“แง้ววว”
เสียงทักทายจากสาวน้อยหน้าหวาน นามว่า เซมิ ดังลอดออกมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนทั้งคู่ย่ำขึ้นมาบนชั้นสองของบ้าน
เซมิทั้งส่งเสียงทักและเดินนวยนาดออกมาต้อนรับน้าเบญจ์ของเธอทันทีที่ประตูห้องเปิด
“คิดถึงจังเลยลูก ...คนสวยของน้าเบญจ์”
เบญจ์อุ้มเจ้าเหมียวขึ้นไปกอดจูบด้วยความเอ็นดูในความแสนรู้ของมัน
“อีกไม่นานเราก็จะได้ไปอยู่ด้วยกันแล้วน๊า”
เหมียวน้อยขึ้นมานอนหลับตาพริ้มอยู่บนตักในทันทีที่เบญจ์นั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น แล้วเจ้าเหมียวมันก็ทอดเนื้อตัวปล่อยให้เจ้าของตักลูบหัวหู เกาคางได้เต็มที่
“แหม... ลูกสาวแม่มีความสุขจังเลยนะลูกเนี่ย”
กิ่งหลิวเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าตัวเล็กบนตักเพื่อนเบาๆ เซมิทำเสียงครางหึ่งๆ ในลำคอด้วยความพึงพอใจที่ถูกสองสาวรุมพะเน้าพะนอเอาใจ
“โห นี่กลืนเฮลิปคอปเตอร์ลงไปทั้งลำเหรอลูกเหรอ เสียงดังหึ่งๆ เชียว”
เบญจ์หัวเราะ กิ่งหลิวก็หัวเราะ
...เสียงหัวเราะที่ไม่เคยมีใครได้ยินจากห้องนี้มาก่อน ก็ดังล่องลอยมาถึงชั้นล่าง ณ มุมหนึ่งของห้องโถงบ้าน ที่ซึ่งเจ้าของบ้านกำลังทอดตัวลงนอนบนที่ของเขาโดยมีเบียร์กระป๋องอยู่ในมือเรียบร้อย เขาดื่มเบียร์อั้กๆ อย่างไม่กลัวมันหมด เพราะหิ้วมาด้วยเป็นโหลๆ และตอนนี้เบียร์เหล่านั้นนอนสงบนิ่งอยู่ในตู้เย็น รอให้เขาเดินไปหยิบมาเปิดกินได้ทั้งวัน
“คนสวยแฮปปี้สุดๆ ละซิท่า น้าเบญจ์มาหาเนี่ย”
กิ่งหลิวเกาพุงเจ้าตัวเล็ก แล้วนึกไปถึงวันที่เธอเจอมันที่ถังขยะวันนั้น เบญจ์คือคนแรกที่เธอโทรหาและบอกเล่าเรื่องของมันให้เบญจ์ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและใจสั่นระทึก...
ใครจะไปเชื่อว่า เจ้าเหมียวผอมกะหร่อง สองตาเปียกแฉะเขลอะไปด้วยขี้ตาสกปรก ขนเป็นกระเซิง หน้าตาเนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยเขม่าสีดำๆ ซึ่งเขม่าเหนียวหนับนี้ ไม่เพียงเปื้อนเลอะเทอะเจ้าเหมียวผู้น่าสงสารไปทั้งตัว มันยังไปอัดอยู่ในรูจมูก รูหู ทำให้กิ่งหลิวต้องค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออกอย่างเบามือตามคำที่เบญจ์แนะนำมาในโทรศัพท์ให้ทำตามวันนั้น จะกลายมาเป็นแมวลายสลิดที่มีลวดลายสลิดสีสันพิเศษเพริศพร้อยไปทั้งตัว ไม่เหมือนใคร
...สิ่งที่โดดเด่นสุดของสาวน้อยตัวนี้ คือ ดวงตาสีเขียวมรกตใสแจ๋วแสนสวยในทุกวันนี้นี่แหละ
“สี่ขวบแล้วซิ”
เบญจ์ถาม ทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
“ใช่ นึกถึงวันนั้นแล้วใจหายนะ ถ้าเกิดฉันเดินไปตลาดตามทางปกติ ฉันคงไม่ได้เจอเซมิ”
“ใช่ แล้วถ้าแกเกิดไม่มีสำนึกดีที่จะก้มเก็บถุงขยะนี่ที่พื้นเพื่อเอาทิ้งถังขยะ แกก็คงไม่ได้เจอลูกสาวที่น่ารักคนนี้ เนอะๆ”
เบญจ์พูดแล้วก็อุ้มเจ้าเหมียวขึ้นมาจุ้บซ้ายขวา จุ้บเสร็จก็เอาลงไปนอนตักแล้วเกาคางเหมียวต่ออย่างเอาใจ เจ้าเหมียวหลับพริ้ม ...เสียงดังครึ่ดๆ ในลำคอที่ดังอยู่แล้ว ก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีก ราวกับรับรู้และเข้าใจในเรื่องที่สองสาวนี้กำลังพูดถึงเป็นอย่างดี
กิ่งหลิวยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์วันนั้น มันเกิดขึ้นเมื่อเบญจ์และยิหวาลาออกจากงานไปแล้ว ในบ้านเช่าหลังเล็กๆ ที่ทั้งสามเคยอยู่ด้วยกันตอนนั้น เหลือเธอเพียงคนเดียวที่ยังอาศัยอยู่ที่นั่น และยังไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดในมหาวิทยาลัยนานาชาติแห่งนั้นเพียงลำพัง ทุกวัน
เธออยู่คนเดียวได้เกือบเดือนแล้ว เมื่อตอนที่ได้พบเซมิในเย็นวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันหยุดอันเงียบเหงา เธอตั้งใจจะไปนอนอ่านหนังสือที่ชายหาดเหมือนเคย พอตะวันใกล้ตกทะเลแล้วก็จะเดินไปตลาดนัดแถวนั้น เพื่อซื้อของกลับมากิน ปกติเธอจะเดินเงียบหาดไปเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด เธอถึงเดินไปตลาดนัดโดยการเดินผ่านเข้าไปในชุมชน ซึ่งดั้งเดิมเคยเป็นหมู่บ้านชาวประมง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชายหาดที่นี่กลายเป็นที่นิยมขึ้นมา มันจึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว หมู่บ้านชาวประมงก็เปลี่ยนไปเป็นร้านค้า สถานบันเทิงและบังกาโลขึ้นหนาแน่นไปจนสุดหาด
เย็นนั้น ขณะเดินไปตลาดนัดนั่นเอง ที่เธอพบถุงขยะสกปรกใบหนึ่งหล่นอยู่ที่พื้นถนน บริเวณหน้าถังขยะขนาดใหญ่สามสี่ถังที่วางเรียงกันอยู่นั่น เธอจึงก้มลงเก็บ เพื่อที่จะเหวี่ยงถุงนั้นลงถังขยะ แต่เมื่อเธอหิ้วถุงนั้นขึ้นมาดู ความรู้สึกบางอย่างบอกเธอว่า ควรเปิดถุงนั้นออกดู
...แวบหนึ่ง ที่กิ่งหลิวคิดไปว่าในนั้นอาจจะเป็นทารกหรืออะไรสักอย่าง ที่ยังไม่น่าจะถูกทิ้งลงถังขยะ
หญิงสาวจึงนั่งยองๆ และเปิดถุงใบนั้นดูด้วยความเร่งรีบ... สิ่งที่เธอพบในนั้นเองที่ทำให้เธอใจหายวาบ และใจสั่นตึกตักในเวลาต่อมา
“...เบญจ์ ฉันเจอลูกแมว ตัวมันเล็ก...เล็กมาก น่าจะสักเดือนสองเดือน ไม่รู้มันตายหรือยัง มีคนเอามันใส่ถุงมาทิ้งถังขยะข้างตลาดริมหาดนี่แน่ะ สงสัยมันกระโดดออกมาจากถังมั้ง ฉันว่ามันคงอยู่ในถุงนี้นานแล้วล่ะแก แล้วน่าจะดิ้นจนหมดแรง ...ไม่เห็นมีแผล บาดเจ็บอะไรตรงไหน”
จำได้ว่าเธอรีบกดมือถือถึงเบญจ์ คนๆ เดียวและคนแรกที่เธอนึกถึงเมื่อเจอสิ่งที่อยู่ในถุงนั้น ด้วยมือไม้สั่นอันสั่นเทา
“ใจเย็นๆ แก ช้าๆ ค่อยๆ ทำ อย่าให้มันตกใจจนช็อก แกลองดูที่พุงมันซิ พุงขยับไหม เอานิ้วอังรูจมูกมันดู หรือไม่ก็เอาหูแนบหน้าอกมันก่อน ฟังเสียงหัวใจมันเต้น”
กิ่งหลิวรีบทำตามที่เพื่อนบอก เธอได้ยินเสียงของชีวิตดังเบาๆ มาจากโพรงอกของเจ้าเหมียวน้อย
“มี...มีเบญจ์ มันยังหายใจอยู่ ทำไงต่อละแก”
“ค่อยๆ อุ้มมันกลับไปที่ห้องแกก่อนเลย อย่าให้มันกระทบกระเทือนหรือตกใจมากนะแก ค่อยๆ เดินนะ กิโลเดียวเอง เอางี้ ฉันว่าแกอุ้มมันแล้วเดินไปเรียกพี่วินที่หน้าตลาดดีกว่า”
กิ่งหลิวรีบทำตามอย่างว่าง่าย เธอช้อนเอาเจ้าเหมียวน้อยลงนอนในผ้าที่เธอเอามาปูนอนชายหาด แล้วห่อตัวมันไว้ในนั้น ระวังไม่ให้มันหายใจลำบาก ขณะอุ้มมันไปที่วินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งพอพวกนั้นเห็นสภาพเธอแล้วเจ้าเหมียวก็พากันมามุงดู และให้คำแนะนำต่างๆ นานา บ้างก็ว่าให้พามันไปที่คลินิคสัตว์ที่ถนนใหญ่
“เลี้ยงแมวเป็นเหรอเรานะ อุ้มกลับบ้านแบบนี้มันตายเลยนา”
“เอาไปหาหมอเหอะ ยังงี้ต้องให้หมอฉีดยาให้ เป็นโรคอะไรหรือเปล่าไม่รู้เนี่ย”
“เอากลับไปบ้านไม่รอดหรอกหนู”
ไทยมุง รุมให้คำแนะนำ จนพี่วินคนที่เป็นคิวจะมาส่งเธอที่บ้านเช่าต้องบอกว่า ...พอได้แล้ว
เมื่อพี่วินคนนี้ มาส่งกิ่งหลิวและเจ้าแมวน้อยถึงบ้านแล้ว เธอก็ยังให้เขาวิ่งออกไปซื้อของบางอย่างตามที่เบญจ์สั่งมา
...สลิงค์ฉีดยา น้ำนมแพะ ผงเกลือแร่ อาหารเปียกอาหารเม็ดของลูกแมว...
จากนั้น กิ่งหลิวก็ทำตามที่เบญจ์แนะนำ ลองเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำป้ายไปที่ปากของเจ้าตัวเล็ก คอยลุ้นจนมันแลบลิ้นออกมาเลียน้ำ ซึ่งก็ใช้เวลานานพอดู จนเมื่อมันแลบลิ้นออกมากิ่งหลิวก็แทบจะไชโยโห่ร้อง เธอเช็ดหน้าเช็ดตามันจนหมดจด แล้วค่อยๆ บรรจงเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ลูกแมวอย่างเบามือที่สุด นิ่มนวลที่สุด คอยพูดกับมันเหมือนแม่พูดกับทารกตัวแดงๆ เมื่อเช็ดจนเกลี้ยงเกลาแล้วก็ห่อตัวมันด้วยผ้าสะอาดให้เนื้อตัวอบอุ่น
ไม่นานนักพี่วินก็กลับมาพร้อมของที่เธอสั่ง กิ่งหลิวจ่ายค่าโดยสารพร้อมกับขอบคุณเขาแล้ว เธอก็หันมาดูแลเจ้าตัวเล็ก โดยทำตามอย่างที่เบญจ์บอกทุกขั้นตอน
...ให้อุ้มเจ้าตัวเล็กไว้แนบอก เหมือนแม่อุ้มทารก แล้วคอยพูดกับเหมียวให้มันชินกับน้ำเสียงและบรรยากาศในห้อง จากนั้นก็ให้เอาผงเกลือแร่ผสมน้ำอุ่นแล้วค่อยๆ ใช้สลิงค์หยดป้อนทีละหยดๆ ไปเรื่อยๆ
“ป้อนให้มันมีแรงก่อน ต่อไปถ้ามันยอมกินแกก็ไม่ต้องเหนื่อยใช้สลิงค์แล้ว ถ้ามันเริ่มมีแรงดิ้น แกลองเทนมแพะใส่ชามให้มันกินนะ ถ้ามันหิวมาก มันก็จะเลียกินเอง ค่อยๆ เทให้กินนะ อย่าเพิ่งให้กินเยอะ อีกสักชั่วโมง สองชั่วโมงก็ค่อยเทให้กินใหม่อีกรอบ ส่วนอาหารเปียกกับอาหารเม็ดค่อยเทให้หลังจากที่มันมีแรงเดิน แรงวิ่งแล้ว มันร้องขออาหารแกกินเมื่อไรค่อยเทใส่ชามให้มันกิน”
กิ่งหลิวทำตามที่เพื่อนบอกอย่างว่าง่าย ส่วนเจ้าเหมียวเมื่อมันได้กินอิ่ม มีที่นอนอุ่นๆ ได้อยู่ในที่ที่มันรู้สึกปลอดภัยและเชื่อใจว่าคนที่พูดกับมันเพราะๆ นี้จะดูแลมันได้
พอมันส่งเสียง “แง้ว” แรกดังขึ้นมา กิ่งหลิวก็รู้แล้วว่า มันต้องการอาหาร
และเมื่อเธอให้มันกิน เจ้าแมวน้อยก็กินอย่างบ้าคลั่ง เทให้เท่าไรก็หมด จนเธอต้องคอยระวังไม่ให้มันกินเยอะจนเกินไป ...
ในที่สุดร่างกายมันก็ค่อยๆ ฟื้นฟูตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ และกลายเป็นแมวสาวที่เติบโตและแข็งแรงอยู่กับกิ่งหลิวมาจนถึงทุกวันนี้
“ถ้าฉันเชื่อคนพวกนั้นแล้วพามันไปหาหมอ มันจะรอดมาถึงทุกวันนี้เหมือนที่เราทำกันมาไหมเบญจ์”
กิ่งหลิวถามขึ้น ขณะที่เบญจ์เอาเจ้าตัวเล็กขึ้นจากตักแล้วแกะขนมแมวป้อนมัน เซมิกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย กินไปส่งเสียงครึ่ดๆ ไปด้วยอย่างพึงใจและมีความสุขที่สุดแล้ว
“ก็ไม่แน่ ถ้ามันดวงไม่ถึงที่ตายมันก็อาจจะรอดนะ ดีที่ว่าเซมิไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แค่หมดแรงและตกใจเฉยๆ ...แต่ฉันเชื่อประสบการณ์ของฉันเอง ไม่ต้องว่าลูกแมวหรอก แมวโตๆ ก็เหมือนกัน ถ้าถูกมัดแน่นให้อยู่ในถุงก้อปแก้ปแล้วมีคนเอามันไปทิ้งถังขยะแบบนั้น มันก็ทั้งช้อกทั้งเครียดอยู่แล้ว ขืนเอาไปส่งให้หมอที่คลินิค ที่นั่นมีแต่แมวหมาป่วย แมวมันได้กลิ่นยา กลิ่นเลือดมัน กลิ่นพวกเดียวกันที่ทั้งคราง ทั้งร้องโหยหวนเจ็บปวด ป่วยไข้ มันก็ต้องช็อกแล้วแหละแก สำหรับแมวแล้ว ที่กินที่อยู่ที่ปลอดภัยย่อมสำคัญต่อชีวิตมันที่สุด”
“อืมม ...ที่ที่ปลอดภัย เออ แมวนี่ก็เหมือนคนเลยนะ อะไรนะ ...คับที่อยู๋ได้ คับใจอยู่ยาก ฮ่าๆ”
“ก็ประมาณนั้น เออ แกลองชิมขนมที่ฉันซื้อมาฝากซิ อันนี้อร่อยดี ฉันชิมมาแล้ว แกต้องชอบแน่ๆ”
เบญจ์เชิญชวนแล้วชายตาไปที่ถุงขนมนั้น กิ่งหลิวจึงหยิบขนมมาจากถุงใบย่อมที่เพื่อนเอามาฝากแล้วหยิบออกมาส่งให้เพื่อนชิ้นหนึ่งและตัวเองอีกชิ้นหนึ่ง ทั้งคู่ต่างแกะกินแล้วแลกกันชิมอย่างมีความสุข ด้วยท่าทีอันแสนร่าเริงบันเทิงใจ...
ในขณะที่คนก็กินขนม แมวก็กินขนม พลางพูดคุยกันสรวลสันต์ฮาเฮ ในห้องชั้นบนของบ้านเวลานี้จึงมีแต่บรรยากาศของความสบายใจและเป็นสุข ...เสียงหัวเราะหัวใคร่ เสียงพูดคุยกันงึมๆ งำๆ ที่ดังมาจากบนบ้านเวลานี้นั้น ทำให้เจ้าของบ้านที่ได้นั่งได้นอนดื่มเบียร์มาเป็นกระป๋องที่สี่เข้าไปแล้วในขณะนี้ ตัดสินใจได้แล้วว่า มันคงถึงเวลาที่เขาจะต้องจัดการอะไรบางอย่างให้เด็ดขาดได้แล้ว
มิเช่นนั้น ...เขาจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างอมทุกข์เช่นนี้ต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุดเป็นแน่