศัพท์และตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ อยู่ตลอดเวลา
คลินต์ต่างจากพ่อตรงที่เขาเป็นคนไม่ปล่อยวางเลยสักเรื่องเดียว คลินต์ไม่ใช่คนที่ไว้ใจใครง่าย ๆ และด้วยความที่เขาไม่ได้จบบริหารมาโดยตรง เขาจึงไม่รู้วิธีบริหารงานอย่างถูกต้องสักเท่าไร เขาลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเองและตัดสินใจเองทุกเรื่อง ไม่บริหารงานหรือแบ่งงานสำคัญ ๆ ไปให้ใครเลย แต่พ่อของเขาก็เลือกที่จะปล่อยให้คลินต์ได้ลองเรียนรู้และลองทำมันตามแบบฉบับของเขาเอง อย่างไม่คิดจะห้ามปรามใด ๆ การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการลงมือทำจริง
ด้านเหล่าพนักงานหลาย ๆ คนที่ได้พบเจอกับ GM คนนี้ก็ต่างพูดกันปากต่อปากไปแทบจะทั่วทั้งโรงแรม ถึงกิตติศัพท์ความเข้มงวด ปากร้าย และโคตรเนี้ยบของเขา
แต่ข้อดีที่เห็นได้ชัดเลยจากการที่คลินต์เข้ามาบริหารแทนพ่อก็คือทุกคนกลัวเขามาก พวกพนักงานไม่กล้าจะทำงานผิดพลาด ไม่มีใครกล้ามาสาย หรือเกียจคร้านเหมือนเมื่อก่อนเลย ทุกคนดูตั้งใจทำงานกันมากกว่าตอนที่คุณคิมหันต์บริหารอยู่มาก ๆ เพราะกลัวว่าจะถูก GM คนใหม่ไล่ออกตามคำเล่าลือกันต่อ ๆ มา ซึ่งข่าวลือแบบปากต่อปากก็ใส่สีตีไข่ บวกห้าบวกสิบกันไปถึงความโหดของคลินต์มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงไม่น่าแปลกที่พนักงานทุกคนจะขยันและตั้งใจทำงานอย่างสุดกำลังตั้งแต่นั้นมา
@ห้องทำงาน
พอเปิดประตูเข้ามาในห้องก็เจอกับพ่อของเขาเองที่นั่งรออยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงานตัวใหม่ และฉีกยิ้มส่งให้ลูกชายอย่างอารมณ์ดี
และชายวัย 60 ปีคนนี้ก็คือคุณคิมหันต์ พ่อของ GM จอมโหดคนนี้นี่แหละ แต่คุณคิมหันต์ในตอนนี้ เขาได้ยกอำนาจและการตัดสินใจให้กับลูกชายเป็นคนดูแลทั้งหมดแล้ว
เพียงแต่ว่าท่านก็ยังคงดำรงตำแหน่งเจ้าของโรงแรมอยู่ตามเดิมตามคำขอของลูกชาย เนื่องจากคลินต์อยากแค่เข้ามาช่วยงานเรื่องบริหาร เขาอยากจะเรียนรู้งานต่าง ๆ และเป็นที่ยอมรับจากเหล่าพนักงานก่อนถึงค่อยขึ้นรับตำแหน่งเจ้าของโรงแรมในอนาคต
“GM คนใหม่ของโรงแรมเรา โหดน่าดูเลยน้า~” เสียงของชายวัยย่าง 60 ปี เอ่ยทักลูกชายของเขาด้วยท่าทียิ้มแย้ม
“ผมก็แค่บริหารในแบบของผม…ถ้าทำดีผมก็ชม ทำเหี้ยผมก็ไล่ออก” คลินต์ตอบก่อนจะเทเหล้าบนโต๊ะกระดกดื่มทันที หลังจากเข้ารับตำแหน่งไม่กี่วัน ก็มีแต่เรื่องเครียด ๆ เกิดขึ้นทั้งนั้น
“ได้คลินต์เข้ามาช่วยบริหารแบบนี้โรงแรมเราน่าจะพัฒนาไปได้ไกลกว่าเดิมแน่ ๆ เลย เพราะคลินต์ของพ่อ (โหด) เก่งมากที่สุดในโลก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยยกยอลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาอย่างภาคภูมิใจเป็นที่สุด
คลินต์ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ทำงานของเขาอย่างอ่อนล้า เพราะเขาเดินตรวจงานมาทั่วทั้งโรงแรม และยังต้องคอยเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ว่ามีส่วนไหนบ้างที่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น
“พ่อไม่ต้องมาพูดเอาใจผมหรอกน่า...ผมทำเพราะเงินกับมรดกของพ่อต่างหาก” คลินต์ถอนหายใจพร้อมกับถอดสูทตัวนอกของเขาวางพาดไว้กับเก้าอี้ทำงาน
“เพราะผมกลัวว่าพ่อจะเอาเงินไปเปย์สาว ๆ พริตตี้มากกว่า ผมเลยต้องรีบเข้ามารับตำแหน่ง” คลินต์เอ่ยตอบไปอย่างหยอกล้อกับพ่อตัวเอง
ถ้าคนที่รู้จักเขาจริง ๆ คลินต์เป็นคนคุยสนุก ขี้เล่นกับแค่คนที่สนิทจริง ๆ เท่านั้น และหลังจากที่เขาต้องเข้ามาบริหารและดำรงตำแหน่งสูงสุดแบบนี้ ต่อหน้าพนักงาน คลินต์จึงค่อนข้างจะวางมาดและไม่คุยเล่นใด ๆ เลย
ในที่ทำงานแห่งนี้เขาคือเจ้านาย ไม่ใช่เพื่อนของใคร พนักงานทุกคนจึงควรที่จะอยู่ภายใต้คำสั่งของเขาด้วยความเคารพและยำเกรง
“เรื่องเปย์สาวน่ะพ่อไม่เถียง แต่เรื่องทรัพย์สมบัติและโรงแรมทั้งหมด ยังไงพ่อก็ยกให้ลูกชายพ่อ...เพียงคนเดียวเท่านั้น” คุณคิมหันต์เทเหล้าขวดใหม่รินใส่แก้วของตัวเองและลูกชาย พร้อมกับชนอย่างสำราญใจ
“งานหนักไหมวันนี้?” หนุ่มใหญ่เอ่ยถามลูกชายของเขาอย่างเป็นห่วง
“ก็หนักเอาการอยู่เหมือนกัน” คลินต์ตอบไปตามตรงก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปากและหงายหลังพิงเก้าอี้อย่างล้า ๆ
“ว่าแต่วันนี้พ่อเข้าโรงแรมมามีอะไรรึเปล่า?” คลินต์สบตากับพ่อของเขาและเอ่ยถามไปตามตรง
หลังจากที่พ่อขอเขาปลดเกษียณไป ท่านก็ออกเดินทางไปท่องเที่ยว พักผ่อน และมักจะจัดฮาเร็มพาสาว ๆ พริตตี้นุ่งน้อยห่มน้อยมาปาร์ตี้ที่บ้านอยู่บ่อย ๆ เพื่อคลายเหงาของท่านไปวัน ๆ ตามประสา หนุ่มใหญ่มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย
คุณคิมหันต์แม้จะอายุ 60 แล้วแต่ท่านก็ยังแข็งแรง ฟิตปั๋ง และเป็นหนุ่มใหญ่ที่เนื้อหอมมาตั้งแต่หนุ่มยันแก่เลยจริง ๆ ท่านพยายามใช้เงินสร้างความสุขให้กับตัวเอง และระลึกอยู่เสมอว่าชีวิตของคนเรามันสั้นและไม่มีอะไรที่แน่นอนเลยสักอย่าง ท่านจึงอยากจะทำให้ตัวเองมีความสุขในทุก ๆ วัน ไม่เคร่งเครียดอะไรกับชีวิตมากมายนัก
“พ่ออยากจะมาชวนแกไปทานข้าวด้วยกันน่ะ” ผู้เป็นพ่อพูดด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ๆ
“วันนี้...วันสำคัญอะไรงั้นเหรอ?” คลินต์นั่งกอดอกและจ้องตากลับไปที่พ่อตัวเองอย่างตกใจ เพราะเขาคิดว่าตัวเองทำงานหนักจนลืมวันสำคัญ ๆ อะไรไปหรือเปล่า คลินต์ขมวดคิ้วและเผลอยิ้มตามพ่อและไล่เปิดปฏิทินดูทันที
“เปล่าหรอกลูก... พ่อก็แค่...” คิมหันต์เอ่ยตอบและยิ้มกว้างมากขึ้นและจับมือของลูกชายให้หยุดเปิดปฏิทินตั้งโต๊ะตรงหน้าทันที คลินต์ยังคงยิ้มและรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“พ่อมีใครคนหนึ่งอยากแนะนำให้คลินต์รู้จักน่ะ” คำพูดของพ่อทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของคลินต์ค่อย ๆ จางหายไปอย่างช้า ๆ
“...” คลินต์เม้มปากแน่นอย่างไม่รู้ว่าเขาควรพูดว่าอะไรดีหลังจากที่ได้ยินแบบนั้น ทำให้ทั้งสองคนต่างเงียบกันไปทั้งคู่
แม่ของคลินต์จากไปด้วยเหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อ 20 ปีก่อน ขณะที่ท่านเดินทางกลับจากเยี่ยมครอบครัวฝั่งคุณตาที่ประเทศอิตาลี
เนื่องจากที่คุณแม่คลินต์เป็นลูกครึ่งไทย-อิตาลี คุณตาของคลินต์เป็นคนอิตาลีแท้ ๆ ทำให้คลินต์เองมีใบหน้าหล่อเหลาในสไตล์ยุโรปผสมกับความเป็นไทยแบบคมเข้ม เขามีดวงตาสีน้ำเงินเข้มเกือบดำสนิทและเป็นการผสมผสานออกมาอย่างลงตัว ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรในยุคกรีกโรมันโบราณ ความสูงและร่างกายกำยำในแบบชาวตะวันตก
พ่อของคลินต์รักแม่ของเขามาก ๆ ทั้งสองพบรักกันในสมัยที่คิมหันต์ไปเรียนต่อด้านการโรงแรม ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ความรักอันแสนหวานก็ไม่ได้อยู่คงนานสักเท่าไร เพราะแม่ของคลินต์ได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับเมื่อ 20 กว่าปีก่อน และพ่อของเขาก็ไม่เคยแต่งงานใหม่อีกเลยมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
ด้วยความเหงาของพ่อหม้ายลูกติดที่รวยติดอันดับต้น ๆ ของประเทศ ไม่แปลกเลยที่เขาจะเนื้อหอมในหมู่สาว ๆ วัยกระเตาะ ๆ แต่คิมหันต์ไม่เคยคบใครจริงจังเกินครึ่งปีเลยด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่เขาจะเน้นเลี้ยงดูสาวพริตตี้สวย ๆ ไว้คลายเหงาเพียงเท่านั้น และพ่อหม้ายลูกติดผู้ใจดีคนนี้ก็เพิ่งจะมาเป็นเริ่มเพลย์บอยเต็มตัว ก็หลังจากที่ลูกชายโตเป็นหนุ่มเต็มที่แล้ว คลินต์ไม่เคยต่อว่าหรือมีปัญหาเรื่องที่พ่อของเขากลายเป็นเศรษฐีหนุ่มใหญ่คาสโนว่า เพราะสำหรับคลินต์แล้วพ่อของเขาทำหน้าที่พ่อเลี้ยงเดี่ยวได้เป็นอย่างดี และเขาไม่เคยรู้สึกขาดความอบอุ่นด้านใดเลยจริง ๆ
อะไรที่เป็นความสุขของพ่อของเขา เขาก็ไม่คิดจะห้ามปรามหรือขัดขวางอะไรอยู่แล้ว
แต่ที่เขาเงียบเพราะเขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่ง พ่อจะอยากจริงจังกับใครก็เพียงเท่านั้น...
“พ่อเองก็แก่แล้ว ไม่อยากคบเด็กสาวพริตตี้เด็ก ๆ แก้เหงาไปวัน ๆ แล้ว” ท่านเริ่มเกริ่น ๆ ออกมา แต่ก็ยังคงมองหน้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างรู้สึกประหม่า ๆ
“พ่อก็แค่อยากมีใครสักคนที่เขาพร้อมจะดูแลกันไปจนแก่จนเฒ่า...เหมือนที่พ่อเคยมีแม่ของลูก” คิมหันต์เหลือบมองปฏิกิริยาของคลินต์อยู่ตลอดและพยายามพูดกล่อม ๆ ให้เขาเข้าใจ
“คืนนี้พ่อก็เลยอยากให้คลินต์ไปทานข้าวร่วมกันกับคุณ... (คิมหันต์) / ผมไม่ว่าง (คลินต์)” ยังไม่ทันที่พ่อจะพูดจบ คลินต์ก็พูดแทรกกลับไปทันทีอย่างไม่สามารถเก็บอาการได้