หมอดุ คนไข้ดื้อ50%

2045 คำ
คิดถึงเหลือเกิน..กรรณหทัย เสียงอ่อนโยน พร้อมสัมผัสอบอุ่นยังคงประทับแน่นและชัดเจนในความรู้สึก ก่อนเสียงเรียกที่ลอยเข้ามาในหูจะเรียกสติจากห้วงนิทราตื่นมาพบว่ามันเป็นเพียงความฝัน แสงไฟจ้าบนเพดานห้องทำให้ดวงตากลมต้องกะพริบมันถี่ๆ แล้วหรี่ตาเพื่อหลบแสง พยายามปรับโฟกัสให้ได้ระยะที่พอดีกับสายตา สักพักจึงมองสำรวจไปโดยรอบ น้ำเสียงและสัมผัสอ่อนโยนค้านกับความรู้สึกหนักแน่นที่ถูกส่งผ่าน บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า มือบางเผลอยกขึ้นแตะกระหม่อมตัวเองแผ่วเบาอย่างต้องการตอกย้ำความรู้สึก ก่อนรอยยิ้มน้อยๆ จะผุดขึ้นมาและเปลี่ยนเป็นอาการส่ายหัวกับตัวเองเบาๆ หัวแตกจนสมองเบลอ เธอแค่ฝันไปเท่านั้นนะ กรรณหทัย เธอหาข้อสรุปและบอกกับตัวเองอย่างนั้น เมื่อไม่ว่าจะมองไปทางใด ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาคนที่เธอเลอะเลือนถึงขนาดเก็บไปฝันเลยซักนิด จะมีก็แต่พยาบาลวัยกลางคนคาดว่าน่าจะสักสามสิบตอนปลายที่เคาะประตูเปิดห้องเข้ามา ส่งยิ้มให้เธอตรงหน้าตอนนี้ เธอเข้ามาเพื่อทำและปฏิบัติหน้าที่สามอย่าง อย่างแรก..เช็ดตัว กรรณหทัยยอมได้ แม้จะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอเคยป่วยหนักก็แค่เป็นไข้เลือดออกไปสามครั้ง ครั้งแรกตอนเด็กมาก ครั้งที่สองตอนเจ็ดขวบ และอีกครั้งตอนเรียนปีหนึ่ง และถ้าเป็นอีกแค่หนึ่งหน เธอคงไม่ต้องเป็นโรคนี้มันเลยตลอดชีวิต เพราะถ้าไม่หายก็อาจตายกันไปข้าง แต่เอ๊ะ มีใครรู้บ้างหรือเปล่าว่าคนเราจะเป็นไข้เลือดออกกันได้อย่างมากได้แค่สี่ครั้ง เพราะยุงที่เป็นพาหะมีสี่สายพันธุ์ เมื่อเราติดเชื้อแต่ละสายพันธุ์ หลังจากที่หายร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง คล้ายๆ กับการฉีดวัคซีนนั่นล่ะ ตอนนี้เธอเคยเป็นมาแล้วสามครั้ง ก็เหมือนได้รับวัคซีนจากสามสายพันธุ์ ถ้าเป็นอีกหนึ่งครั้งเธอก็จะครบสี่ เมื่อถึงวันนั้นเธอคงไม่กลับมาเป็นอีก และคงได้รับถ้วยรางวัลไม่จากกระทรวงก็คงเป็นโรงพยาบาลอะไรสักแห่ง ในฐานะคนไข้ไข้เลือดออกดีเด่นแห่งชาติ รักษาตัวรอดมาได้แม้ว่าจะติดเชื้อครบทุกชนิด อืม ว่าแต่...นี่เธอไม่ใช่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขนะ แล้วตอนนี้เธอก็กำลังตกอยู่ในสภาพคนไข้ที่คุณพยาบาลกำลังเช็ดตัว และจะให้บอกอีกครั้งก็ได้ว่ามันเขิน ถึงจะถูกต้องตามหลักการพยาบาลสากลแต่ตลอดประสบการณ์ที่ได้มีโอกาสนอนเล่นในโรงพยาบาลถึงสามครั้งสามหน พยาบาลที่ดีที่สุดของเธอก็คงไม่พ้นคนที่ใกล้ตัวเธอที่สุดนั่นก็คือคุณแม่ แต่ก็นะ จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็ตอนนี้เธอมาที่นี่และอยู่ที่นี่คนเดียว เงินติดตัวยังไม่มีสักบาท ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามานอนหมดสภาพในที่แบบนี้ได้ยังไง..คงจะมีคนใจดีพาเธอมาส่งไว้ที่นี่ หลังจากเช็ดเนื้อเช็ดตัวเสร็จ คุณพยาบาลก็พยายามคะยั้นคะยอให้กินข้าว แม้จะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ก็ไม่ได้มีผลให้เธอ (พยายาม) กินข้าวต้มแสนจืดตรงหน้าไปได้มากกว่าห้าคำ แต่กระนั้นคุณพยาบาลก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากปฏิบัติการต่อไปคือบังคับให้ทานยาต่อ “ทานยานะคะ” คำพูดพร้อมรอยยิ้ม ไม่ได้ทำให้เธอเข้าขั้นตกใจ เท่ากับสิ่งที่ลอยอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังอุตส่าห์รับมันมาแต่โดยดีแล้วส่งยิ้มแบบเดียวกันกลับไป “ขอบคุณค่ะ เอ่อ ขอโทษนะคะพี่พยาบาล เผอิญรู้สึกหนาว จะรบกวนหรือเปล่าคะ ถ้าจะขอผ้าห่มเพิ่มอีกสักผืน” บอกเสียงอ่อยขอความเห็นใจออกไปสุดฤทธิ์ เธอเห็นคนฟังได้ยินแล้วก็มองไปทางเครื่องปรับอากาศ หันมาทำหน้าคล้ายแปลกใจ แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ ยอมทำตามที่เธอร้องขอแต่โดยดี และทันทีที่ประตูถูกปิดลง… “อ่าว คุณหมอ มาพอดีเลย” พยาบาลที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องเอ่ยทักทาย เมื่อเห็นว่าชัดว่าคนที่กำลังเดินสวนเข้ามา เป็นคนเดียวกับที่ไหว้วานให้เธอช่วยดูแลคนไข้ที่เพิ่งผละตัวเองออกมาเมื่อสักครู่นี้ “นี่พี่กำลังออกไปเอาผ้าห่มให้ เห็น ‘คนไข้พิเศษ’ ของหมอบ่นๆ ว่าหนาว” เธอว่าพลางพยักพเยิดไปยังทิศทางของห้องที่บานประตูเพิ่งปิดลง แล้วหันมากระซิบกระซาบอย่างมีเลศนัย เมื่อเช้าตอนที่เธอกำลังจะออกเวร นายแพทย์รุ่นน้องเข้ามาไหว้วานให้ช่วยไปดูแลคนไข้ ด้วยความเป็นคุณหมอนิสัยดีตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ ทำให้เธอไม่คิดจะรับแม้แต่ค่าจ้างที่อีกฝ่ายหยิบยื่นมาเพื่อตอบแทนเป็นสินน้ำใจ แต่คนตรงหน้าก็ไม่ละความพยายามทำให้เธอต้องรับมันไว้แต่โดยดี เธอคิดว่าน่าจะเป็นญาติหรือคนรู้จักของคุณหมอสักคน แต่คนที่ได้เจอกลับเป็นหญิงสาวตัวเล็กบอบบางผิวขาวละเอียด แม้ในยามหลับใหลแต่คิ้วเข้มเรียวสวยที่พาดผ่านใบหน้าขาวเนียนไร้การเติมแต่งตัดกับริมฝีปากบางกับพวงแก้มขาวอมชมพูก็ไม่ได้ทำให้ความสดใสน่ามองลดลงเลยสักนิด ที่สำคัญ ทั้งโครงหน้า องค์ประกอบของเรื่องราว ไม่รวมท่าทางที่แม้จะนิ่ง แต่กระนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นคุณหมอคนนี้ทำแบบนี้กับใคร ใช้สัญชาตญาณลองพยายามจับต้นชนปลายดูแล้ว แม้คุณหมอรุ่นน้องจะไม่ปริปากบอก…แต่ท่าทางแบบนี้ การกระทำแบบนี้ รวมถึงอาการแบบนี้ก็ส่อพิรุธออกมาได้ไม่น้อย “ฝากหมอดูแลต่อละกันนะ พี่เพิ่งให้กินยาไปเมื่อกี้นี้เอง” ผู้อาวุโสกว่าว่าพลางเดินเลี่ยงออกไป แต่กระนั้นรอยยิ้ม ใบหน้า รวมทั้งแววตาภายใต้กรอบแว่นก็ยังมองมาด้วยแววตาเหมือนมีเลศนัยบางอย่าง กิตติภัสทำเพียงส่งยิ้มให้คนตรงหน้าเป็นการขอบคุณ นิสัยโดยปกติที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว ทำให้เลือกที่จะไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ด้วยรู้ดีว่า ไม่ว่าคำตอบที่ออกมาจะเป็นอย่างไร คงไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของรุ่นพี่เพื่อนร่วมงานได้อยู่ดี นางพยาบาลเดินจากไปแล้ว เหลือเพียงแต่แพทย์เจ้าของไข้ที่เดินมาหยุดลงหน้าห้อง ยกมือขึ้นกำลังจะเคาะประตูเป็นสัญญาณให้คนที่อยู่ในนั้นได้รู้ตัว ถ้าไม่เผอิญมองช่องกระจกใสขนาดเล็กบนบานประตูเข้าไป แล้วเห็นการกระทำของใครอีกคน เขาเห็นเจ้าของร่างเล็กที่พยายามพาตัวเองห้อยขาลงจากเตียงอย่างยากลำบาก แม้ใจหนึ่งจะอยากเข้าไปช่วย แต่อีกใจกลับบอกเขาว่าให้อยู่นิ่งๆ และคอยดูต่อไป แล้วมันก็จริงซะด้วย เธอจะรู้เปล่าว่าสิ่งที่เธอกำลังทำ ทำให้คนแอบมองขมวดคิ้วมุ่นและหลุดหัวเราะได้ในเวลาเดียวกัน ภาพร่างบางพยายามพยุงตัวเองให้ยืนได้จนเต็มความสูงไม่ทำให้เขาแปลกใจเท่ากับสิ่งที่เพื่อนตัวเล็กตรงหน้ากำลังทำอยู่ในตอนนี้ แม้จะได้ยินไม่ชัด แต่อาการยืนชี้นิ้วพูดกับเม็ดยาในมืออีกข้างของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับมันเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง ก็ทำให้คนตั้งท่าว่าจะทำเข้ม ระบายรอยยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาคิดว่าพอจะเดาออกว่าอะไรเป็นอะไร แต่แค่ยังไม่อยากทำให้คนไข้ (แอบดื้อ) ตกใจก็เท่านั้นเอง คนตัวเล็กพาตัวเองเดินเลี่ยงไปยังมุมหนึ่งของห้อง พอดีกับมือหนาที่เปิดประตูเข้าไป กะเอาจังหวะที่ลับตาใครอีกคนได้พอดี แม้อาณาบริเวณจะไม่ได้กว้าง แต่ก็ทำให้คนสองคนเดินคลาดกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มวางถุงโจ๊กที่ยังอุ่นๆ ไว้ที่โต๊ะบนหัวเตียงอย่างไม่รีบร้อน เดินไปหยุดยืนพิงหลังกับบานหน้าต่างในอีกมุมอย่างใจเย็น มองดูร่างเล็กค่อยๆ พาตัวเองเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งยังตำแหน่งเดิม “เม็ดใหญ่จะตาย ใครมันจะกินลงไปได้” กรรณหทัยบ่นพึมพำกับพลางทำท่าทางขนลุกเพื่อความสมจริงประกอบไปด้วย ทำเอาคนยืนนิ่งที่แม้จะเห็นปฏิกิริยาของคนตัวเล็กเพียงแค่มองจากด้านหลังกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้แทบไม่อยู่ รอยยิ้มละมุนจากใบหน้าส่งผ่านถึงแววตาเมื่อนึกไปถึงวันนั้น เรื่อยมาจนเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี ว่าต่อให้อายุยี่สิบห้าคนตรงหน้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยน “ไม่สบาย กินยาก่อน” “ไม่กิน เราไม่ชอบกินยา ขมจะตาย” วันนั้นเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว เธอถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำให้เขาแปลกใจว่ายังมีผู้หญิงอายุสิบแปดที่ไม่ยอมกินยาเหมือนเด็กๆ อยู่อีกเหรอ แม้จะใช้ความพยายามมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะสุดท้ายเขาก็ต้องใช้วิธีที่ไม่ต่างกับเด็กหลอกล่อให้เธอยอมอยู่ดี ก่อนปลายเท้าที่ถูกยกขึ้นมา พร้อมคนไข้ที่พยายามพาร่างบางล้มตัวลงนอนตามเดิม จะเรียกสติคนเป็นหมอจากวันวานให้ย้อนกลับมาอยู่ที่เก่า วันนั้นเธอเป็นเพื่อน อยู่ในสถานะเพื่อน เขาดูแลเธอได้ในสถานะเพื่อนพอจะทำ แต่ในวันนี้ตอนนี้ นอกจากคำว่าเพื่อนยังมีหน้าที่หมอ ที่ทำให้ต้องใช้ความพยายามมากเป็นสองเท่าในการซ่อนรอยยิ้ม (แกล้ง) ปั้นหน้าขรึม ตีมาดนิ่งๆ จัดการกับคนไข้ดื้อตรงหน้า “เอายาไปทิ้ง แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ ยาหมดโรงพยาบาลแล้วจริงๆ ซะด้วย งานนี้มีหวังต้องโดนฉีดยาแน่ๆ” เสียงเนิบคล้ายประโยคบอกเล่า… หรือเปล่าก็ไม่อาจแน่ใจที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ส่งผลให้คนที่นอนตะแคงหันหน้าไปอีกข้างต้องพลิกตัวกลับมาก่อนกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแทบไม่ทัน ดวงตากลมเบิกกว้างมองคนตรงหน้าตาโตราวกับเป็นสิ่งประหลาดที่ถูกส่งผ่านมาจากต่างดาว ถ้าไม่หันไปมองตามเสียงเธอคงคิดว่าผีหลอก ก่อนการหันไปมองทำให้เธอสำนึกขึ้นมาได้ว่าการโดน ‘หมอหลอก’ อาจน่ากลัวยิ่งกว่า “กิตติเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร” หญิงสาวฝืนกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ก่อนพยายามทำเสียงให้ (ค่อนข้าง) เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ตาเจ้ากรรมก็ยังเบิกกว้างมองไปซ้ายขวาไม่เลิก คงเอาให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ปีนหน้าต่างเข้ามาแน่ เห็นแบบนั้น เอาเข้าจริงๆ คนพยายามปั้นหน้าทำเข้มก็อดที่จะหลุดยิ้ม ดีนะที่อีกฝ่ายยังสติหลุดตกใจ จึงไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้าเลยไปถึงแววตาที่วูบหนึ่งระบายด้วยรอยยิ้มก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นใบหน้านิ่งตามแบบฉบับคุณหมอได้ในเวลาอันรวดเร็ว “เอ่อ เราไม่ได้ตั้งใจ” คนตัวเล็กรีบตอบออกไปตั้งแต่เขายังไม่ได้ถาม “เตรียมตัวมาดีใช้ได้นะสำหรับคนไม่ได้ตั้งใจ ฝีมือพัฒนาขึ้น ทำได้เนียนขึ้นเยอะ” คุณหมอเดินมาหยุดยืนข้างๆ พูดเรื่อยๆ ในประโยคที่ไม่ใช่แค่เขา แต่เธอก็รู้ดีว่า ‘อะไรเป็นอะไร’ แต่ก็นั่นล่ะ มันไม่น่ากลัวเท่ามาดเนิบๆ ของคนที่ยืนกอดอกมองมานิ่งๆ ไม่อยากจะบอกเลยว่ามันทำให้คนอย่างนางสาว กรรณหทัยใจฝ่อลงอีกเป็นกอง จะให้บอกอีกครั้งก็ได้ว่ากลัว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม