Chapter 4 แนบชิด
“หน้าที่ของหมวด คือการดูแลรักษาชีวิตของประชาชน คุณทำทุกอย่างเพื่อประชาชนทุกคนใช่มั้ยคะ”
“ใช่ ชีวิตของผมคือประเทศชาติ รักษาอธิปไตยเอาไว้เพื่อประชาชนชาวไทยทุกคน”
หญิงสาวชักมือกลับมาวางไว้บนหน้าตักของตนเมื่อเห็นว่าเสร็จขั้นตอนแล้ว รู้ดีถึงความหมายในคำพูดนั้น ที่พูดเมื่อสักครู่เขาไม่ได้หมายถึงตัวเธอ แต่มันคือหน้าที่ของเขา หน้าที่ในการทำทุกอย่างเพื่อส่วนรวม เหตุนี้หล่อนจึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงไม่อยากหาห่วงมาผูกคอ นั่นเป็นเพราะเขาเอาเวลาทั้งหมดไปทุ่มเทให้กับการงาน หากใครคิดจะร่วมชีวิตด้วย คงต้องเข้าใจและอดทนเป็นอย่างมาก และหนึ่งในนั้นไม่ใช่เธอแน่นอน
เธอชอบงานศิลปะ รักสันโดษและมีโลกส่วนตัวสูง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากจะมีความรักกับใครสักคน คนๆ นั้นจะต้องอยู่เคียงข้างกันเสมอ มีเวลาดูแลซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เอาแต่เข้าป่าแบบชายหนุ่มตรงหน้า เพราะหล่อนเองก็เป็นผู้หญิงธรรมดา อ่อนไหวเป็น และร้องไห้เป็น
‘บ้าจริง แล้วเธอจะไปเคืองเขาเรื่องอะไรยายลิลลี่ ไม่ได้คิดอะไรนี่นะ’
บรรยากาศตกอยู่ในความอึมครึมเมื่อหมดเรื่องที่จะสนทนา อาจเป็นเพราะความที่ยังไม่ค่อยสนิทชิดเชื้อทำให้ทั้งสองเกิดความประหม่าขึ้นมา เมื่อยามได้อยู่ใกล้ชิดเพียงลำพังสองต่อสองในสถานการณ์ที่ผิดปรกติ เพราะสถานการณ์ปรกติสำหรับทั้งสองคือ การที่เจอกันแล้วต้องปะทะคารมกันทุกครั้ง ไม่มีใครยอมลงให้ก่อน
“คุณจะทานข้าวก่อนมั้ย เพราะมันเลยเที่ยงมามากแล้ว เดี๋ยวคุณจะไปพูดเอาได้ว่าเจ้าบ้านใจจืดใจดำไม่เลี้ยงข้าวแขก นั่งรอสักพัก ผมจะไปบอกแม่ครัวให้ทำมาให้”
ภัทรพลเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน ด้วยไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไร ไม่รอให้เธอได้ตอบรับหรือปฏิเสธชายหนุ่มก็เดินลิ่วหายเข้าไปด้านในอีกครั้ง เพื่อบอกแม่ครัวให้มาทำอาหารง่ายๆ สักสองสามอย่าง
“เผด็จการชัดๆ ทำตัวเหมือนฮิตเลอร์ ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะ”
หญิงสาวทำปากขมุบขมิบตามหลังเขาไปเมื่อถูกมัดมือชกจนปฏิเสธไม่ได้ ก่อนผุดลุกขึ้นยืนเดินไปมองรูปถ่ายของผู้คนหลากหลายอิริยาบถที่ติดอยู่ตามฝาผนังด้วยความสนใจ ความที่เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียว มารดาของเขาจึงทั้งรักและทั้งหวงราวจงอางหวงไข่ ถึงขนาดหาผู้หญิงที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ด้วยตนเอง ทุกคนต้องผ่านการสกรีนจากภาวิณีเสียก่อน และไม่เคยมีใครสอบผ่านนอกจากเธอที่มีภาษีเป็นลูกสาวของเพื่อนซี้ร่วมชั้นเรียน และร่วมธุรกิจด้วยกัน
“คุณแม่ผมเห่อน่ะ เลยมีรูปผมติดไปทั่วบ้าน”
“อุ๊ย!” หญิงสาวสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ เขาก็ย่องมาเงียบๆ แล้วเอ่ยขึ้น โดยไม่รู้ว่ามาหยุดยืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ ลีลาวดียิ้มเฝื่อนกลับไป ขณะวางรูปถ่ายของเขาที่หยิบขึ้นมาพิจารณาไว้กับที่ตามเดิม
“ฉัน…ฉันแค่เอามาเช็ดขี้ฝุ่น เห็นมันเปื้อน ไม่ได้จะแอบดูรูปคุณนะ”
“เหรอออ…”
“ฉันไม่คุยด้วยแล้ว ไหนล่ะกับข้าว รีบกินจะได้รีบกลับ คุณก็จะได้รีบไปหาแม่ดอกมะลิลอยน้ำอะไรนั่น”
“จริงสิ ผมลืมไป ป่านนี้น้องเค้าก็คงชะเง้อหาล่ะ คงต้องโทร.ไปบอกเสียหน่อยแล้ว”
ชายหนุ่มเดินยิ้มกริ่มผ่านหน้าไปแล้วแกล้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ แท้จริงเขาแกล้งทำไปอย่างนั้น ความจริงเขากำลังจะเดินย้อนไปดูแม่ครัว ว่าทำอาหารเสร็จไปกี่อย่างแล้ว
‘จะมีใครก็มีไป เอามาบอกเราทำไม ไม่เห็นจะอยากรู้’
อาหารสองสามอย่างถูกลำเลียงมาวางบนโต๊ะในเวลาถัดมา โดยการกุลีกุจอช่วยกันของสองหนุ่มสาว แม้แม่ครัวจะออกปากว่าให้นั่งรออยู่เฉยๆ แต่เมื่อทั้งสองเห็นว่าไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร จึงพากันแย่งงานแม่ครัวทำเพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลา
“ที่ชายแดนเกิดอะไรขึ้นคะ ฉันรู้ว่ามันคือเรื่องงานของคุณ”
ลีลาวดีชวนคุยขณะกำลังรับประทานอาหารกันอยู่ เพราะหล่อนไม่เชื่อว่าเขาจะรีบกลับเพราะมีผู้หญิงโทร.มาตาม เนื่องจากมันผิดวิสัยของเขานั่นเอง และหากชายแดนเกิดการปะทะตามที่หล่อนเข้าใจก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ คืนนี้คงต้องมีข่าวให้ดูอย่างแน่นอน หญิงสาวคิดขณะมองหน้าเขาไปด้วย
“เกิดการปะทะกันระหว่างคนร้ายกับเจ้าหน้าที่ตอนลาด ตระเวน ผมจะไม่เจ็บใจหากทางเราไม่บาดเจ็บหนัก และคนที่บาดเจ็บก็คือลูกน้องผมเอง เป็นอดีตทหารเกณฑ์ที่เต็มใจสมัครสอบมาเพื่อรับเงินเดือนไม่กี่บาท ยอมอาสาไปทำงานยังพื้นที่เสี่ยง ไปด้วยใจรักเพียงอย่างเดียว เพื่อประเทศชาติ ไม่เคยกลัวว่าสักวันหนึ่งตนอาจจะต้องตายเพราะน้ำมือของฝ่ายตรงข้าม ผมเสียใจที่คนของตัวเองต้องมาถูกลูกหลง ตอนนี้อาการเป็นตายเท่ากัน จะเดินได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย อดที่จะสงสารไปถึงครอบครัวที่รออยู่ข้างหลังไม่ได้”
ภัทรพลถอนหายใจออกมา ใบหน้าหมองเศร้าลงไปเพราะลูกน้องของเขาคนนี้ถือว่าเป็นกำลังหลักของครอบครัว เงินเดือนแทบทุกบาทส่งให้มารดาหมด เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มจึงรู้สึกอิ่มขึ้นมาเฉียบพลันจึงรวบช้อนเข้าด้วยกัน ท่ามกลางสีหน้าของลีลาวดีที่เจื่อนลงไปในทันใด
“ฉัน…ฉันขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณคิดมาก ทานข้าวต่อเถอะนะ”
“ไม่เป็นไร ผมชินเสียแล้วกับความสูญเสียและการที่ความตายมันมาเฉียดผ่านปลายจมูก ขยับเพียงนิดก็อาจพลาด ถูกมันทักทายเอาได้”
“เสียใจด้วยนะคะ ที่ลูกน้องของคุณต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้ ต้องนับถือในความกล้าหาญของเขา แม้จะเคยเป็นเพียงแค่ทหารเกณฑ์แต่หัวใจยิ่งใหญ่นัก ฉันขอเอาใจช่วยให้หายเป็นปรกติในเร็ววัน ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง”
“ผมก็ภาวนาขอให้เป็นเช่นนั้น”
“หากทำได้ ฉันอยากไปอยู่บนดอยบ้าง ไปสอนเด็กๆ วาดรูป สอนเด็กๆ ให้เรียนรู้วิชาศิลปะ แต่ฉันก็ไม่ชอบหน่วยงานราชการ จึงไม่อยากสอบครู อยากไปสอนแบบอิสระมากกว่า ไม่เอาค่าจ้างจากใครทั้งนั้น เหนื่อยก็พัก เที่ยวไปอย่างอิสระเสรี หาโลเกชั่นสวยๆ วาดรูป ท่าทางจะสนุกดี”
“อย่าหาเรื่องเลยลิลลี่ ที่นั่นไม่เหมาะกับคุณ ความเจริญยังเข้าไปไม่ถึง ให้ผมทาย อย่างคุณไปได้ไม่ทันข้ามวัน ขี้คร้านจะแจ้นลงมาน่ะสิไม่ว่า”
“ฉันรู้ คุณกลัวว่าฉันจะตามคุณขึ้นดอยไปอย่างนั้นสิ คุณกลัวว่าจะถูกฉันจับ คนหลงตัวเอง”
“ดอยในเมืองไทยมีไม่รู้กี่แห่ง คุณจะไปดอยไหนก็ตามใจคุณ ไม่จำเป็นต้องไปที่เดียวกับผมคุณก็ไปได้ แต่ผมแค่อยากจะเตือนเอาไว้ว่าคนที่เคยชินกับความสะดวกสบายแบบคุณ คงไม่ชอบมันสักเท่าไหร่หรอก”
“อย่าดูถูกฉัน เพราะฉันก็ไม่ใช่ลูกคุณหนูอย่างที่คุณคิด ประเมินลิลลี่ผิดไปหน่อยแล้วนะ คุณหมวด”
“อย่างนั้นสิ เรื่องอะไรบ้างล่ะครับที่ผมประเมินผิดไป อย่างนี้มันต้องพิสูจน์เสียหน่อยแล้ว”
พูดพลางแสร้งทำตาหวานเชื่อมมองมา ก่อนไล่ไปทั่วร่างคนตรงหน้า หญิงสาวรีบยกมือขึ้นกอดอก เมื่อรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลในสายตาคู่นั้น
“อย่ามองแบบนั้นนะ เดี๋ยวจิ้มให้ตาบอดเลย”
หญิงสาวรีบคว้าส้อมในจานขึ้นมาชี้หน้าเขา ก่อนจะถูกเขาแย่งไปถือเอาไว้อย่างง่ายดาย พลางส่งยิ้มยั่วกลับมา
“แค่ส้อมทู่ๆ ทำอะไรผมไม่ได้หรอก”
“แล้วนี่ล่ะ นี่แน่ะ!”
“อุ๊บ!”
ภัทรพลไม่ทันได้ตั้งตัว ชิ้นขนมเค้กขนาดกำลังดีถูกยัดใส่ปากของเขาด้วยฝีมือของลีลาวดีจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก เมื่อตั้งหลักได้ชายหนุ่มรีบคายทิ้งพร้อมคว้ากระดาษชำระสำหรับเช็ดปากมาเช็ดเป็นพัลวัน ก่อนมองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังนั่งหัวเราะเขาอยู่ด้วยสายตาคาดโทษ สักพักรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดพราวขึ้นมาบนใบหน้า เมื่อเห็นหนทางที่จะเอาคืน
“อ๊ะ!”
หญิงสาวหัวเราะได้ไม่นานก็ต้องหน้าเสียลงไป เมื่อเขายัดกระดาษเช็ดปากมาใส่มือพร้อมคว้ามือเรียวบังคับให้นำกระดาษไปจ่อไว้ที่ปากของตนเพื่อให้หล่อนช่วยเช็ดให้ เป็นการไถ่โทษที่ทำให้เขาต้องเลอะเทอะจนดูไม่จืด
“เร็วสิจ๊ะลิลลี่ ใครทำเปื้อน ก็ต้องเช็ด”
“อะไรของคุณ ฉันไม่เล่นนะ”
“ผมไม่ได้เล่น เร็วสิ เช็ดปากให้ผมเดี๋ยวนี้ หากคุณยังดื้อดึง ผมก็จะใช้อย่างอื่นของคุณเช็ดแทน นี่คือการขอร้อง ไม่ใช่คำขู่”
เขาขู่ฟ่อ ทำท่าดึงแขนเรียวเข้าหาตัวเพื่อที่จะคว้าเข้าไปกอด เมื่อเห็นคนก่อเหตุยังคงนั่งหน้าตูมไม่ทำตามที่เขาร้องขอ ลีลาวดีเห็นท่าไม่ดีเพราะกลัวเขาจะเกิดลูกบ้าปล้ำขึ้นมาจริงๆ เพราะที่นี่คือบ้านของเขา จึงจำใจต้องหลับหูหลับตาเช็ดคราบขนมเค้กให้เขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“อุ๊ย!”
ภาวิณีที่เพิ่งกลับมาถึงรีบผลุบร่างแอบแล้วเดินกลับออกไปอย่างเงียบเชียบที่สุด เมื่อเดินมาเห็นภาพกระหนุงกระหนิงเข้าพอดี ภาพที่เห็นทำให้หล่อนถึงกับยิ้มหน้าบานจนหุบไม่ลงเลยทีเดียว
“แหม อยากแอบมาทานข้าวสองคนก็ไม่บอก หลอกคนแก่ทำไม ชวนกันทำอะไรแปลกๆ อีกแล้ว”
ภาวิณียังคงอมยิ้มขณะพูดกับตัวเองเบาๆ ร่างสง่าสมวัยเดินขึ้นไปยังชั้นสองอย่างอารมณ์ดีเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากความเหนียวตัวที่ไปนั่งเชียร์ฟุตบอลมา โดยหลังจากที่ภัทรพลโทร.ไปบอกว่าขอเปลี่ยนแผนหล่อนจึงนั่งทานกับเพื่อนๆ ที่ร้านอาหารอยู่พักหนึ่ง โดยยังไม่รู้ว่าระหว่างนั้นได้เกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองบ้าง
+++++++++