[ มัดหมี่ ]
“อื้อ~ นี่เราเผลอหลับจนถึงเย็นเลยเหรอเนี่ย” ฉันปรือตาขึ้นมาก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ แสงไฟสลัวที่สาดส่องเข้ามาทางบานหน้าต่าง กับความมืดที่เริ่มปกคลุมทั่วทุกหย่อมหญ้าทำให้รู้ว่าเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว
หลังจากจัดข้าวของเสร็จแล้วก็อาบน้ำกะว่าจะงีบพักสักหน่อยแต่ดันเผลอหลับไปจนถึงเย็น ดีหน่อยที่ก่อนเข้ามาซื้อของสดและอาหารแช่แข็งมาติดตู้เย็นเอาไว้ เลยไม่ต้องลำบากออกไปหาอะไรกินข้างนอก ไม่งั้นคงกลับถึงบ้านมืดค่ำพอดี
พรึ่บ!
ฉันก้าวขาลงจากเตียงก่อนจะเปิดไฟทั่วบ้านให้มีความสว่าง ถึงจะไม่กลัวผีแต่ในบ้านสองชั้นที่มีห้องนอนรวมกับห้องนั่งเล่นมากถึงสี่ห้องแบบนี้ก็ถือว่าวังเวงอยู่ดี แถมไม่รู้ว่าจะมีคนไม่ดีแอบเข้ามาหรือเปล่า เพราะงั้นการเปิดไฟให้สว่างทั่วบ้านคงเป็นอะไรที่อุ่นใจสำหรับฉัน
“ไปอาบน้ำสักหน่อยแล้วค่อยทำอะไรกินก็แล้วกัน” ฉันพูดกับตัวเองขณะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวและถอดเสื้อผ้าออก ทว่าความรู้สึกขนลุกแปลก ๆ ก็ทำให้ฉันต้องชะงักและนึกถึงคำพูดของยัยเพื่อนซี้ขึ้นมาทันที
‘เขาว่าบ้านหลังนี้เจ้าที่แรงนะยัยหมี่’
“บ้าน่า ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก ไร้สาระ” พอมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลยไม่ได้สนใจ แต่พอจะก้าวขาเข้าห้องน้ำกลับรู้สึกเหมือนมีสายตาของใครบางคนจับจ้องมาที่ฉันจนรู้สึกขนลุก
“หวังว่าคงไม่มีใครมาติดกล้องแอบถ่ายหรอกนะ ถ้าเป็นพวกโรคจิตแม่จะใช้วิชาเทควันโดซัดให้น่วมเลย”
ฉันมองไปรอบห้องอีกครั้งก่อนจะปิดประตูห้องน้ำลงแล้วเริ่มจัดการตัวเอง แต่ความรู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังมองมาก็ไม่ได้หายไปไหน มันทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดแทบบ้า
“คงเพราะฟังยัยนาวเล่าเรื่องไร้สาระทั้งวันแน่เลย” ฉันส่ายหัวไปมาเมื่ออาการหงุดหงิดไม่ยอมหายไปสักที
แกร๊ก!
สองเท้าก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพเปลือยเปล่าหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่ได้สวมอะไรทับไว้เพราะอยู่คนเดียวไม่จำเป็นต้องแคร์สายตาใคร ดีไม่ดีการแก้ผ้านอนก็เป็นอะไรที่สบายตัวสุด ๆ อีกด้วย แถมไม่ต้องระแวงว่าจะมีใครมาเห็น
ครืด ครืด ครืด~
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้ฉันละสายตาจากกระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วรีบกดรับสายเมื่อเห็นชื่อของใครบางคนโชว์อยู่หน้าจอ
สายเรียกเข้า >>> แม่
“ค่ะแม่” ฉันเอ่ยทักทายคนปลายสายทันทีที่กดรับ ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้โทรบอกแม่เรื่องย้ายที่อยู่ใหม่
[ไงลูกสาวแม่ ตอนนี้ทำอะไรอยู่หื้ม]
“หมี่เพิ่งอาบน้ำเสร็จค่ะแม่ ลืมบอกแม่เลยว่าตอนนี้หมี่ย้ายที่พักแล้วนะ มาอยู่บ้านเช่าหลังข้างยัยนาวค่ะ”
[งั้นก็ดีสิลูก ตรงนั้นใกล้มหาลัยที่ลูกเรียนอยู่แถมยังใกล้บ้านเพื่อนด้วย]
“ค่าเช่าถูกด้วยค่ะ ไม่มีมัดจำเลย”
[เอ๋? จริงเหรอ ไม่ใช่ว่าเป็นบ้านมีประวัติหรอกนะ]
“ไม่หรอกค่ะแม่ แต่เห็นคนแถวนี้ลือกันว่าเจ้าที่แรง แต่แม่ก็รู้ว่าหมี่ไม่เชื่อเรื่องแบบนั้น”
[ตายแล้วหมี่ แบบนี้จะไม่เป็นอะไรเหรอลูก อย่าเห็นแก่ของถูกให้มากนักนะแม่เป็นห่วง]
“ถ้ามีผีก็ดีสิคะ หมี่จะได้เรียกเก็บค่าเช่าด้วยเลย อยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยกันหารค่าเช่าแล้วก็ต้องช่วยกันทำงานบ้านด้วย”
[ไม่ตลกนะยัยหมี่ แม่ไม่เห็นด้วย รีบย้ายออกเลยนะ]
“โธ่แม่คะ”
[อย่าทำตัวให้แม่เป็นห่วงสิ แม่มีแค่หมี่กับน้องนะ]
“งั้นถ้าหมี่โดนผีหลอกแล้วจะย้ายออกนะคะ แต่ตอนนี้ยังไม่โดนแม่ให้หมี่อยู่ต่อเถอะนะ”
[ก็ได้ ๆ ว่าแต่กำไลข้อมือที่แม่ให้เราไว้น่ะ ยังสวมไว้หรือเปล่า อย่าถอดเชียวนะ]
“ไม่ได้ถอดค่ะ ตอนอาบน้ำก็ใส่เข้าไปด้วย”
[ดีแล้วลูก กำไลนั่นน่ะแม่ได้มาจากคุณยายของลูกอีกที เห็นบอกว่าเป็นของคุณทวดน่ะ]
“ค่ะ”
[งั้นหมี่ไปพักผ่อนเถอะลูก แม่จะไปตามน้องชายตัวแสบของลูกมากินข้าวเย็นแล้ว]
“โอเคค่ะ หมี่รักแม่นะคะ” ฉันบอกรักคนปลายสายก่อนจะกดวางสายแล้วหันมาสนใจเครื่องสำอางบนโต๊ะเครื่องแป้งต่อ “อย่างน้อยก่อนนอนก็ต้องทาครีมบำรุงสักหน่อย”
กลางดึก...
‘เข้าใกล้ไม่ได้เลยอะ ร้อนมาก’
‘เขามีของดีหรือเปล่าวะมึง’
‘หรือเราจะเจอดีเข้าแล้ววะ’
‘ฉันลองหลอกเขาแล้วนะตอนอาบน้ำอะ แต่เขามองไม่เห็นเฉยเลย ทำไมคนอื่นที่มาเช่าเขามองเห็นเราอะ’
‘กูถึงได้บอกไงว่าเขาน่าจะมีของดี’
‘แล้วแบบนี้จะให้ทำยังไง จะเล่นผีผ้าห่มก็ไม่ได้ร้อนฉิบหาย ความรู้สึกเหมือนตกลงไปในกระทะทองแดงเลยมึง’
‘เราไปบอกท่านปู่ดีไหม’
‘มึงอยากโดนด่าหรือไง ท่านปู่ทำสมาธิอยู่นะ’
‘แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง’
เสียงพูดคุยกันของคนกลุ่มหนึ่งมีทั้งเสียงผู้ชายและเสียงผู้หญิงดังขึ้นในช่วงกลางดึกขณะที่ฉันกำลังหลับอยู่ ถึงจะไม่รู้ว่าต้นเสียงมาจากไหนและไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกกลัว แต่กลับรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับว่ามีคนมาคุยกันใกล้ ๆ หูแต่ก็ไม่ชัดเท่าไหร่ จะว่าเหมือนเป็นแค่เสียงที่แว่วมาตามลมก็ใช่ แต่จะว่าเป็นเสียงที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ใช่อีก
“หรือจะเป็นเสียงทีวีของบ้านอื่น” ฉันดีดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟตรงหัวเตียงแล้วกะพริบตาปริบ ๆ เพื่อปรับม่านตาให้รับแสง
“ถ้าเป็นผีจริง ๆ ล่ะก็แม่จะจับหักคอไม่ก็เรียกมาเก็บค่าเช่าเรียงตัวเลยคอยดู หนวกหูชะมัด” ฉันบ่นอุบก่อนจะทิ้งตัวนอนลงตามเดิมแล้วปิดไฟลง พอข่มตาหลับไปได้สักพักเสียงพูดคุยเมื่อครู่ก็กลับมาให้ได้ยินอีก
‘เราไปบอกท่านปู่กันเถอะ ท่านปู่วิชาแก่กล้ากว่าพวกเรา เจอของดีแค่นี้ไม่น่าจะทำอะไรท่านปู่ได้’
‘มึงอยากโดนด่าหรือไง กูบอกว่าท่านปู่นั่งสมาธิอยู่’
‘แล้วมันต่างกันตรงไหน ถ้าแกไล่เขาออกไปไม่ได้ท่านปู่ก็ต้องด่าเราอยู่ดี สู้โดนด่าตอนนี้แล้วให้ท่านปู่มาไล่เขาออกไปเองจะไม่ดีกว่าเหรอ’
‘เออไปก็ไป’
พรึ่บ!
“โธ่โว้ย! คนจะหลับจะนอน เงียบ ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!” ฉันดีดตัวลุกขึ้นอีกครั้งเมื่อเสียงคุยน่ารำคาญยังดังขึ้นไม่หยุด ถึงจะไม่รู้ว่าคุยกันเรื่องอะไรและเสียงนั้นมาจากไหน แต่ได้ยินก็รู้สึกรำคาญ!