“เฟรนด์ลูก แม่เอาขนมมาให้กินกันจ๊ะ” เสียงแม่เฟรนด์ดังขึ้น ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นอีกรอบ
ก๊อก ก๊อก
ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกโดยเฟรนด์ ใบหน้าสวยยิ้มให้ผู้เป็นแม่ก่อนมือบางทำท่าจะเอื้อมไปรับจานขนม ทว่าโดนเขื่อนเอื้อมมือไปรับไว้ก่อน เนื่องจากเขายังเห็นว่าแขนอีกคนนั้นยังเจ็บอยู่
“เดี๋ยวผมช่วยถือครับ”
“จ๊ะ ตั้งใจนะเฟรนด์เขื่อนอุตส่าห์มาติวให้ที่บ้าน” หลังจากตอบรับเขื่อน ผู้เป็นแม่ก็หันมาบอกลูกสาวตัวเอง
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เฟรนด์เอ่ยตอบ
“ขอบคุณนะครับ” ตามมาด้วยเขื่อน หลังจากที่แม่เฟรนด์ลงไปข้างล่าง เขาก็เดินถือขนมมาวางไว้ที่โต๊ะเล็กๆกลางห้อง ก่อนที่จะเอ่ยถามร่างบางขึ้น
“ขอถามไรหน่อยดิ”
“อือ” เฟรนด์ขานตอบพร้อมทำหน้างง
“แขนเธอหักเลยหรอ” เขื่อนเอ่ยถามพร้อมทำหน้าจริงจัง
“เปล่าหรอก แค่เกือบ” ฉันตอบกลับไป แปลกที่อยู่ๆเขาก็ถามฉัน เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาไม่เคยที่จะสนใจฉันเลยสักนิด
“เฮ้อ ค่อยโล่งใจหน่อย” เขื่อนลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจที่ไม่ต้องคิดมากเรื่องเฟรนด์อีก
“ทำไม นายเป็นห่วงฉันหรอ” เฟรนด์ที่เห็นท่าทีและสีหน้าแบบนั้นของเขื่อน เธอก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งถามเขาออกไป
“จะบ้าหรอ กูจะเป็นห่วงมึงทำไม อีกอย่างมึงเป็นคนทำตัวมึงเอง กูต้องสมน้ำหน้ามึงด้วยซ้ำ” เขื่อนพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาพูดตอบออกไปอย่างไม่ทันคิดอีกอย่างก็เพื่อไม่อยากให้อีกคนคิดว่าเขานั้นเป็นห่วงอะไร แต่ที่จริงแล้วกลับไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด
“……” นั่นสินะเขาจะมาเป็นห่วงฉันทำไม ก็ถูกแล้วที่เขาจะสมน้ำหน้าเรา ก็ฉันมันโง่เองที่เอาแขนไปขวางไว้
หลังจบประโยคของเขื่อน เฟรนด์ก็นั่งเงียบพร้อมกับรู้สึกจุกที่อกกับคำพูดเหล่านั้นที่หลุดออกจากปากของอีกคน
TIME 10:00 PM
ตอนนี้บรรยายภายในห้องเงียบกริบ ทั้งสองก็นั่งติวกันไปด้วยความจริงจัง จนเวลาล่วงเลยมาถึง 4 ทุ่ม
“เฮ้อ~ ตาลายหมดแล้วอ่า ไม่ไหร่จะเสร็จ” เฟรนด์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ง่วงสุดขีด
“เฮ้ย อย่าพึ่งหลับนะ มึงต้องทำข้อนี้ให้ถูกก่อนถึงจะนอนได้” เขื่อนที่เห็นแบบนั้นก็เอ่ยดักบอกอีกคนไว้ก่อน แต่เหมือนว่าคำพูดของเขานั้นไม่เข้าหูของอีกคนเลยแม้แต่น้อย
“ก็มันยากอะ พรุ่งนี้ค่อยทำต่อได้ไหมไม่ไหวแล้ว”
“ไม่ได้” เขื่อนตอบกลับเสียงแข็ง
“แล้วแต่ ฉันง่วง ถ้างั้นนายก็ทำเองเลย” พูดจบเฟรนด์กูฟุบหน้าลงบนโต๊ะ และใช้เวลาไม่ถึงนาทีเธอก็ไปเฝ้าพระอินทร์ซะแล้ว
“อ้าวเฮ้ย หลับจริงหรอ” เขื่อนพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกคนนอนนิ่ง พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างสม่ำเสมอ
“มึงจะมาหลับแบบนี้ไม่ได้นะ ลุกไปนอนดีๆดิวะ นอนแบบนี้เดี๋ยวก็บ่นว่าเจ็บแขนหรอก แล้วอย่ามาโทษกูนะเว้ย” เขื่อนโวยวายออกมา แต่ก็เหมือนว่าไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย
“คนอะไรหลับง่ายชิบหาย แถมหลับลึกด้วย แล้วอย่าหวังนะว่ากูจะอุ้มมึงไปนอนที่เตียง ฝันไปเถอะ”
5 นาทีต่อมา
“อึบ! คนอะไรแม่งตัวก็เล็ก แต่หนักชิบหาย” เขื่อนบ่นออกมาไม่หยุดปาก แต่มือกลับค่อยๆอุ้มร่างบางในท่าเจ้าหญิงแล้วไปวางลงบนเตียงอย่างช้าๆพร้อมกับห่มผ้าให้อย่างเบามือ
“กูไม่ได้เต็มใจหรอกนะ แค่สงสาร”เขื่อนยืนมือท้าวใส่เอวพร้อมกับพูดต่อหน้าเฟรนด์ที่หลับสนิทในตอนนี้ แล้วจากนั้นเขื่อนก็ลงมาข้างล่างเพื่อกลับบ้าน ในขณะที่เขื่อนเดินลงบันไดก็เจอเข้ากับพ่อแม่ของเฟรนด์ที่นั่งอยู่ห้องนั่งเล่นพอดี
“อ้าวเขื่อนกลับแล้วหรอลูก” คุณน้าเอ่ยถามผมขึ้น
“ครับคุณน้า ว่าแต่ยังไม่นอนกันอีกหรอครับ”
“รอส่งเขื่อนกลับบ้านก่อนจ๊ะ”
“อ่อ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ติวเพลินไปหน่อย ดูเวลาอีกทีก็ปาเข้าไปถึงสี่ทุ่มแล้ว”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ เราคนกันเองไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นก็ได้ลูก อีกอย่างน้าต้องขอบคุณเรามากกว่าที่เสียสละเวลาว่างมาติวให้ยัยเฟรนด์”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขื่อนเอ่ยตอบ
“แล้วเขื่อนรู้ไหมว่าใครเป็นคนทำยัยเฟรนด์อาจะไปจัดการมัน” พ่อของเฟรนด์ที่นั่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยถามขึ้น ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจนั้น……อย่าบอกนะว่ามันไม่ได้บอกคุณอา ว่าผมเป็นคนปิดประตูหนีบแขนมัน……
“เฟรนด์ไม่ได้บอกคุณอาหรอครับ” ผมถามออกไปเพื่อความมั่นใจ
“เปล่าจ๊ะ เฟรนด์บอกแค่ว่าตัวเองเดินชนประตู” คุณน้าตอบผมกลับมา
“เอ่อ…เฟรนด์ก็ไม่ได้บอกผมเหมือนกันครับ” ผมตอบออกไป ในเมื่อเธอเลือกที่จะไม่บอกพ่อกับแม่ ผมก็จะไม่บอกท่านเช่นกัน เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองได้ยินแบบนั้นก็หันมองหน้ากัน ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างท้อใจกับความดื้อรั้นของลูกสาวตัวเองที่ไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนทำ อีกอย่างพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้วเช่นกัน
“ช่างเถอะ เฟรนด์คงไม่อยากบอกเรา งั้นก็ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ” หญิงวัยกลางคนพูดออกมาอย่างตัดพ้อ และเข้าใจในนิสัยของลูกสาวของตัวเอง ส่วนเขื่อนที่ได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดขึ้นมา แต่ทว่าเขาก็ไม่อยากทำลายความตั้งใจแรกที่อยากปิดบังเพื่อเขาของอีกคนที่หลับอยู่บนห้องเช่นกัน
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ”
“จ๊ะ กลับดีๆนะลูก” แล้วผมก็เดินออกมาทันที
พอผมมาถึงบ้านผมก็รีบอาบน้ำทันที ก่อนที่จะล้มตัวนอนลงบนเตียง แล้วเรื่องวันนี้ก็เริ่มผุดขึ้นมาในหัวผม……ให้ตายเหอะนี่ผมทำอะไรลงไปบ้างเนี่ย แล้วทำไมตอนนั้นใจผมต้องเต้นแรงด้วย ผมคงไม่ได้คิดอะไรกับยัยนั่นใช่ไหม……
“ไม่มีทาง ฉันไม่มีวันชอบยัยนั่นอย่างแน่นอน” เขื่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะพยายามเลิกคิดแล้วปิดไฟหัวเตียงเข้าสู่ห้วงนิทราทันที
หลายวันผ่านไป
วันสอบปลายภาค
“ดูเหมือนสอบครั้งนี้เฟรนด์ตื่นเต้นกว่าทุกครั้งเลยนะ” กะเพราพูดทักคนด้านข้างขึ้น เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นกว่าทุกครั้งของคนเป็นเพื่อน
“มึงจะไม่ให้กูตื่นเต้นได้ไง สอบครั้งนี้ตัดสินชีวิตกูเลยนะ”
“เฟรนด์ต้องตั้งสมาธิก่อนเข้าห้องสอบนะ สู้ๆเราเชื่อว่าเฟรนด์ทำได้” บอกเฟรนด์พร้อมกับยิ้มให้กำลังใจ
“อื้มม ขอบใจมึงมาก” ตอนนี้ฉันกำลังยืนอยู่หน้าห้องสอบ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก คงเป็นเพราะครั้งนี้เป็นการตัดสินว่าฉันจะได้อยู่ห้องคิงต่อหรือไม่
กริ๊ง~ ถึงเวลาเข้าห้องสอบ
“ฟู่ววว ฮึบ” ฉันยืนกุมมือตัวเองแน่น ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาทางปากเพื่อผ่อนคลาย แล้วเดินเข้าห้องสอบอย่างมั่นใจ แต่ขณะที่ฉันกำลังรวบรวมสมาธิอยู่นั้น ฉันก็รู้สึกเหมือนว่ามีคนมองฉันอยู่ พอหันไปก็เจอกับเขื่อนพอดี ทว่าเขาไม่ได้มองมาที่ฉัน หรือว่าฉันคิดไปเอง……ช่างเถอะตอนนี้ที่สำคัญคือการสอบ……ฉันสลัดความคิดนี้ออกแล้วเดินเข้าห้องสอบทันที
วันประกาศผลสอบ
“เร็วๆมึง ผลสอบออกแล้ว” ฉันตอนนี้ที่กำลังพูดเร่งให้กะเพราที่ยืนรอซื้อน้ำอยู่
“อีกแป๊บนึง เราต้องรอตามคิว”
“โอ้ยย มึงจะมาหิวอะไรตอนนี้เนี่ย กูลุ้นจนจะฉี่ราดอยู่แล้ว”
“ได้แล้วๆ ไปกัน” กระเพราพูดพร้อมถือแก้วน้ำมาพร้อมกับดูดกินอย่างสบายใจ
“เร็วๆ” ฉันพูดพร้อมวิ่งนำกะเพราไปทันที
“ขอทางหน่อยๆ” ฉันตอนนี้ที่กำลังฝ่าฝูงผู้คนเพื่อเข้าไปดูคะแนนของตัวเอง
“นางสาว ชลิดา อยู่ไหน ชลิดา”ฉันเลื่อนมือตามแผ่นกระดาษลงมาเรื่อยๆเพื่อหาชื่อของฉันว่าได้อยู่ห้องไหนซึ่งฉันเริ่มจากห้องคิง ตอนนี้มือของฉันเลื่อนลงมาจนจะสุดแผ่นกระดาษก็ยังไม่เห็นชื่อของฉันแต่แล้ว……
“ชะ ชะ ชลิดา เย้ๆๆ” ฉันกระโดดโลดเต้นขึ้นอย่างดีใจเมื่อชื่อของฉันอยู่อันดับสุดท้ายของห้องซึ่งฉันยังได้อยู่ห้องคิงเหมือนเดิม
“เย้ๆๆ ดีใจด้วยนะเฟรนด์ เรายังอยู่ด้วยกัน” กะเพราที่เห็นแบบนั้นยิ้มขึ้นอย่างดีใจไม่ต่างกัน
อีกมุม
“หึ” เขื่อนยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเฟรนด์และกะเพรากระโดดขึ้นอย่างดีใจ แค่เขาเห็นท่าทีพวกขึ้นก็รับรู้ได้ว่าเธอยังได้อยู่ห้องคิงเหมืองเดิม
“อะแฮ่ม ยืนยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้าเลยนะมึง มองใครอยู่วะ ขอกูดูด้วยคนสิ” เข็มทิศเดินเข้ามาพร้อมกับแซวเขื่อนขึ้น
“ยิ้มเหี้ยไร ใครยิ้ม”เขื่อนหุบยิ้มก่อนจะเอ่ยตอบเพื่อนด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย ก่อนจะเดินออกไป
“เหรอ หมามั้งยิ้ม เกลียดจริงๆไอ้พวกปากแข็งเนี่ย”เข็มทิศที่เห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนด่าตามหลังเขื่อนไปด้วยความหมั่นไส้
เลิกเรียน
"เย้ ปิดเทอมแล้ว" เฟรนด์ร้องขึ้นเสียงดังอย่างดีใจ
“เฟรนด์ปิดเทอมนี้จะไปเที่ยวไหนหรอ” กะเพราถามขึ้น
“ไม่รู้สิ แต่ถ้าไปกูจะเอามึงไปด้วย มึงค่อยไม่เหงาไง ดีไหม”
“เราต้องถามคุณพ่อคุณแม่ก่อนอะ”
“อีกละ เออๆ เดี๋ยวไว้ค่อยคุยกัน ป่ะ”
“เฟรนด์จะไปไหนหรอ” ถามพร้อมกับทำหน้างง
“จะไปขอบคุณใครบางคน” ฉันตอบกลับพร้อมกับเดินไปด้วยสีหน้าอารมณ์ดี
“ใครอ่ะเฟรนด์ รอเราด้วย” กระเพราถามพร้อมกับเดินตามหลังเฟรนด์ไปติดๆ จนเดินมาถึงใต้ตึกอาคารนึง
“ขะ.....”
“เฟรนด์” ฉันกำลังจะอ้าปากเอ่ยเรียกเขื่อนแต่มีเสียงใครบางคนเอ่ยเรียกชื่อฉันขึ้นก่อน ฉันจึงหันไปมองตามเสียงที่เรียก
“ฟะ ฟาร์ม”
ฟาร์มเป็นเพื่อนฉันสมัยเรียนม.ต้นเราอยู่ห้องเดียวกัน แต่ไม่ค่อยสนิท ฟาร์มจะชอบมาเล่นกับฉันเพราะฉันไม่มีเพื่อน ส่วนกะเพรา ฉันก็พึ่งสนิทด้วยตอนขึ้นม.ปลาย ฟาร์มเป็นคนเรียนเก่งมาก เรียนได้เกียรตินิยมอันดับ 2 มาตลอด แต่พอจบม.ต้น ฟาร์มก็ต้องย้ายโรงเรียนเพราะพ่อของฟาร์มย้ายไปทำธุรกิจส่วนตัวซึ่งก็ทำฟาร์มนั่นแหละ ชื่อ Happy Farm อีกอย่างที่สำคัญคือพ่อของฉัน พ่อของฟาร์ม และพ่อของเขื่อน พวกท่านเป็นเพื่อนสนิทกัน
ด้านกลุ่มเขื่อน
“คืนนี้ฉลองที่ผับกู กูเลี้ยงเอง” วอดก้าพูดขึ้น
“จัดไปสิครับรอไร” ตามมาด้วยเข็มทิศ
“ไม่ได้ไปเกือบสองอาทิตย์ ต้องไปปลดปล่อยสัก…”
“น้ำ สองน้ำ” ไม่ทันที่เขื่อนจะพูดจบ เข็มทิศก็พูดแทรกพร้อมต่อประโยคสุดท้ายให้เขาด้วย
“ไอ้สัส” เขื่อนด่าออกไปอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนที่พวกเขาจะหัวเราะขึ้นอย่างชอบใจ ยกเว้นเขื่อนที่ได้แต่ทำหน้าปลงชินกับเพื่อนของตัวเอง
“เฮ้ย นั่นเฟรนด์ใช่ไหมวะ” วอดก้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปทางเฟรนด์ นั่นทำให้เขื่อนที่นั่งหันหลังอยู่ยกยิ้มขึ้น พร้อมกับคิดในใจ ว่าเธอจะต้องมาหาเขาเพื่อขอบคุณเขาที่ทำให้เธอสอบผ่านเป็นแน่
“ใช่ แล้วไอ้หน้าหล่อนั่นใครวะ” ตามมาด้วยเข็มทิศ และเมื่อเขื่อนได้ยินแบบนั้นก็หัน ควับไปตามสายตาของเพื่อนตัวเองทันที ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งทันที
“หันแรงขนาดนั้นระวังคอเคล็ดนะมึง” วอดก้าเอ่ยแซวเขื่อนขึ้น
“นั่นมันไอ้ฟาร์มเด็กห้อง2 ตอนพวกเราอยู่ม.ต้นปะวะ” เข็มทิศพูดขึ้นต่อ
ใช่ ไอ้เข็มทิศมันพูดถูก มันคือไอ้ฟาร์มผมจำมันได้ไม่เคยลืม ในเรื่องการเรียนผมกับมันเป็นคู่แข่งกันมาโดยตลอด แต่มันก็ไม่เคยชนะผมเลยสักครั้ง ตอนม.ต้นมันอยู่ห้อง 2 ส่วนผมอยู่ห้อง 1 ซึ่งผมชนะมันตั้งแต่ระดับห้องแล้ว พอขึ้น ม.ปลาย มันก็ย้ายไปเรียนที่อื่น และไม่ว่าจะแข่งเรื่องอะไรผมก็จะไม่มีวันแพ้มันเด็ดขาด เพราะผมโคตรจะไม่ชอบขี้หน้ามันเลย
“เออใช่ กูจำมันได้ละ คู่แข่งอันดับ 1 ของไอ้เขื่อนสมัย ม.ต้น……” วอดก้าตอบ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่องเรียนว่ะ”
“กูก็ว่างั้น” เข็มทิศพูดเสริมพร้อมหันไปมองหน้าเขื่อน ส่วนเขื่อนที่รู้สึกว่าเพื่อนกำลังพูดให้ตัวเอง ก็หันมาพูดอย่างเอาเรื่องทันที
“พวกมึงพูดเรื่องเหี้ยไร กวนตีนไอ้พวกห่า……”
“กูกลับละมีธุระต้องไปทำ” พูดพร้อมลุกเดินออกไป
“เดี๋ยวนี้ธุระเยอะนะมึง” เข็มทิศเอ่ยตามหลังเขื่อนไป ก่อนทั้งสองจะหันมองหน้ากันแล้วระเบิดหัวเราะออกมาอย่างพอใจในท่าทีของเพื่อนตัวเอง