@ วัดดังชานเมือง
“มากันแล้วเหรอลูก” ภายในวัดร่มรื่นและเย็นสบาย ความเงียบสงบจนได้ยินเสียงของนกร้องภายในวัด ดูเป็นธรรมชาติและสงบในเวลาเดียวกัน เมื่อมาถึงวัดแม่ของคุณติณณ์ที่รออยู่ก่อนแล้วเดินเข้ามารับเราทั้งสอง ปุณยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อมซึ่งสร้างความพึงพอใจให้กับแม่ท่านรองเป็นอย่างมาก
“ค่ะ”
“ตามแม่มาทั้งคู่เลย” คุณท่านเดินจับแขนของฉันให้เดินตามท่านไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีหลวงพ่อนั่งอยู่ก่อนแล้ว ความสงสัยเกิดขึ้นมากมายแต่ฉันยังไม่มีโอกาสได้ถามคุณท่านเพราะกลัวจะเป็นการเสียมารยาททำให้ได้แต่เดินตามเงียบ ๆ ส่วนคุณติณณ์ก็เดินตามหลังไม่ห่าง
“หลวงพ่อเจ้าคะ นี่ลูกชายของดิฉันเองค่ะ ที่ให้ดูดวงให้ไงเจ้าคะ”
“มากันแล้วเหรอ”
“ค่ะ” ตอนนี้มีฉันแค่คนเดียวที่ตอบคำถาม เพราะตอนนี้คุณติณณ์ไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรทั้งนั้นเขายังคงเงียบและนิ่งเหมือนเดิม จนคุณท่านเริ่มหน้าเสียและหยิกที่แขนคุณติณณ์ไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ลูกชายของตัวเอง
“โดนบังคับให้มาก็แบบนี้แหละแต่หลังจากนี้อย่ามาขอบคุณทีหลังก็แล้วกันนะโยม” พระท่านหันหน้าไปมองคุณติณณ์และพูดประโยคที่ทุกคนต่างพากันงุนงง เว้นแต่เจ้าตัวที่ยังคงเงียบ
“โยมเกิดวันไหน” พระท่านหันหน้ากลับมาถามฉัน มือที่จับกระดานชนวนขึ้นมาไว้ที่ตัก เพื่อรอคำตอบจากฉัน ซึ่งฉันก็บอกวันเดือนปีเกิดและเวลาเกิดของตัวเองไปให้ท่านด้วยความงุนงง ว่าทำไมตัวเองต้องมานั่งให้พระท่านดูดวงให้ด้วย
“เกิดวันดี ดวงดี ดวงแรง”
“รู้รึเปล่าว่าตัวเองเจอเนื้อคู่แล้ว” ห๊ะ!! เนื้อคู่อะไรฉันยังไม่มีแฟน ตอนแรกก็อยากจะบอกว่าพระท่านมั่วนิ่มแต่นั่งฟังดี ๆ ทำให้ฉันเริ่มตงิดใจ เหมือนท่านรู้ประวัติส่วนตัวหรือเป็นโอเปอเรเตอร์ที่ได้ยินฉันสนทนากับครอบครัวยังไงอย่างงั้นแหละ!!
“ที่บ้านอยากให้กลับไปอยู่บ้าน เป็นห่วงเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวมาอยู่ที่นี่”
“ที่บ้านไม่ได้ลำบาก ตอนนี้พวกเขากำลังปรึกษากันให้เราย้ายกลับไปอยู่บ้าน”
“ใช่รึเปล่า หนูปุณ” ฉันไม่ได้ตอบออกไปได้แต่พยักหน้าเป็นคำตอบ จริง ๆ ครอบครัวของฉันขอให้ย้ายกลับไปอยู่บ้านที่เชียงใหม่แต่ฉันยังสนุกอยู่กับงาน ห่วงงานก็เลยขอเวลาหน่อย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องอยู่ทำงานแบบนี้
“ดวงหนูกับดวงพ่อหนุ่ม ดวงสมพงษ์กันอุปถัมภ์กัน”
“จริงเหรอคะ หลวงพ่อ” แม่ของคุณติณณ์ดูจะดีใจเป็นพิเศษน้ำเสียงตื่นเต้นและดีอกดีใจ ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ
“สามารถแต่งงานกันได้ใช่มั้ยคะ หลวงพ่อ”
“ห๊ะ/ว่าไงนะครับ” แต่งงานอะไรทำไมต้องเป็นฉัน คนดูตัวหลายสิบคนทำไม บอกเลยว่าฉันไม่แต่งงานกับคุณติณณ์เด็ดขาด ถึงเขาจะดูหล่อแต่เขานิ่งเหมือนต้นไม้เกินไป ฉันอยู่ด้วยไม่ได้หรอก ฉันคงเป็นทาสและเป็นบ้าไปพร้อมกันแน่
“ไม่นะค่ะ” เมื่อได้สติฉันจึงรีบปฏิเสธคุณแม่ของคุณติณณ์เร็วที่สุด ส่วนเจ้าตัวก็ยังเงียบเหมือนเดิมหลังจากตื่นตกใจเมื่อสักครู่นี้
“หนูปุณ ช่วยฉันกับติณณ์หน่อยนะ” เสียงอ้อนวอนจากคนเป็นแม่ทำให้ฉันเห็นใจและสงสารเป็นอย่างมากแต่เรื่องแต่งงานจะให้ฉันช่วยก็คงยาก เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อเล่นชีวิตทั้งชีวิต ถ้ามอบหมายงานให้ฉัน ฉันจะไม่หาข้ออ้างอะไรเลยด้วยซ้ำ
“แต่นี้เรื่องใหญ่นะคะคุณท่าน ผู้หญิงที่มาดูตัวกับคุณติณณ์คงมีคนที่ถูกใจบ้างสิคะ”
“ก็เจ้าลูกชายตัวดีของฉันมันไม่เลือกใครเลยสักคนนะสิหนู ฉันไม่สบายใจเลยกว่าว่าลูกจะเป็นอะไรไป ไม่งั้นก็จัดทะเบียนแก้เคล็ดก็ได้ แบบนี้ได้มั้ยคะหลวงพ่อ”
“ได้ จัดให้รู้ว่ามีคู่และต้องอยู่ด้วยกัน”
“หนูไม่พร้อม”
“ถ้างั้นดวงของไอ้หนุ่มคนนี้จะถึงฆาต”
“คือ” ตอนนี้ฉันสับสนกับตัวเองไปหมด เป็นเลขาอยู่ดี ๆ จะให้แต่งงานกับเจ้านายตัวเอง เรื่องบ้าอะไรหรือฉันฝันไปกันแน่ ฉันอยากจะบ้าตาย
“นะ หนูปุณ ช่วงฉันสักปีหนึ่งก็ได้ หลังจากนั้นถ้าไม่รักกันก็หย่า ฉันจะไม่ว่าอะไรเลย” นี่ฉันควรดีใจใช่มั้ย ที่จะได้แต่งงานกับคุณติณณ์คนที่สาว ๆ ฝันถึง ผู้ชายที่ติดท็อปหนุ่มที่สาว ๆ อยากแต่งงานด้วย
“แต่ถ้าครอบครัวหนูรู้ ไม่ยอมแน่ ๆ” ไม่อยากจะคิดว่าถ้าพี่ชายของฉันรู้เรื่องนี้ขึ้นมา รับรองว่าฉันได้ลาออกและขนของกลับเชียงใหม่แน่นอน
“ไม่ให้รู้ได้รึเปล่า”
“แต่ว่า”
“ถือว่าฉันขอร้องนะ หนูปุณ”
“ดวงพวกเจ้าสองคนถูกชะตากันอยู่ด้วยกันยิ่งดี” หลวงพ่อเงียบก่อนก็ได้เจ้าคะ ไม่มีใครว่าหรอกค่ะ แม่ของคุณติณณ์ตอนนี้คะยั้นคะยอให้ฉันแต่งงานกับลูกของท่านไม่หยุด จนตอนนี้ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว สงสารท่านก็สงสาร ท่านรักคุณติณณ์มากและคงกลัวว่าคุณติณณ์จะเป็นอะไรไป
“ไปตกลงกันเอาเอง ช่วงนี้ก็ระวังตัวหน่อยนะไอ้หนุ่ม” หลวงพ่อพูดเสร็จก็เดินไปจากบริเวณนั้น ทิ้งให้ฉัน คุณติณณ์และคุณท่านอยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัว
“แม่ครับ ผมไม่เป็นไรแม่ไม่ต้องห่วงครับ”
“แกเงียบไปก่อนเลย เจ้าติณณ์” คุณท่านหันไปดุลูกชายของตัวเองและหันมาขอร้องฉัน ยิ่งฉันเป็นคนใจอ่อนและคุณท่านก็มีพระคุณกับฉันด้วย ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันสับสนตัวเองไปหมด
“ขอเวลาหนูคิดหน่อยนะคะคุณท่าน”
“จ๊ะ ฉันจะรอคำตอบนะ” เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย แม่ของคุณติณณ์ก็ขึ้นรถของที่บ้านกลับโดยมีฉันและคุณติณณ์ขับตามออกไปเช่นกัน
ภายในรถที่เงียบสนิทไม่มีใครคุยกับใครและฉันก็ยังไม่พร้อมที่จะคุยกับคุณติณณ์เช่นกัน สมองของตัวเองคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ประมวลผมให้ดีที่สุด ว่าตัวเองควรทำอย่างไรหรือมีวิธีอื่นอีกหรือเปล่าที่จะช่วยทั้งคุณท่านและคุณติณณ์
“ถ้าคุณลำบากใจ อย่าไปเชื่อแม่ของผมให้มากนัก” คำพูดที่พูดออกมาของคุณติณณ์ ทำให้ฉันยิ่งคิดหนักกว่าเดิม เพราะฉันมีแฟนมาแค่หนึ่งคนเท่านั้นและตั้งแต่ทำงานก็ไม่เคยคบกับใครอีกเลย ทำให้ฉันต้องคิดหนักว่าตัวเองจะเอาเวลาในชีวิตมาเสียกับเรื่องแบบนี้ได้เหรอและฉันควรทำยังไงดี
##หล่อขนาดนี้แต่งเหอะเจ๊ปุณ เดี๋ยวพ่อจะโกรธเอานะ##