อีกครั้ง กิตติภัส กรรณหทัย

1841 คำ
“หนาว ฮึก เจ็บ” ริมฝีปากบางสั่นระริกรำพันกับตัวเอง พลางขดตัวกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นหวังให้ช่วยบรรเทาอาการหนาวที่แผ่ซ่านจับขั้วหัวใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่นรับรู้ถึงความหนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินหนักๆ มาทับไว้บนศีรษะ ไม่พอความรู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนมีของแข็งมากระแทก ยิ่งถาโถมให้ร่างบางสะท้านจนแทบทนไม่ไหว เธอป่วยไม่สบายนอนซมเป็นไข้อยู่ในบ้านเป็นเวลาร่วมสองวัน อาการเริ่มแรกไม่ส่อเคล้าถึงความหนักหนาอย่างที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ ก่อนหน้านี้เธอพยายามพาตัวเองลุกขึ้นมา เมื่อพบว่ายาลดไข้แบบสำเร็จรูปที่พกติดกระเป๋ามาไม่ได้บรรเทาความเจ็บปวดให้ดีขึ้นบ้างเลยสักนิด ถ้าเลือกได้ เธอเลือกที่จะดูแลตัวเองและมิได้หลงใหลได้ปลื้มกับกลิ่นไอของยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาล แต่สัญชาตญาณเอาตัวรอดที่มีอยู่ เรียกร้องว่าคงถึงเวลาที่ต้องจำใจทำอย่างนั้น อย่างน้อยก็เพื่อชีวิตที่ต้องอยู่รอดต่อไป ทำอะไรอย่างที่ใจฝันของตัวเอง หญิงสาวพยายามค่อยๆ พาตัวเองกระเถิบลงมาจากเตียง ห้อยขาลงจนเท้าแตะพื้น ความเย็นในคราแรกที่ได้สัมผัส ช่างต่างจากอุณหภูมิสูงของร่างกายที่ร้อนเป็นไฟขัดกับความรู้สึกข้างในที่เพียงแค่ลมแผ่วพัดผ่านกลับยะเยือกไปทั้งร่างลิบลับ ใช้ความพยายามอย่างมากในพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนเต็มสองเท้าแล้วก้าวเดินไป ค้านกับไอร้อนที่แผ่ซ่านไปทั้งดวงตา ภาพตรงหน้าที่เบลอขึ้นเรื่อยๆ “มัดหมี่ เป็นยังไงบ้าง ยังพอรู้สึกตัวอยู่มั้ย” ประโยคร้อนรนที่แว่วมา ไม่สร้างความแปลกใจเท่ากับการได้ยินชื่อตัวเองประกอบอยู่ในประโยคนั้น กรรณหทัยจำได้ลางๆ เพียงแค่พยายามกดศีรษะที่หนักอึ้งพยักหน้าตอบรับอย่างไร้กำลังเกินทน รับรู้ถึงสัมผัสของลมอุ่นๆ ที่อยู่ไม่ไกลเพียงแค่เอื้อม ก่อนความรู้สึกเย็นยะเยือกจากพื้นที่ลงไปนอนไม่ได้สติจะถูกแทนที่ด้วยไออุ่นจากอ้อมแขนแกร่งที่โอบอุ้มร่างเธอไว้ ไม่รู้เลยว่าเจ้าของวงแขนอบอุ่นอ่อนโยน ไออุ่นที่ใจดีเผื่อแผ่แบ่งปัน เขาคนนั้นเป็นใคร ด้านกิตติภัส แม้จะตกใจไปชั่ววูบ เมื่อคนที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พบกลับกลายเป็นมานอนหมดสติอยู่ตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง ช่วงขายาวถลาเข้าไปหาคนที่นอนหลับตาแน่น ดวงตาคมไล่สำรวจ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันก่อนผูกเป็นปมแน่นขึ้น เมื่อพบว่าสาเหตุของน้ำสีแดงที่ไหลนองหน้าคือบาดแผลตรงขมับขวาของศีรษะประเมินจากประสบการณ์คงต้องเย็บไม่ต่ำกว่าสี่เข็ม เขาเลื่อนสายตาสำรวจไปยังดวงหน้าซีดของคนในอ้อมแขนอีกรอบ หยดน้ำใสที่ไหลซึมออกมาจากหางตา เรียกฝ่ามือหนาให้ยื่นออกไป สัมผัสอุ่นๆ จากนิ้วเรียวที่ซับน้ำตาออกจากใบหน้า คงพอทำให้อีกคนรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง สังเกตจากคิ้วเรียวที่ผูกเป็นปมก่อนหน้านี้ค่อยๆ คลายลงโดยอัตโนมัติ “ไม่เป็นไรนะมัดหมี่” ไม่ใช่แค่น้ำเสียง แต่หากมองให้ลึกลงไปรอยยิ้มละมุนที่ส่งผ่านมาจากดวงตาก็ตีความหมายได้ในแบบเดียวกันไม่ต่าง คนพูดได้รับคำตอบกลับมาเป็นอาการพยักหน้ารับน้อยๆ ของใครอีกคน “เดี๋ยวก็หายแล้ว ไม่ต้องกลัวนะคนเก่ง แม้มองไม่เห็นด้วยสายตา แต่เธอสัมผัสได้ในความรู้สึก สัมผัสอบอุ่นของฝ่ามือตามด้วยจมูกโด่งที่กดหนักๆ ลงกลางกระหม่อม ไม่รู้ด้วยอุณหภูมิที่กำลังขึ้นสูงเกินปกติของร่างกายหรืออะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่กำลังได้รับ…ทั้งน้ำเสียง คำพูด ทุกความรู้สึกของการกระทำ ไม่รู้ทำไม กลับทำให้บางสิ่งที่หลงลืมไปมานาน ฉายชัดในหัวใจขึ้นมาอีกครั้ง เจ้านกน้อยล่องลอยโผบิน จากแผ่นดินทะเลสีคราม ความเหงาเอยมาคอยเหยียบย้ำ ให้ทรมาน ฝ่าลมแรงด้วยแรงท้าทาย สู่จุดหมายที่ไกลลิบตา เพียงพบเจอทุกวันเห็นหน้าอิ่มเอิบดวงมาลย์ เสียงเพลงรับน้องดังกึกก้องทั่วมหาวิทยาลัย เป็นสัญญาณของการเริ่มต้น สถานที่ใหม่ การเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ๆ ประสบการณ์และชีวิตหลังจากวันนี้ในรั้วมหาวิทยาลัยกำลังจะเริ่มขึ้น “เธอ เธอ เอ่อ ขอโทษนะ เธอรู้หรือเปล่าว่าตึกเรียนแอลหนึ่งมันไปทางไหน” คนขมวดคิ้วมุ่นเป็นพักก่อนหน้านี้ เดินไปสะกิดใครอีกคน หลังจากกวาดตามองดูแล้ว ใต้ตึกวิศวะ จากการประเมิน สถานการณ์เบื้องต้น ผู้ชายที่กำลังเดินไปหาและสะกิดถามตรงหน้าท่าจะดูเข้าเคล้าน่าไว้ใจได้มากที่สุด “อ้อ เราก็ไปตึกนี้เหมือนกัน เรียนกลุ่มเดียวกันเลยนี่ งั้นเดี๋ยวไปพร้อมกันก็ได้” “อ่าว คุณหมอพาใครมาละนั่น แล้วนี่เป็นอะไร ทำไมเลือดซกขนาดนี้” เสียงหญิงวัยกลางคนเอ่ยถามผนวกกับเสียงเซ็งแซ่ราวมีผู้คนมากมายเดินวุ่นวายอยู่โดยรอบ เรียกคนไข้สูงสติไม่ค่อยจะครบให้หลุดออกจากภวังค์ กรรณหทัยพยายามเปิดเปลือกตาเพื่อลืมตาขึ้นมอง แต่ก็ไม่สำเร็จเมื่อค้นพบว่าแม้แต่เปลือกตาบางยังหนักอึ้งเกินไปที่จะทำอย่างนั้น “ตกบันไดน่ะครับ ไข้ขึ้นสูงไม่แน่ใจว่าไข้หวัดใหญ่หรือไข้เลือดออก ขอซีบีซีก่อนเลยนะครับ รบกวนเตรียมเปิดเซ็ตเย็บแผลให้ผมด้วย” ตามด้วยเสียงของคนๆ เดิม เขาเอาหูฟังมาวางบอกให้หายใจลึกๆ อีกด้านหนึ่งถ้าเดาไม่ผิด คงเป็นพยาบาลที่มาลูบๆ คลำๆ แถวแขนของเธอ ระหว่างนั้นก็บ่นไปพลาง “วันนี้เป็นอะไรไม่รู้นะหมอ มีแต่คนเจ็บป่วยหัวร้างข้างแตก ยัยเล็กก็ไม่รู้ไปเดินอีท่าไหนให้ส้นรองเท้าหัก ล้มคะมำพื้นหัวแตกเข้าให้เหมือนกัน พี่เคยเตือนแล้วว่าอย่าใส่ส้นสูงนักก็ไม่ยอมเชื่อ ไม่รู้จะหัวเราะหรือสงสารดี ยังไงบ่ายๆ หมอแวะไปดูใจหน่อยละกัน เห็นร่ำๆ ว่าคิดถึงหมอ” พยาบาลข้างๆ กล่าวแบบทีเล่นทีจริง เธอได้ยินอีกฝ่ายตอบรับด้วยอาการกลั้วหัวเราะ ก่อนตัวเองต้องอุทานเสียงหลง เผลอกัดริมฝีปากอย่างแรงจนรับรู้ถึงรสชาติของธาตุเหล็ก เมื่อสัมผัสของวัตถุแหลมๆ ที่แทงลงไปบนเนื้อบางอย่างที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ ช่างเป็นสิ่งที่ไม่ชอบมันเอาซะเลย “โอ้ย” เสียงร้องแผ่วเบาอาจด้วยคนร้องไม่มีแรงมากไปกว่านั้น แต่น่าแปลกที่กลับดังพอให้คนกำลังเดินเลี่ยงไปอีกทางต้องรีบหันหลังกลับมามอง มือเรียวซีดคล้ายจะพยายามควานหาอะไรบางอย่าง อย่างต้องการที่พักพิง ก่อนเลือกจะจบลงที่ผ้าปูเตียงสีเขียวที่มือบางคู่นั้นกดจิกลงไปแน่น มีอิทธิพลมากพอทำให้คิ้วเข้มพาดผ่านบนใบหน้าขาวสะอาดของใครอีกคนขมวดเข้มขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “ช่วยตามผลซีบีซีให้ด้วยนะครับ” ประโยคนั้นส่งผลให้พยาบาลวัยกลางคนเดินเลี่ยงออกไปเพื่อทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ดวงตาคมทอดมองลงมายังดวงหน้าซีดที่ยังขมวดคิ้วมุ่น ริมฝีปากบางเม้นสนิทจนเป็นเส้นตรงไม่เลิก ก่อนมือหนาจะยื่นไปหยิบผ้าก๊อซบนรถเข็นที่อยู่ใกล้ๆ ค่อยๆ ซับรอยเลือดซิบบนผิวบางของริมฝีปากนั้นอย่างเบามือ “ไม่เอา ไม่ทำแบบนี้” เสียงบอกอ่อนโยน มันคุ้นเหลือเกิน คุ้นมากจนต้องพยายามฝืนความรู้สึกทรมานมากมายที่ถาโถมเข้ามาเพื่อลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะพบว่าความเจ็บปวดที่มี ทำให้เธอปรับโฟกัสได้แค่เพียงแค่แววตา แววตาของใครคนนั้นอ่อนโยนไม่ต่างจากคำพูด คุ้น คุ้นเหลือเกิน คุ้นเคยมากมายในความรู้สึก… “เดี๋ยวทำแผลให้แบบเบามือที่สุดเลย” คำปลอบกึ่งเอาใจราวเด็กตัวน้อย ถ้าหญิงสาวตรงหน้าลืมตาขึ้นมาได้ คงได้เห็นรอยยิ้มบางเจือความเอ็นดูฉาบอยู่บนใบหน้าไม่ต่างจากคำพูด คิ้วเรียวขมวดแน่นอีกครั้งพลางนิ่วหน้ายุ่งเมื่อความเจ็บจิ๊ดจากหน้าผากแล่นผ่านขึ้นไปจนถึงสมอง สัญชาตญาณสั่งให้มือบางกำแน่นเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดในแบบเคยๆ ก่อนคิ้วผูกเป็นปมจะค่อยๆ คลายออก เมื่อรับรู้ถึงสัมผัสอ่อนโยนจากนิ้วเรียวของใครอีกคนที่เอื้อมมาแตะปลายนิ้วบางของมือเล็ก ค่อยๆ คลายมันออกทีละนิ้วอย่างเบามือ กระชับฝ่ามืออุ่นเข้าไว้กับฝ่ามือเย็นชืดซับไปด้วยเหงื่อ “จะดูแลให้ดีที่สุด” “ไม่ต้องกลัวนะ คนเก่ง” อีกครั้งที่ได้ยินประโยคนี้ อบอุ่น ปลอดภัย และมีความสุข ดวงตากลมค่อยๆ ปิดลง พร้อมความรู้สึกผ่อนคลายจากฝ่ามือของใครอีกคนที่ลูบเบาๆ บนศีรษะ ภาพรอยยิ้มที่เคยเลือนรางเริ่มกลับมาชัดเจนในความรู้สึก สายใยบางๆ ที่เคยขาดหายเริ่มปรากฏชัดเจนแม้เพียงแค่ในความฝัน ค่อยๆ ถักทอเรื่องราวปัจจุบันย้อนวันวานกลับสู่อดีต ความทรงจำครั้งแรก…. รอยยิ้มสบายๆ ของชายหนุ่มในชุดนักศึกษาช่างต่างกับคนที่กำลังพยายามปั้นหน้าจัดการกับอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยจะถูกเมื่อต้องตกกระไดพลอยโจรมานั่งซ้อนท้ายจักรยานที่มีผู้ชายตัวโตๆ ทำหน้าที่เป็นสารถีอยู่ด้านหลัง จักรยานคันเดิมถูกจอดลง พร้อมกับเจ้าของร่างบางที่แอบถอนหายใจโล่งอกเมื่อสารถีข้างหน้าเดินนำห่างไปอย่างไม่คิดจะสนใจอะไรอีก แต่สุดท้ายก็ต้องมาจบลงที่หน้าห้องเรียนเดียวกัน! “นั่นไงรายชื่อ ลองไปดูชื่อหน้าห้องดูก่อน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพามาถูกหรือเปล่า” เธอไม่แน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นพูดกับใคร เขาชี้มือไปยังแผ่นกระดาษสีขาวที่ติดอยู่ตรงบอร์ดที่เยื้องไปทางด้านขวาของประตู ก่อนค่อยๆ ไล่นิ้วตามรายชื่อยาวเหยียดที่ติดอยู่ตรงหน้า “นี่ไง ชื่อเรา เจอแล้ว แล้วเธอละ ชื่ออะไร เดี๋ยวเราดูให้” เขาคล้ายจะพูดกับเธอ ทั้งที่สายตาก็ยังจดจ่ออยู่กับแผ่นกระดาษตรงหน้าไม่ละไปไหน “เราชื่อ กรรณหทัย” เธอได้ยินเหมือนเสียงตัวเองอ้อมแอ้มตอบไปแบบนั้น เห็นคนที่เธอแอบลอบมองเลื่อนสายตาขึ้นไปด้านบนกว่าที่เคยปรับโฟกัสไว้ก่อนหน้าเพียงนิด ก่อนละสายตาจากแผ่นกระดาษหันมายิ้มสบายๆ แบบเดิมให้กับเธอ “ชื่ออยู่ติดกันเลย” ก็อาจเป็นไปได้ แต่ทำไมต้องยิ้มดีใจขนาดนี้ “ชื่อเราอยู่ติดกัน กิตติภัส กรรณหทัย”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม