“ตอนนี้เรารู้แหล่งกบด่านของเป้าหมายแล้ว พวกมันยังมีพรรคพวกไม่มาก แต่อย่าชะล่าใจไปเพราะเรายังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อีก”
“พวกมันเหมือนรออะไรบางอย่าง ดูเหมือนทุกอย่างกำลังเพิ่งเริ่ม...” ซานออกความเห็น
“จริง ๆ เรื่องนี้มีมานานมากแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาพวกของมันส่วนใหญ่ถูกยัดเข้าคุกกันหมด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เหลือรอดเลยสักคน ที่แน่ ๆ ตอนนี้แกนนำของพวกมันบางส่วนกลับมาแล้ว หน้าที่ของพวกเราคือหาหลักฐานให้เพียงพอเพื่อยัดพวกมันกลับเข้าคุกอีกครั้ง”
“หัวหน้าครับ ผมได้เวลาไปทำหน้าที่แล้ว” เซนพูดขึ้นแทรก เขาสวมใส่ชุดนักเรียนชายมัธยมปลาย เนื่องจากได้รับมอบหมายให้ปลอมตัวเข้าไปเป็นนักเรียนของโรงเรียนในชุมชน เพราะเตชินเชื่อว่าต้องมีเด็กผู้ชายวัยเดียวกันในโรงเรียน ที่น่าจะรู้เรื่องราวแวดวงใน แม้มันอาจจะเป็นงานน่าเบื่อไปหน่อยแต่เซนก็ทำทุกอย่างเพื่อทีม
“อย่าทำตัวฉลาดเกินเด็กวัยเดียวกันล่ะ”
“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก หัวหน้าไว้ใจได้”
เตชินพยักหน้าให้กับเด็กฝึก บ่งบอกว่าเขาไว้ใจและมั่นใจในการทำงานของเซน
“แต่งตัวหล่อเชียว ชุดนักเรียนเหมาะกับเซนมากเลย ลาออกจากองค์กรแล้วไปเรียนต่อก็ใช้ได้อยู่นะ”
“ยัยเคส!” เตชินปรามเพื่อนที่เพิ่งเดินเข้ามา ก่อนจะส่งสัญญาณให้เซนออกไปทำหน้าที่ของตัวเองได้ “เพราะนิสัยชอบแหกกฎแบบแกไม่ใช่เหรอ ถึงทำให้แกเป็นได้แค่ลูกน้องของฉัน”
“ฮึ...ไม่เจ็บสักนิด คนที่ไม่เคยทำผิดกฎองค์กรแบบแกไม่รู้หรอก ว่าการที่ได้ทำอะไรนอกกรอบมันสนุกและตื่นเต้นแค่ไหน ใช่ไหมวิน”
ซานกับนาวินแอบยิ้มเจื่อน ถึงแม้ว่าคาริสาจะเป็นลูกน้องคนหนึ่งของเตชิน แต่ทั้งคู่ก็เคารพเธอราวกับว่าเป็นหัวหน้าองค์กรคนหนึ่งเช่นกัน
“ครั้งเดียวก็เกินพอครับพี่เคส” นาวินเคยทำผิดกฎเพราะต้องการทำเรื่องท้าทายแบบรุ่นพี่ ทว่าบทลงโทษขององค์กรก็ทำเอาเขาจำไม่ลืมจนถึงทุกวันนี้
“ไม่ต้องมาปั่นหัวเด็กฝึกของฉัน ถ้าว่างมากเดี๋ยวจะหางานให้ทำ”
“ใครมาทำงาน ฉันมาเที่ยว”
“ช่วยไปสืบเรื่องของคนที่อยู่ในรายชื่อนี้หน่อย ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับนายดำรง” เตชินพูดพร้อมยื่นไดร์ฟข้อมูลให้กับคาริสา
“ไม่ทำ!”
“ถ้าไม่ทำก็กลับบ้านไป”
“ก็บอกว่าฉันมาเที่ยวไง”
“ไอ้เต! จะกลั่นแกล้งอะไรยัยเคสอีก” เรติกาที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องทำงานเห็นว่าเตชินบังคับให้คาริสาทำงานโดยที่ไม่เต็มใจ เธอจึงปรี่เข้ามาช่วยเหลือเพื่อนสาว
“พอเลย อย่าให้ท้ายเมียจนไม่ลืมหูลืมตา ถ้าจะมาป่วนก็กลับบ้านไป ถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ก็ต้องช่วยทำงาน ถ้าไม่ช่วยฉันจะยื่นเอกสารรายงานบิ๊กบอสว่าพวกแกขัดขวางการทำงานของฉัน”
“เต...”
“ฉันไม่เกี่ยวนะ สายแล้วมีนัดวิดีโอคอลกับกรณ์น้อย” เรติกาวิ่งหายไปจากห้องทำงานทันที ปล่อยให้คาริสาต้องรับงานมาทำอย่างไม่เต็มใจนัก
“วินไปทำงานกับพี่ไหม”
“วินกับซานมีหน้าที่ที่ต้องทำอยู่แล้ว ส่วนหน้าที่ของแกก็ไปเตรียมตัวทำงานซะ” เตชินยื่นไดร์ฟข้อมูลให้คาริสาอีกครั้ง เขารู้ว่าคาริสามาเพื่อจุดประสงค์อะไร แต่การมีคาริสามาร่วมทำงานด้วย หลายอย่างที่คิดว่ายากก็อาจจะง่ายขึ้น
“จะหนีไปไหน!”
“แม่...”
“มานี่เลยมาเอาไม้เรียวก่อน มันน่านักนังลูกคนนี้ บอกว่าอย่าไปมีเรื่องกับใคร”
มะปรางวิ่งหนีไม้เรียวที่สั่นดิ๊ก ๆ อยู่ในมือของคนเป็นแม่ ใครจะไปยอมโดนตีกันเล่า อายุก็เข้าหลักสองแล้วยังโดนแม่ไล่ตีเหมือนเด็ก ๆ
“แม่...ปรางไม่ผิดนะแม่”
“ไม่ผิดแล้วทำไมถึงโดนไล่ออก พี่ก้อยบอกว่าแกไปมีเรื่องกับลูกค้าของเขา”
“มันเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียวนะแม่ ไอ้ลูกค้าพวกนั้นมันลวนลามเพื่อนปรางก่อน”
“ว่าไงนะ” เมื่อลูกสาวให้เหตุผลมาอย่างนั้น มะลิผู้เป็นแม่ที่เกลียดผู้ชายพรรค์นี้ที่สุดมีหรือจะอยู่เฉย
“เพื่อนปรางเผลอเอาปากกาไปทิ่มมือของมันจนได้รับบาดเจ็บ พวกมันเลยโวยวาย ปรางก็เลยเข้าไปช่วย”
“แล้วพวกมันทำอะไรปรางหรือเปล่า แล้วเพื่อนปรางล่ะเป็นยังไง”
“มะปรางลูกสาวแม่มะลิซะอย่าง ไม่มีใครหน้าไหนมารังแกได้ง่าย ๆ หรอก ปรางใช้วิธีหมัดมวยกระทืบพวกมัน เอาไม้เรียวลงก่อนนะแม่นะ” มะปรางเดินเข้ามากอดคนเป็นแม่ เมื่อเห็นว่าท่านเริ่มใจเย็นขึ้นมาบ้าง เธอแอบดึงไม้เรียวเจ้ากรรมออกห่างจากมือของแม่มะลิอย่างถือวิสาสะ
“ไอ้พวกหน้าตัวเมียอยู่ไปก็รกแผ่นดินจริง ๆ อย่าให้เจอนะ”
“เห็นไหม ถ้าแม่อยู่ตรงนั้นแม่ก็ทำแบบเดียวกับปราง ส่วนเพื่อนของปรางเขาโอเคขึ้นแล้ว แต่ปรางนี่สิ”
“ไล่ออกก็ไล่ออกสิ พี่ก้อยก็คงเห็นแก่เงินแก่หน้าตามากกว่าคนกันเองเหมือนเดิม”
“ไม่เครียดนะแม่นะ เดี๋ยวความดันขึ้น” มะปรางเดินเข้าไปกอดแล้วโยกตัวคนเป็นแม่ไปมา หวังจะให้คลายอารมณ์คุกรุ่นลง
“ถ้าไม่มีงานทำแล้วก็ไปช่วยแม่ขายของที่โรงเรียน สายแล้วด้วยเดี๋ยวเตรียมของไม่ทันพักเที่ยง”
“รับทราบครับ! เดี๋ยวปรางไปยกของขึ้นซาเล้งให้นะ”
“ให้เร็วเลย”
“รู้แล้ว ๆ ใช้งานลูกอย่างกะใช้แรงงานทาส”
สองชั่วโมงผ่านไป
“เรียบร้อย” มะปรางช่วยคนเป็นแม่จัดระเบียบอาหารกลางวันสำหรับค้าขายเสร็จสรรพ เธอเดินไปนวดไหล่ให้คนเป็นแม่อย่างชำนาญ ขณะที่แม่มะลิก็สะบัดพัดคลายความร้อนให้กับตัวเองอย่างอารมณ์ดี “อารมณ์ดีขึ้นแล้ว แม่จ๋า...ปรางขอกลับบ้านก่อนนะ ปรางรู้สึกปวดท้อง”
“เป็นอะไร ปวดตรงไหนมาให้แม่ดู” แม่มะลิพูดถามพร้อมคลำไปที่บริเวณหน้าท้องของลูกสาว
“ปรางปวดท้องน้อย สงสัยเมนส์จะมา” มะปรางกระซิบพูด
“เอ้า ปวดมากไหม ถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านไปพักผ่อนก่อน”
“จ้ะแม่ ปรางกลับก่อนนะ”
มะปรางหอมแก้มแม่มะลิแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายมาคล้องบ่า ก่อนจะเดินแยกออกไปในทันที ส่วนคนเป็นแม่ก็หันไปเม้าท์มอยกับคนที่มาขายของด้วยการตามประสา
“พี่ปราง”
“อ้าวเติร์ด แอบหนีเรียนมาเหรอ กลับไปเรียนเลยนะ”
“ช่วงเปลี่ยนคาบ ยังพอมีเวลาพี่ปราง” เติร์ดเดินเข้าไปใกล้มะปรางพร้อมกระซิบกระซาบบอกในสิ่งที่รู้มา “เห็นว่าหลังสนามเด็กเล่นมีอุโมงค์ใต้ดิน แถมยังมีคนเข้าออกในตอนกลางคืนด้วย ต้องเป็นพวกเอเยนต์ค้ายาแน่ ๆ เราอาจจะมีช่องทางค้าขายเหล้าเถื่อน เป็นไงพี่ปรางติดต่อทำธุรกิจด้วยไหม”
“ห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้นนะ ห้ามยุ่งเด็ดขาด”
“ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยว แล้วให้ตามตระเวนสืบทำไม”
“รู้ไว้ใช่ว่า...”
“…ใส่บ่าแบกหาม” เติร์ดต่อประโยคสำนวนของมะปรางด้วยความเข้าใจในความหมาย “รู้ไว้ไม่เสียหาย แต่เสี่ยงตายเลยนะพี่ปราง”
“เอาน๊า ถึงเราจะทำผิดไปบ้าง แต่ก็ใช้ว่าจะโลภจนไม่ลืมหูลืมตา ไปเรียนได้แล้ว แล้วก็อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครล่ะ เดี๋ยวอายุสั้น”
“เรื่องนี้พี่ปรางรู้แค่คนเดียว ก่อนไปเรียนขอเงินกินข้าวหน่อย” เติร์ดแบมือขอเงินกับมะปรางตามนิสัย มะปรางจึงหยิบธนบัตรใบสีแดงสองใบจากกระเป๋าสะพายให้กับเติร์ดอย่างไม่เรื่องมาก
“ใช้ประหยัด ๆ ล่ะ เรื่องคืบหน้ายังไงก็มาบอกด้วย”
“จัดไปพี่ปราง”
“เดี๋ยวก่อน เด็กผู้ชายใส่แว่นที่ยืนรออยู่ตรงนั้นใครอ่ะ เพื่อนเหรอ?”
“นั่นไอ้เซนเด็กใหม่ มันดูฉลาดดีก็เลยคบเอาไว้ให้มันช่วยทำการบ้าน”
“หัวหมอนักนะ ยังไงก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
เติร์ดพยักหน้าให้มะปรางก่อนจะหันหลังเดินไปหาเซนที่ยืนรออยู่ มะปรางหยิบโทรศัพท์มือถือต่อสายหาเตชินทันที เพราะต้องการบอกเบาะแสเพิ่มเติมกับเขา
“รู้ก่อนหนูอีกแล้ว คงไม่ต้องมีหนูร่วมทีมก็ได้มั้ง” มะปรางทำสีหน้าบูดบึ้งเมื่อเตชินรู้เรื่องอุโมงค์หลังสนามเด็กเล่น ก่อนเธอไปตั้งหนึ่งวัน
“ทำไมต้องทำหน้างอนแบบนั้นด้วยล่ะ เฮียต้องการหนูมาร่วมทีมนะ มานั่งนี่มา”
เตชินปรับเบาะที่นั่งเล็กน้อย ก่อนเอื้อมมือไปดึงมะปรางที่นั่งอยู่เบาะข้าง ๆ ให้ขึ้นมานั่งบนตักแกร่งของเขาแทน เขาจูบขมับคนตัวเล็กเบา ๆ เมื่อเห็นเธอยังชักสีหน้าบูดบึ้งอยู่
“อื้อ! ถึงหนูจะรู้จักกับพี่โสหลายคนแต่หนูก็ไม่ใช่เด็กโสนะ”
“เด็กโสอะไรกัน หนูเป็นเด็กเฮียต่างหาก”
“ชอบปั่นหัวให้คนอื่นใจอ่อนอยู่เรื่อย ทะ...ทำอะไร” มะปรางอุทานด้วยความตกใจเมื่อเตชินเลื่อนนาฬิกาและสร้อยข้อมือที่ถักด้วยเชือกหลากสีขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยสักขนาดเล็กที่อยู่ตรงบริเวณข้อมือข้างซ้ายของเธอ
รอยสักนี้คือรหัสที่แสดงถึงตัวตนของเขา
ชายหนุ่มคิดไตร่ตรองอยู่นานว่าทำไมมะปรางถึงสามารถเข้าไปในห้องส่วนตัวของเขาได้ ทั้ง ๆ ที่มันต้องสแกนรหัสผ่าน ซึ่งเป็นตัวตนของเขาเท่านั้นประตูถึงจะเปิดออก
“เด็กแสบ! สักไว้นานแค่ไหนแล้ว” เขาตำหนิเด็กสาวเสียงเบา ก่อนจะเอ่ยถาม
“...” ไร้ซึ่งการตอบกลับของมะปราง เธอหันหน้าหนีเขาไปทางอื่นพลางทำหน้ามุ่ยกลบเกลื่อน ก่อนจะดึงเครื่องประดับลงมาปกปิดรอยสักเอาไว้
“ถ้าเฮียเปลี่ยนรหัสตัวตน หนูจะลบรอยสักนี้ออกไหม”
“คุณไม่สามารถเปลี่ยนได้หรอก เพราะรหัสนี้มันจะติดตัวคุณไปจนตายนั่นแหละ”
“รู้ดี”
“ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว หนูขอตัวกลับก่อน”
“จะรีบไปไหน”
“หนูจะกลับบ้าน”
“เดี๋ยวเฮียไปส่ง”
“ไม่เอา คุณแฝงตัวเป็นตำรวจอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปทำงานของคุณเถอะเดี๋ยวคนอื่นก็สงสัยเอาหรอก”
“เดี๋ยวก่อน” เตชินเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอนตอนที่มะปรางกำลังจะลุกออกไป เขารั้งใบหน้าสวยเข้ามาจูบแนบชิด
ริมฝีปากอวบอิ่มอ้ารับเรียวลิ้นที่พยายามสอดเข้ามาหยอกล้อในโพรงปาก รสจูบละเมียดละไมแปรเปลี่ยนมาดูดดื่มเร่าร้อนจนมะปรางหายใจแทบไม่ทัน เธอผละจูบออกแล้วโกยอากาศหายใจเข้าปอด เตชินดึงดันจะจูบต่อแต่มะปรางห้ามเอาไว้ได้ก่อน
“อย่าค่ะ”
“เฮียคิดถึงหนู” เขาพูดเสียงออดเสียงอ้อน
“อย่ามาอ่อยนะ เดี๋ยวรถโยก”
“เคยทำเหรอ”
“ไม่เคย แต่มั่นใจว่าทำเป็น”
“อยากลองจัง” เขาพูดจาทะเล้นใส่ มือหนาวางข้างพวงแก้มพลางเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือไปมาเบา ๆ
“น่าเสียดายที่วันนี้เมนส์หนูมา ไม่อย่างนั้นจะทำให้ร้องไม่ออก”
“ขนาดนั้นเชียว”
“ยิ่งกว่านั้นแน่นอนค่ะ” เด็กสาวจอมแก่นพูดอวดโอ้สรรพคุณตัวเองขนาดนี้ใครจะไม่อยากลิ้มลอง
กับคนอื่นมะปรางด่าเรียบ แต่กับเตชินเธอมีแต่คำหวาน ๆ หยอดใส่ หลายปีที่ต้องจากกันไป เธอตั้งปฏิญาณไว้แล้วว่าถ้าเขากลับมาอีกครั้ง เธอจะจีบเขาให้ได้
“เฮียจะรอนะ” เขาพูดแล้วดึงหน้าผากมนมาจูบอีกครั้ง
มะปรางแอบอมยิ้มไม่หุบขณะที่ขยับตัวลงจากตักแกร่ง เธอก้าวขาลงไปจากรถยนต์โดยมีเตชินยิ้มและมองตามอย่างไม่ละสายตา เขามองเธอเดินจากไปเงียบ ๆ อยู่ภายในรถ นานนับนาทีกว่าเขาจะยอมสตาร์ทรถแล้วเร่งเครื่องออกไปยังที่ทำงาน