ริมหาดทรายรอบเมืองมีเรือนร่างบอบบางนอนหลับตาพริ้ม ใบหน้าที่ไร้กรอบแว่นตาหนาเตอะดูสวยหวานราวเทพธิดา ผมยาวสลวยเปียกชุ่มตลอดจนชุดนักศึกษาที่แนบลู่ไปตามเรือนกาย
เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพื่อปรับโฟกัสของสายตา ความมืดมิดทำให้เธอพยายามปรับสายตาและเพ่งมองรอบบริเวณ
“ฉันมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง”
เสียงคลื่นลมในยามค่ำคืนทำให้เธอเผลอยกแขนขึ้นมากอดตัวเองเอาไว้ สมองกำลังประมวลผลถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
เธอทำภารกิจและโดนยิงทุกอย่างฉายชัดในความทรงจำไม่ผิดแน่ เพราะความเจ็บปวดทรมานจากคมกระสุนยังฝังลึกอยู่จนตอนนี้
แล้วภาพก็ตัดมาที่ใต้ผืนน้ำทุกอย่างมันดูสลับตัดไปตัดมาทั้งความทรงจำของเธอและของใครอีกคนซึ่งไม่แน่ใจว่าภาพเหล่านั้นมันมาได้ยังไง
“หืม ทำไมมือ ละแล้วนี่เสียงใคร”
เธอมองมือเรียวเล็กตรงหน้าซึ่งมันไม่น่าจะใช่มือของเธอเพราะมันทั้งเล็กและนุ่มมากแต่เพียงเอ่ยพึมพำออกมาเท่านั้น ยิ่งแปลกใจกับเสียงหวานใสมากกว่าเดิมซึ่งไม่ใช่เสียงของเธอแน่นอน
สิบสามเริ่มสับสนก่อนจะยกมือขึ้นจับผมและใบหน้าด้วยท่าทางนิ่งเฉยแต่ภายในใจกลับเต้นแรงจนยากจะระงับ
เธอลุกพรวดและเดินตรงไปยังบริเวณริมทะเลก่อนจะกวักน้ำขึ้นมาล้างตามข้อมือและเท้าจนไร้เม็ดทรายตามแข้งตามขา สายตาเพ่งมองไปยังข้อเท้าข้างซ้ายที่มีลายสักเลขโรมันว่าสิบสามอยู่
“ไม่มี”
แต่กลับพบว่าข้อเท้าเปลือยเปล่าไร้รอยสักอย่างเคยพอทุกอย่างรวมกันมันทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าตัวเองอาจจะเป็นผีแล้วมาสิงร่างคนอื่นหรือไม่ก็เกิดใหม่เหมือนในนิยายที่เคยอ่านก็ได้
“เกิดใหม่แบบนี้เลยเหรอ”
ฉันพึมพำกับตัวเองอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเดินตามแสงไฟไปเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองมานอนอยู่บนหาดกลางค่ำกลางคืนคนเดียว
“นั่นไง ๆ เจอแล้วเจอคนแล้ว”
เสียงตะโกนและเสียงฝีเท้าจากข้างหลังทำให้ฉันเกร็งตัวขึ้นมาตามสัญชาตญาณก่อนจะพยายามระงับกลิ่นอายสังหารออกมาและหมุนตัวกลับไปมองผู้คนที่กำลังมาใหม่ เพราะระยะที่ยืนอยู่ทำให้คนที่มีประสาทสัมผัสไวอย่างเธอได้ยินและจับใจความได้ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน
“นี่ใช่คนที่ตามหาไหม”
ชาวบ้านหลายคนที่ถือคบเพลิงต่างแหวกออกก่อนจะหันมามองฉันสลับกับใครอีกคนที่กำลังเดินออกมาจากกลุ่มนั้น
“ใช่ คนนี้แหละ”
ร่างสง่าของหญิงวัยกลางคนหันไปตอบชาวบ้านด้วยใบหน้าบึ้งตึงก่อนจะตวัดสายตามองฉันด้วยสายตาคาดโทษ ซึ่งปฏิกิริยาของร่างอบสนองต่อเธอเป็นอย่างมาก ยิ่งหญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ หัวใจของฉันยิ่งเต้นแรงทั้งตกใจและหวาดกลัว
อะไรกัน!! แม้แต่ศัตรูฉันยังไม่กลัวเลยแต่ทำไมร่างกายและหัวใจมันถึงเหมือนไม่ใช่ของฉันเลยล่ะหรือว่าจะมาสิงร่างคนอื่นจริงๆ
เพียะ!!
“กล้าดียังไงออกมาหาผู้ชายกลางค่ำกลางคืนนังเด็กเหลือขอสร้างความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน”
ใบหน้าของฉันสะบัดไปตามแรงตบ ความชาลามไปทั่วทั้งใบหน้าก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความแสบ ตอนนี้ฉันเริ่มคิดแล้วว่าตัวเองอาจจะมาเกิดใหม่ร่างใครก็ไม่รู้เพราะชั่วขณะที่โดนยัยแม่มดตบภาพในหัวบางภาพก็ผุดขึ้นมาซ้อนทับกับภาพตรงหน้า แสดงว่าที่ร่างกายนี้มีปฏิกิริยากับยัยแม่มดก็แสดงว่าเคยโดนมาก่อนถึงหวาดกลัวมากขนาดนี้
“คุณผู้หญิงใจเย็นก่อนนะครับ อย่าลงไม้ลงมือ!!”
“ไม่ต้องมาสะเออะ!”
ฉันหลุบตาลงทำเป็นยกมือขึ้นมากุมแก้มเมื่อชาวบ้านเห็นเลยพยายามเอ่ยห้ามปรามแต่โดนยัยแม่มดตวาดเสียงดังจนพวกเขาต่างเงียบไป
“คุณแม่ รีบกลับกันได้แล้วค่ะมีมี่เหนื่อยอยากพักส่วนนังโมนาก็ค่อยทำโทษทีหลังก็ได้นี่”
เสียงแหลมของวัยรุ่นดังแทรกขึ้นมาก่อนจะปรากฏร่างบางในชุดนักศึกษาแบบของฉันเดินกอดอกเข้ามาเธอมีใบหน้าน่ารักเพียงแต่แต่งหน้าจัดไปสักเล็กน้อยเลยดูแก่แดด
“ก็ได้จ้ะ แม่ก็อยากพักแล้ว”
ยัยแม่มดเอ่ยเสียงนุ่มนวลก่อนจะเดินไปประคองยัยเด็กแก่แดดที่ชื่อว่ามีมี่ ส่วนที่เอ่ยว่า โมนา ก็คงจะเป็นชื่อของเจ้าของร่างนี้หรือชื่อปัจจุบันของฉันอย่างนั้นเหรอ
ทำไมชื่อมันคุ้นจังเลย
“มัวเหม่ออะไร รีบตามมาสิ”
เสียงแหลมสูงทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ความคิดก่อนจะหลบสายตาของมีมี่และยัยแม่มดแม่ของเธอที่ตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ
“อืม เอ่อค่ะ”
เพราะยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวตนของตัวเองฉันเลยต้องพยายามทำตัวเนียน ขี้คลาดและหวาดกลัวก่อนจะหลุบตาลงต่ำ ค่อมหัวขอบคุณชาวบ้านทุกคนก่อนจะเดินตามสองแม่ลูกนั่นไป
ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถยนต์สุดหรูฉันก็พยายามจดจำเส้นทางและสังเกตพื้นที่แถวนี้ ที่เปรียบเสมือนเกาะเพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ทะเล ตลอดทางมีไฟสีส้มจากบ้านเรือนธรรมดา เริ่มมีบ้านขนาดกลางเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งรถมุ่งสู่โซนในเมืองที่ตลอดทางมีแสงสียามค่ำคืน ผู้คน และบ้านเรือนหรูหราระดับมหาเศรษฐี
ดูแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน…..
คฤหาสน์มาหยา
รถหรูเคลื่อนเข้ามาจอดยังคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่มีป้ายขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า ภาษาที่ฉันไม่เคยรู้จักแต่กลับอ่านออกและคุ้นเคย นี่คงเป็นความทรงจำของร่างนี้แน่ๆ
“คุณโมนา”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยแทรกทำให้ฉันหันไปมองยังชายวัยกลางคนที่เปิดประตูข้างฉันออกเป็นเชิงให้ลงจากรถ เลยต้องรีบปรับสีหน้าและก้าวขาลงไปก่อนจะยืนนิ่งทำให้ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“คุณโมนาต้องเปิดประตูให้คุณหนูมีมี่กับนายหญิง”
ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงเข้มขึ้นทำให้ฉันนิ่งไปสักพักก่อนจะรีบกุลีกุจอเปิดประตูให้สองแม่ลูกมหาประลัยทันทีก่อนจะโดนเหวี่ยงใส่พลางแอบพึมพำกับตัวเองในใจ
ทีแบบนี้ทำไมความทรงจำถึงไม่ผุดขึ้นมา !
“ช้ามาก หายไปวันเดียวสมองแกเอ๋อแล้วเหรอ”
ฉันหลุบตาลงต่ำเพื่อซ่อนสายตาเย็นเยียบและเกลียดชัง เพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะจัดการคงต้องรอเวลาและสืบความเป็นมาของตัวเองซะก่อน
“เอาน่าลูก ไหนบอกอยากพักผ่อนรีบไปเถอะแม่จะจัดการมันเอง”
“ก็ได้ค่ะ พรุ่งนี้มีเรียนเช้ามีมี่ไม่อยากสาย”
“ไม่อยากสายหรือกลัวไปไม่ทันเจอวิกเตอร์กันแน่” น้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ของหญิงวัยกลางคนที่เอ่ยอย่างรู้ทันทำให้ใบหน้าน่ารักของมีมี่ขึ้นสีแดงระเรื่อ
“คุณแม่เลิกแซว มีมี่เขินนะ”
“โถ่ คนสวยของแม่น่ารักขนาดนี้สักวันวิกเตอร์ต้องมองเห็นแน่นอน”
“ค่ะ มีมี่เชื่อคุณแม่”
บทสนทนาของคู่แม่ลูกที่กำลังหยอกเย้ากันทำให้ร่างบางที่ยืนสังเกตอยู่อย่างโมนาหรือสิบสามกลอกตาขึ้นอย่างเอือมระอาและลอบเบะปากอย่างหมั่นไส้แต่ไม่วายเอะใจกับชื่อ วิกเตอร์
“ส่วนแก ก็รีบไปล้างเนื้อล้างตัวอย่าให้ความสกปรกโสมมติดตามบ้านของฉัน!!”
เมื่อมีมี่เดินเข้าไปในคฤหาสน์แล้วหญิงวัยกลางคนที่มีสถานะนายหญิงของบ้านก็ตวาดแว้ดขึ้นมาก่อนจะสะบัดหน้าเดินเข้าไปในบ้านเหลือเพียงร่างบางของโมนาและชายวัยกลางคนที่เตรียมจะเก็บรถ
เพราะไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหนเธอเลยยืนนิ่งอยู่กับที่และรีบเค้นความทรงจำในสมองว่าตัวเธออาศัยอยู่ส่วนไหนของคฤหาสน์กันแน่
“คุณหนู”
น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยมาพร้อมแรงกอดรัดทำให้ฉันเผลอลดมือลงก่อนจะปล่อยให้หญิงชราคนนี้กอด ความอบอุ่นโอบล้อมไปทั่วทั้งร่างจนฉันสัมผัสได้เพราะตั้งแต่มาถึงคฤหาสน์รู้ได้เลยว่าทุกคนล้วนไม่เป็นมิตร
“หายไปทั้งวันรู้ไหมว่านมเป็นห่วงมากแค่ไหน ต่อไปอย่าหายไปแบบนี้อีกนะคะนมใจคอไม่ดีเลย”
หญิงชราที่แทนตัวเองว่านมเอ่ยเสียงแหบแห้งราวกับว่าถ้าโมนาหายไปเธอคงจะใจสลายและทุกข์ระทมมากทุกอย่างที่ถ่ายทอดออกมาทำให้ฉับรับรู้ได้ว่าหญิงชราคนนี้รักและหวังดีต่อโมนามากแค่ไหน
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ”
“แต่กลับมาก็ดีแล้วค่ะ รีบไปพักผ่อนกันเถอะคุณหนูคงจะเหนื่อยมากแล้ว”
“ค่ะ”