"ขอบคุณสำหรับที่พักและข้าวฟรีค่ะ" ฉันบอกแล้วยิ้มให้คนหน้านิ่งก่อนจะเดินไปหยิบของตัวเอง "เสื้อผ้าพี่ถ้าเนยซักแล้วจะเอามาคืนนะ"
"อืม" เขาตอบแค่นั้นแล้วเล่นมือถือเงียบๆอยู่ตรงโซฟา
"เนยไปแล้ว ลาก่อนค่ะ" ฉันบอกก่อนจะหมุนตัวกลับมาทางประตู
"เดี๋ยว" เสียงของพี่นธีดังขึ้นอีกครั้ง
"คะ"
"ห้องตรงข้ามว่าง เผื่อเธออยากย้าย" เขาบอกโดยที่ไม่ได้มองมาทางฉัน
"เนยจ่ายไม่ไหวหรอกค่ะ ว่าจะลองหาไกลๆมหา'ลัยดูห้องถูกๆคงมี"ฉันยิ้มบางๆแล้วมองใบหน้าด้านข้างของเขา
เขาเหมือนจะอ่านความคิดฉันออกอย่างนั้นแหละ เพราะฉันก็คิดอยู่ว่าจะทำยังไงดีกับเรื่องย้ายหอ เพราะฉันคงอยู่ที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว
"ค่าเช่าพันกว่า" เขาบอกเสียงเรียบ
ฉันทำตาโตเมื่อได้ยินประโยคนั้น คอนโดนี้ฉันเคยได้ยินจากญานินว่าค่าเช่าเจ็ดพันขึ้นและนั่นแค่ห้องที่แทบจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ
เมื่อกี้หูฉันแว่วหรือเขากำลังอำเล่น
"ห้องพี่ค่าเช่าหมื่นกว่า ห้องตรงข้ามพันกว่ามันคงมีอะไรซักอย่างมั้ยคะ" ฉันพูดแล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างกลัวๆ
"ยังไม่มีใครตาย" เขาปรายตามามองฉันเหมือนอยากจะพูดว่า 'อย่ามาคิดไร้สาระ'
"ทำไมมันถูกล่ะคะ"
"เจ้าของห้องรวยแล้ว" เขาบอกแล้วหันกลับไปมองมือถือเหมือนเดิม "อยู่ต่างประเทศ"
"พันกว่าจริงเนยจะย้ายมาวันนี้เลย" ฉันพูดทีเล่นทีจริงแต่สีหน้าพี่นธีกลับจริงจังยิ่งกว่าอะไรแล้วหันมาบอกฉัน
"ก็ไปเก็บของ"
"หา!?"
"ฉันไม่ชอบการพูดซ้ำ" เขาหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบกุญแจ "จะไปส่ง"
"..."
เป็นการย้ายหอที่ปุ๊บปั๊บและเร็วยิ่งกว่าความคิดของฉันอีก ไม่ถึงสิบนาทีฉันก็มายืนอยู่หน้าห้องตัวเองโดยที่มันยังคงเปิดแง้มไว้เพราะเมื่อคืนฉันหนีไอ้ผู้ชายคนนั้นจนลืม กุญแจยังเสียบคาอยู่ตรงประตู
แต่ห้องฉันมันไม่มีของมีค่าอะไรให้ต้องเป็นห่วงหรอก แพงสุดก็แค่คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กที่ใช้มาตั้งแต่ขึ้นมอปลาย
ฉันเพิ่งจะเดินไปบอกเจ้าของหอว่าจะย้ายออกจากห้อง ทีแรกป้าก็โวยวายใหญ่แต่พอฉันบอกว่าไม่รับค่าประกันห้องคืนแกก็เงียบไปและปัดมือไล่ฉันอย่างเสียอารมณ์
"พี่นั่งรอในห้องก่อนก็ได้ค่ะ แล้ว...เนยจะติดต่อเจ้าของห้องยังไง กุญแจห้อง สัญญาเช่าล่ะ"
"เขียนทีหลัง" เขาเบียดตัวเข้าไปในห้องกวาดสายตามองห้องนอนขนาดย่อมของฉันแล้วเดินไปหยุดอยู่ปลายเตียงก่อนจะหย่อนตัวนั่งลง
"เนยจะรีบเก็บค่ะ หรือว่าพี่จะกลับก่อนก็ได้เพราะเนยคงใช้เวลา" ฉันบอกแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงตู้เสื้อผ้าอย่างชั่งใจ
ยังคงคิดว่ามันไม่ใช่ความจริง ฉันอาจจะฝันไป
เพี๊ยะ
"โอ้ย~..." ฉันลูบแก้มตัวเองปอยๆหลังจากที่ตบดูเพื่อทดสอบว่ามันคือความจริงไม่ใช่ความฝัน
คอนโดหรูค่าเช่าพันกว่าเนี่ยนะ พี่นธีคงไม่แกล้งหลอกให้ขนของเล่นๆใช่มั้ย
"ทำอะไร" เขาขมวดคิ้วยุ่งเมื่อฉันหันไปมอง
"เปล่าค่ะ" ยิ้มแห้ง
"เป็นโรคจิตเหรอ ชอบทำร้ายตัวเอง" นี่คงเป็นประโยคที่ยาวที่สุดในรอบสองวันที่เราคุยกันมา แต่มันยังเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยน่าฟังเหมือนเดิม
"พี่นธีไม่มีแฟนเหรอ" ฉันเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วเริ่มเก็บเสื้อผ้าของตัวเอง
ที่จริงของในห้องฉันมันไม่ได้มีอะไรหรอกเพราะฉันมาเรียนที่นี่มีเพียงกระเป๋าเดินทางใบเดียวเท่านั้น
"ไม่" เขาตอบแค่นั้นและฉันก็ไม่ได้หันไปมองว่าเขาทำสีหน้าแบบไหน
"ทำไมล่ะคะ พี่น่าจะมีคนชอบเยอะ เพื่อนเนยยังชอบเลย สาวๆอักษรมีแต่คนกรี๊ด" เพื่อนที่ว่าฉันหมายถึงยัยใบเฟิร์นที่มันปลื้มพี่นธี พอรู้ว่าเป็นพี่ชายยัยนินแทบจะเป็นลมล้มพับ "หรือมีคนที่ชอบแล้ว"
"ไม่อยากมี ไม่ชอบผูกมัด" เขาตอบแล้วทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนสีหวานแหววของฉันพร้อมกับหลับตาลงแล้วพูดออกมาอีกประโยค "ไม่อยากวุ่นวาย"
"..." ฉันเงียบแล้วแอบมองเขาที่หลับตาเอาแขนวางพาดบนหน้าผากของตัวเอง "แปลว่าอยากมีแบบไม่ผูกมัดถูกมั้ย"
"..." เขาไม่ตอบหลับตาอยู่แบบนั้นจนฉันคิดว่าเขาคงอยากพักผ่อนจึงปล่อยให้เขานอนไปไม่กล้ารบกวนอีกจนกระทั่งเก็บของเสร็จ
"เรียบร้อยแล้วค่ะ" ฉันบอกพี่นธีแต่เขากลับไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย หรือปล่อยให้หลับไปก่อน ที่เขาง่วงแบบนี้ก็เป็นเพราะฉันที่มัวแต่ถ่วงเวลาทั้งคืน
ฉันทรุดตัวลงนั่งกับพื้นข้างเตียงเพราะเตียงนี้มีขนาดแค่สามฟุตครึ่งทำให้เขาคนเดียวนอนแทบจะเต็มพื้นที
พี่นธีขยับพลิกตัวนอนหันมาทางฉันที่กำลังจ้องหน้าเขาอยู่อย่างใช้ความคิด ทำให้มองเห็นใบหน้าหล่อเหล่าชัดเจนในระยะไม่ถึงเมตร
นี่คงเป็นระยะที่ใกล้ที่สุดที่ได้มองหน้าเขาตั้งแต่รู้จักกันมา เขาดูดีกว่าตอนนั้นที่ฉันแอบปลื้มอีก
ทำไมอยู่ๆพี่นธีถึงดีกับฉันนะ หรือมันก็แค่ความบังเอิญที่ทำให้เขามาเจอฉันในสถานการณ์ตกอับแบบนี้ แล้วทำไมเขาถึงทำเหมือนกับรู้ว่าฉันกำลังหนีอะไรอยู่เลยล่ะ
"..." ฉันมัวแต่จ้องเขาอยู่นานและคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนไม่รู้ตัวว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นกำลังลืมตาขึ้นมามอง "มองอะไร"
"คะ! ปะ...เปล่าค่ะ เห็นยุงกำลังเกาะหน้าพี่" ว่าแล้วฉันก็แกล้งตบไปที่แก้มเขาทันที
เพี๊ยะ
"...!" พี่นธีขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นมาลูบแก้มตัวเองก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นจากที่นอน
"มันบินไปแล้ว ไม่ทันค่ะ" ว่าแล้วฉันก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปที่กระเป๋าของตัวเอง "เนยเก็บของเสร็จแล้ว ไปกันเถอะ"
รังสีอัมหิตที่ส่งผ่านมาทางสายตาทำให้ฉันต้องรีบหาทางหนีทันที เขาจะโกรธฉันมั้ยเนี่ย คนฉลาดอย่างพี่นธีต้องไม่เชื่อแน่ว่าเมื่อกี้นี้ฉันตบยุง
ตอนนี้นั่งนิ่งมองฉันเหมือนอยากจะกระทืบด้วยหรือเปล่านะ ฉันไม่กล้าหันไปมองเลย
"..." เขานั่งเงียบอยู่นานแต่สุดท้ายก็ยอมลุกจากเตียงแล้วเดินมาหยิบกระเป๋าใบใหญ่ของฉันไปเงียบๆ
ฉันจึงรีบถือกระเป๋าอีกใบและดึงผ้าปูที่นอน หมอนมาไว้ในอ้อมแขน เดินไปหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊คแล้วรีบวิ่งตามเขาออกไปอย่างทุลักทุเล
เหตุผลที่ของใช้ฉันมีแค่นี้ก็เพราะหลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน ฉันก็ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งโดยที่ไม่มีใครอยู่ข้างกายและไม่ได้รับรู้เลยว่าคนที่เข้ามาช่วยฉันในวันนั้นเป็นใคร
โชคดีที่เขาหยิบมือถือและสัมภาระที่เป็นกระเป๋าเดินทางของฉันมาไว้ให้ด้วย ถามพยาบาลและหมอก็บอกไม่ได้ว่าใครคือคนช่วยเอาไว้
เกิดเป็นความรู้สึกอึดอัดในใจที่ไม่ได้ขอบคุณเขาแล้วยังไม่รู้ตัวตนของเขาอีกจนถึงวันนี้
ทำได้แค่ขอบคุณเขาในใจทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องวันขึ้นมา ถ้าเขาไม่เข้ามาช่วยไว้ฉันคงไม่มีชีวิตรอดมายืนอยู่ตรงนี้ได้...