บทที่ 1
สุมิตาสุดสวย
เพล้ง! เสียงแก้วน้ำตกแตก พนักงานในร้านต่างก็ชินกันแล้วกับเสียงพวกนี้ หากวันไหนลูกค้าเยอะและพี่ตาหรือสุมิตาเจ้าของร้านเข้าไปช่วยในครัว ไม่มีวันไหนที่ของไม่แตกหรือมีดไม่บาดมือ หากไม่เกิดเรื่องนั่นไม่ใช่พี่ตาสุดสวยของทุกคน
“ใบที่สองแล้วนะวันนี้ เฮ้อ...”
เธอจะขาดทุนเพราะความซุ่มซ่ามของตัวเองนี่แหละ
“คุณตาครับ ผมว่าคุณไปนั่งที่เคาน์เตอร์คิดเงินดีกว่าไหม หากอยากจะกินผัดไทยผมทำให้เองครับ” น้าแขกพ่อครัวคนหนึ่งพูดอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะสงสารเจ้านายหรือว่าเสียดายของที่แตกไปดี
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะน้าแขก แค่ทำผัดไทยงานถนัดของหนูเอง หนูทำได้สบายมาก โอ๊ย!” นั่นไงพูดขาดคำเสียที่ไหน สุมิตาร้องเสียงหลงเพราะมีดบาดนิ้วอีกแล้ว
“พี่ตาทำไมครั้งนี้เลือดไหลเยอะละครับ ดูแผลก็ไม่ลึกนี่น่า” ผู้ช่วยพ่อครัวรีบวิ่งไปหยิบกระดาษทิชชูมาให้ ก่อนจะกลับไปหยิบเอาอุปกรณ์ทำแผลมาอีกรอบ
“ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยฉันคงจะกินน้ำหวานเยอะมั้ง ช่างเถอะ น้าแขกค่ะ ทำผัดไทยให้หนูหน่อยนะ หิวจนตาลายแล้วตอนนี้” สุมิตาหันไปบอกน้าแขกพ่อครัวของเธอ ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง
สุมิตาไม่รู้เลยว่าวันนี้คือตัวกำหนดของเธอว่าจะต้องทะลุมิติไปอีกยุคหนึ่งในเวลาอันใกล้นี้ เธอยังคงทำงานอย่างมีความสุข
“พี่เชน วันนี้ร้านวัตถุดิบมาส่งของใช่ไหม หากในร้านขาดอะไรพี่สั่งมาด้วยนะ จริงสิพี่ช่วยสั่งรายการตามนี้มาให้หน่อย เก็บไว้ที่ห้องด้านหลังนะ ฉันตั้งใจว่าอีกสามวันจะไปบริจาคของที่ภาคเหนือ ใกล้หน้าหนาวแล้ว”
เธอยื่นรายการให้กับผู้จัดการร้าน ตั้งใจว่าอีกสามวันเธอและเพื่อนจะขึ้นเหนือเพื่อเอาของไปบริจาค เพื่อหวังว่าชาติหน้าเธอจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์
หลังจากจัดการเรื่องของที่จะนำไปบริจาคแล้วเธอยังให้ซื้อจักรยานอีกหลายคันทั้งแบบสองล้อและสามล้อ โดยไม่รู้เลยว่าเธอจะได้เอามาใช้กับตัวเอง
คืนนี้ไม่รู้คิดอะไรเธอนั่งเขียนพินัยกรรมเผื่อไว้ หากเกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมา ทรัพย์สินทุกอย่างเธอขอมอบให้กับมูลนิธิบ้านเด็กกำพร้า ส่วนร้านอาหารเธอมอบให้พี่เชนโดยที่รายได้ส่วนหนึ่งมอบให้กับมูลนิธิเด็กกำพร้า การที่เธอทำแบบนี้เพราะกลัวว่าวันไหนที่ซุ่มซ่ามขึ้นมาแล้วตกบันไดคอหักตายจะได้ไปแบบไม่มีห่วง
เมื่อจัดการทุกอย่างแล้ว เธอจึงหลับพักผ่อนเพื่อเริ่มต้นใหม่ในเช้าวันพรุ่งนี้ที่สดใส คืนนั้นเธอฝันเห็นสถานที่หนึ่งคล้ายกับยุคแปดศูนย์ของจีน บ้านหลังนั้นอยู่กันเพียงสี่คน มีพ่อแม่ ลูกชายพร้อมกับสะใภ้ ดูแล้วคงไม่ใช่คนมีเงิน น่าจะลำบากพอตัว
แต่เดี๋ยวนะ ลูกสะใภ้เหรอ? ใช่เหรอ ทำไมทำตัวน่ารังเกียจขนาดนี้ล่ะ มีสามีอยู่แล้วยังเล่นหูเล่นตากับลูกพี่ลูกน้องกับสามีตัวเองอีก
“โอ้โห! แม่เจ้า อะไรจะสิบเอ็ดร.ด ขนาดนั้น”
ภาพตัดมาที่อีกครอบครัวซึ่งเป็นครอบครัวเดิมของหญิงสาว
“แล้วนี่อะไร บ้านสามีก็จนแสนจน ยังหอบหิ้วของมากมายมาบ้านเดิมตัวเองอีกที่สำคัญให้แม่เลี้ยงจ้า แม่แท้ๆ ก็ไม่ใช่ นี่นางร้ายประจำหมู่บ้านจริงๆ เหรอ เหอะๆๆ แบบนี้เขาเรียกโง่ รู้ไว้ด้วย แม่สามีนั้นดีแสนดีกลับร้ายใส่ แม่เลี้ยงใส่หน้ากากเข้าหากลับเทิดทูนไว้บนหิ้ง”
สุมิตายังคงเห็นภาพต่างๆ จนรู้ว่าหญิงสาวคนนั้นชื่อเหมยฮวา อายุยี่สิบปี แต่งงานได้เพียงสามเดือนเท่านั้น เธอไม่ได้รักสามีคนนี้เลย คนที่เธอต้องการที่จะแต่งงานด้วยคือลูกพี่ลูกน้องของสามี แต่ดันเกิดความผิดพลาดจนต้องแต่งงานกับเซียวหย่งเสียนแทน
เธอยังคงฝันถึงเรื่องพวกนี้ตลอดคืน เมื่อตื่นมาตอนเช้าจึงคิดว่าควรจะไปใส่บาตรดีไหม เผื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของใคร อยากให้เธอทำบุญไปให้ เมื่อตัดสินใจว่าต้องใส่บาตร เธอจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวและเดินลงมาที่ร้านเพื่อทำอาหารใส่บาตรตามที่ตั้งใจ
“คุณตาครับ ของที่สั่งไว้เมื่อวานจะนำมาส่งวันนี้นะครับ ว่าแต่พวกเมล็ดผักและปุ๋ยคุณตาสั่งไปไหนเหรอครับ” ราเชนทร์หรือเชน ผู้จัดการร้านคนเก่งที่ดูแลมาตั้งแต่ร้านอาหารสุมิตาเปิด เขาจึงเป็นที่ไว้ใจของเจ้านายสาว
“ตาสั่งมาด้วยเหรอคะ ไม่เป็นไร ค่อยเอาไปให้ชาวบ้านบนดอย แต่ของได้ครบใช่ไหมพวกเสื้อผ้าและเสื้อกันหนาว ผ้าห่มอย่าลืมนะ”
สุมิตายังคงเอ่ยย้ำ ของทั้งหมดที่สั่งมาคงต้องใช้รถบรรทุกขนขึ้นไป เพราะหากขนใส่ท้ายกระบะที่มีคงไม่หมด
“ครบหมดแล้วครับ รวมทั้งจักรยานด้วยครับ”
“จริงสิพี่เชน ซื้อน้ำมันใส่แกลลอนให้หน่อยได้ไหม รถมอเตอร์ไซค์หลังร้านน้ำมันหมด คืนนี้ตั้งใจว่าจะขี่ไปชมเมืองเสียหน่อย” เวลาเบื่อๆ หรือว่าฝันไม่ดี สุมิตามักจะขี่บิ๊กไบค์คู่ใจชมเมืองมากกว่ารถยนต์ เพราะกรุงเทพต่อให้ดึกแค่ไหนรถก็ยังติดอยู่ดี
“ได้ครับ ผมจะได้เอามาไว้ให้พนักงานเติมรถคันอื่นไว้ส่งอาหารให้ลูกค้าด้วย”
“พี่เชน หากเกิดฉันไม่อยู่แล้วพี่อย่าทิ้งร้านนี้นะ” อยู่ ๆ เธอก็พูดขึ้น จนราเชนทร์มองหน้าเจ้านายอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ หรือว่าคุณตาป่วยไม่สบาย”
“เปล่าหรอก ฉันพูดเผื่อไว้ หากฉันเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ พี่ขึ้นไปบนห้องฉัน ในตู้ตรงหัวนอนมีเอกสารฉบับหนึ่ง ให้เปิดวันที่เผาศพฉันเรียบร้อยแล้ว” สุมิตาพูดเหมือนจะสั่งเสีย ทำให้ราเชนทร์เริ่มใจไม่ดีกลัวว่าเจ้านายสาวจะเป็นโรคร้ายจนต้องสั่งเสียไว้
“คุณตาไม่เป็นอะไรแน่นะครับ” ราเชนทร์ถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่มีอะไรหรอกพี่เชน ฉันพูดไปอย่างนั้นเอง ชีวิตคนเราเอาแน่เอานอนไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าจะตายวันไหน” สุมิตาพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องทำงานของตัวเอง
ราเชนทร์มองตามแผ่นหลังของเจ้านายและครุ่นคิดในคำพูดของเธอ แต่พอคิดว่าสุมิตาพูดเล่นเขาจึงเดินกลับไปที่ห้องด้านหลังที่ทำเป็นโกดังเก็บของ รวมถึงแบ่งโซนไว้เป็นห้องเย็นเก็บพวกอาหารสดรวมถึงผักและผลไม้
หลังจากที่ปิดร้าน สุมิตาขึ้นมาห้องชั้นบนที่เธอสร้างไว้เป็นเพนท์เฮาส์สำหรับตัวเอง เพราะจะได้ไม่ต้องไปหาซื้อคอนโด เมื่อแต่งตัวรัดกุมเธอจึงขับบิ๊กไบค์คู่ใจท่องราตรี
เมื่อมาถึงวัดแห่งหนึ่งที่เปิดให้ทำบุญกลางใจเมืองกรุง เธอทำบุญเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น รวมทั้งปล่อยนกปล่อยปลา ใครว่าเธอไม่เหงา เธอเหงามาก ๆ เพราะไม่มีครอบครัว แม้แต่เพื่อนสนิทยังนับคนได้ เธอเติบโตมากับบ้านเด็กกำพร้า
‘หากชาติหน้ามีจริง ขอให้ฉันมีครอบครัวที่พร้อมสมบูรณ์ด้วยเถอะ ขอให้ได้แต่งงานและอยู่กับคนที่รักฉันเพียงคนเดียว ขอให้มีครอบครัวที่อบอุ่นอย่าเป็นเด็กกำพร้าและอยู่อย่างโดดเดี่ยวอย่างชาตินี้อีกเลย’
หลังจากออกมาจากวัดเธอยังคงขับรถไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ใจและสมองปลอดโปร่งก่อนจะกลับไปพักผ่อนและเริ่มต้นใหม่ในวันพรุ่งนี้ โดยที่สุมิตาไม่รู้เลยว่าเธอไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว สำหรับชาตินี้ เอี๊ยด! โครม!
เสียงเบรกรถเสียงดังเมื่อรถคันใหญ่ขับปาดหน้า จนสุมิตาต้องหักหลบและชนตอม่อเข้าอย่างจัง หมวกกันน็อคที่เธอใส่กระเด็นหลุด เธอกระอักเลือดอยู่สองสามครั้ง จากนั้นก็หมดลมหายใจ
“ไปอยู่ในที่ของตัวเองเถอะนะสุมิตา ฉันช่วยเธอได้เท่านี้”
เงาดำรูปร่างใหญ่ยืนพูดกับร่างไร้วิญญาณของเธอ ก่อนจะหายไปจากตรงนั้นเช่นกัน