รถเก๋งสัญชาติญี่ปุ่นพาดวงแขและเพลงจันทร์แล่นมาตามถนนที่ทอดยาวเข้าสู่ตัวบ้านพงษ์อิศรากุล ซึ่งเป็นบ้านทรายทอง เอ๊ย! บ้านของแพรนวล เพราะหลังจากหาหมอเสร็จแล้วยังพอมีเวลาจึงแวะเอากล้วยบวชชีที่ดวงแขทำเองมาฝากทุกๆ คนในบ้านหลังนี้
“แปลกนะ แม่มาบ้านนี้แม้จะไม่บ่อย แต่ไม่เคยเห็นคุณคีรีเลยสักครั้ง”
ไม่ใช่แค่เพียงดวงแข เธอเองก็ไม่เคยเห็นคีรีที่บ้านเลยสักครั้ง แต่เมื่อนึกถึงเพนต์เฮาส์ที่โดนลากให้ไปทำความสะอาดชดใช้ความผิดแล้วก็คิดว่าเขาคงจะไปซุกหัวอยู่ที่นั่น เพื่อความสะดวกในการเปิดฮาเร็มมากกว่ามานอนที่บ้าน
‘ช่างเป็นที่ลูกที่กตัญญูจริ้งจริง (ประชด!)’
“เขาคงยุ่งๆ เลยไม่ค่อยได้กลับบ้านมั้งคะแม่”
เมื่อเครื่องยนต์ดับสนิท สองแม่ลูกก็ตรงเข้าไปยังบ้านที่คุ้นเคย โดยเฉพาะเพลงจันทร์ที่เข้านอกออกในบ้านหลังนี้จนแทบจะรู้จักทุกซอกทุกมุม
“น้าพร”
“หนูจันทร์” เมื่อเห็นหลานรักและพี่สาวมาหา สมพรก็ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังทำอยู่แล้ววิ่งตรงเข้ามาสวมกอดทั้งคู่ทันที
“อ่ะนี่ พี่เอากล้วยบวชชีมาฝาก”
“ขอบคุณมากพี่แข ว่าแต่ทำไมถึงได้มาวันธรรมดาล่ะลูกไม่ได้ไปทำงานหรือ”
“จันทร์ลาครึ่งวันน่ะค่ะ เลยพาแม่เข้ามาเยี่ยมคุณน้ากับคุณป้าแพรนวล”
“อ๋อ งั้นไปหาคุณหญิงท่านเถอะ ท่านนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่สวนเหมือนเดิมแหละ แล้วพี่จะไปกับหลานหรือเปล่า”
“ให้หนูจันทร์ไปคนเดียวดีกว่า เผื่อคุณหญิงท่านมีอะไรอยากจะคุยด้วย”
เพลงจันทร์มองด้วยแววฉงน เพราะทุกทีที่มาดวงแขก็เข้าไปหาแพรนวลกับเธอ แล้วทำไมรอบนี้..
“หนูจันทร์ มาๆ นั่งข้างป้าลูก”
“สวัสดีค่ะคุณป้า กล้วยบวชชีค่ะ”
เพลงจันทร์วางถ้วยใส่กล้วยบวชชีที่ตั้งใจนำมาให้แพรนวลไว้บนโต๊ะกลมสีขาว แล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ
“ขอบใจมากจ้ะ ทำงานเป็นยังไงบ้างลูก พี่เขาใช้งานหนูหนักไหม”
“ไม่ค่ะ ทำงานสนุกลุกนั่งสบาย”
เพลงจันทร์ต้องรีบไขว้นิ้วอย่างไว เพราะเจ้าหล่อนโกหกตั้งแต่บรรทัดแรก ทำงานโคตรจะไม่สนุก แถมลุกทุกสิบวินาที
“ดีแล้วล่ะจ้ะ ป้าก็ห่วงทั้งหนูทั้งตาคี ได้มาทำงานอยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้ป้าก็สบายใจ”
แพรนวลมองคนตรงหน้าแล้วนึกย้อนไปถึงวันวานที่เพลงจันทร์ยังคงเป็นเด็กหญิงประถมปลาย วันแรกที่เจอนางรู้สึกถูกชะตากับเด็กตาโตๆ ที่แฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว เมื่อได้ฟังเรื่องราวครอบครัวของเพลงจันทร์จากสมพร นางจึงตัดสินใจรับอุปการะส่งเสียให้เรียนโดยแทบจะไม่ต้องใช้เวลาคิด เพลงจันทร์ไม่เคยทำให้นางผิดหวังเลยสักครั้ง ทั้งเรื่องเรียน ทั้งเรื่องความประพฤติ จนตอนแรกนึกเอ็นดูเพราะความน่ารักกอปรกับความกตัญญูที่มีต่อมารดา แต่พอนานวันเข้านางก็หวังอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้ แต่ลูกชายตัวดีที่ไม่ค่อยโผล่หัวมาให้เห็นก็เหมือนจะไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย
พูดคุยกับแพรนวลได้สักพัก เพลงจันทร์จึงขอตัวกลับ เพราะต้องไปส่งดวงแขและไปทำงานต่อ
“น้ำผลไม้ปั่นค่ะบอส”
“มาแล้วหรือ”
คีรีเปลี่ยนจากท่านั่งหลังตรงเป็นเอนหลังพิงพนักของเก้าอี้
“ค่ะ คุณนาวาขอนัดกินข้าวกับบอสตอนห้าโมงเย็นที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแถวสุขุมวิทค่ะ บอสสะดวกไหมคะ”
ถ้าเป็นคนอื่นเพลงจันทร์ก็คงจะจัดตารางให้คีรีเองเลย แต่คนนี้เธอต้องถามชายหนุ่มก่อน เพราะภาวินขีดเส้นใต้เอาไว้ว่าเป็นบุคคลที่บอสไม่อยากยุ่งด้วย นาวาขอนัดมาหลายครั้ง แต่คีรีก็ปฏิเสธทุกครั้ง
“คุณว่าไง”
“ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไปค่ะ เพราะฉันรำคาญไปแล้วจะได้จบๆ ไปสักที”
“ฮ่าๆ ตรงดี ถ้าเป็นคนอื่นคงจะพูดอ้อมโลกให้ผมต้องมานั่งเสียเวลาแปลภาษามนุษย์อีกรอบ”
“ชมใช่ไหมคะ”
“ชมสิครับ แหม! แล้วตอนห้าโมงเย็นคุณว่างไหม”
“ว่างค่ะ ทำไมหรือคะ”
“ไปเป็นเพื่อนผมหน่อย”
“หา?”
เพลงจันทร์มองไปรอบๆ ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่าโคตรหรูหราหมาเห่า หรูชนิดที่ว่าแมลงสักตัวเดินหลงเข้ามาคงซี้แหงแก๋ เพราะทนความแพงไม่ไหวจึงขอลาตายดีกว่า
“คุณจันทร์ไหวไหมครับ”
ปรัชญาเห็นท่าทางของหนึ่งในเพื่อนร่วมทีมเลขาฯ จึงเอ่ยถาม
“ไหวค่ะ ว่าแต่พวกคุณตามบอสออกมาบ่อยหรือคะ ทำไมไม่เห็นตื่นเต้นเลย”
“ครับ เกือบทุกครั้ง”
“แล้วทุกครั้งต้องมีสมุนตามมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอคะ”
เพลงจันทร์ว่าพลางหันไปมองด้านหลังที่มีชายชุดดำนับสิบตามคีรีมา แต่ละคนแม้จะไม่ได้ดูหน้าตาเหี้ยมเกรียมเหมือนโจรห้าร้อย แต่ก็เหมือนมาเฟียในหนังที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี
‘ยังกับมาเฟีย’
“ฮ่าๆ เขาแค่มาเป็นเพื่อนน่ะครับ”
“บอสนี่ขี้เหงานะคะ ขนเพื่อนมาเย้อะเยอะ”
แค่นั้นแหละ ภาวินและปรัชญาที่เงี่ยหูฟังในสิ่งที่เพลงจันทร์พูดถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา จากใบหน้าเคร่งขรึมมาดเจ้าพ่อกลายมาเป็นคณะตลกสามช่าแทน ส่วนบอสใหญ่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าตัวเองกำลังถูกนินทาก็หันหลังมามองเลขาฯ ทั้งสามแล้วส่งสายตาที่ดุ้ดุให้นิดหน่อย ก่อนจะหันไปตีหน้าขรึม ซึ่งมันดูตลกมากกว่าน่ากลัวในสายตาของเพลงจันทร์
“อนุญาตให้ผู้ติดตามเข้าได้แค่คนเดียวครับ”
เพลงจันทร์มองชายชุดดำซึ่งน่าจะเป็นลูกน้องของคนชื่อนาวาที่ยืนอยู่หน้าห้องอาหารญี่ปุ่นที่แยกตัวออกมาเป็นไพรเวตรูม พลางมองไปรอบๆ แล้วจึงพบว่านอกจากคนที่ติดตามกลุ่มของเจ้าหล่อนมา ยังมีคนที่แต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำซึ่งกะจำนวนคนด้วยสายตาแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าสิบ ใจของหญิงสาวเริ่มหวั่น เพราะไม่เคยต้องมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
“คุณจันทร์เข้าไปกับผม”
“หา!”
ตาของหญิงสาวเบิกโพลงเมื่อได้ยินว่าตัวเองเป็นผู้ถูกเลือกให้เข้าห้องที่น่าจะเป็นห้องเชือดมากกว่าห้องที่ใช้สำหรับรับประทานอาหาร
‘ตายแล่วๆ ยัยจันทร์เอ๊ย เกิดมาทั้งทีต้องตายไปพร้อมกับความบริสุทธิ์ที่ยังไม่เคยเสียให้ใครจริงๆ เหรอเนี่ย เสียชาติเกิดชะมัด!’
“ทำไมชอบหาอยู่เรื่อย หาอยู่นั่นแหละ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ”
แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่าโคตรจะตึงเครียดสำหรับหญิงสาว แต่บอสของเธอก็ยังอุตส่าห์กวนตีนแบบหน้าตายได้ ถ้าไม่เกรงใจซองขาวและชายชุดดำนับสิบ จะกระโดดข่วนหน้าให้ดู .
‘ชิ!’