“ดอกเตอร์กาล หรือที่ใช้ชื่อสากลว่า ดอกเตอร์ทาม ท่านได้กล่าวไว้ว่า... ทุกครั้งที่มีผู้สร้างสรรค์งานเขียนขึ้นมาหนึ่งเรื่อง โลกคู่ขนานหรือโลกแห่งจินตนาการก็จะถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกัน ตัวละครที่นักเขียนนักประพันธ์ได้สรรค์สร้าง มีชีวิตอยู่จริงในโลกของนิยาย เรื่องนี้สอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าเอกภพที่เราอาศัยอยู่ อาจไม่ได้เป็นเพียงเอกภพเดียว ในความเป็นจริงเอกภพมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เกิดขึ้นและสลายไปอยู่ตลอดเวลา แนวคิดนี้อาจจะเชื่อยาก แต่มีหลักการทางฟิสิกส์ที่ถูกต้องอยู่เบื้องหลัง การมีอยู่ของเอกภพที่หลบซ่อนตัวอยู่มีความเป็นไปได้มากกว่าไม่มี การมีอยู่ของโลกนิยายก็เช่นกัน...”
“แลดูเพ้อเจ้อเนอะ เอกภพซ้อนเอกภพเป็นพหุภพ โอ๊ยเจ้หัวจะปวด” จันจ้าวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ สองมือกุมขมับด้วยอาการปวดศีราะขนาดหนัก
เนื่องจากว่าวันนี้ฤทธิ์งามยามดี นักเขียนแสนสวยทั้งสี่ชวนกันไปทำบุญไหว้พระในรอบหนึ่งปี สาว ๆ ขอพรให้ยอดขายผลงานปัง ๆ แสนเล่มล้านเล่ม จากนั้นจึงนัดแนะกันไปกินดื่มสังสรรค์ฉลองปีใหม่กันต่อ กว่าจะพากันกลับก็ดึกดื่นมืดค่ำ เสียงเพลงในรถดังคลออยู่อย่างต่อเนื่อง
“มันก็น่าเหลือเชื่อจริง ๆ นั่นแหละเจ้จ้าว บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์มาหลายปีแล้ว แต่ทำไมเพิ่งมาเป็นกระแส” ดีน่าอ่านบทความในไอแพดแล้วก็นึกสงสัยอยู่คนเดียว เธอไม่ลดละความพยายามที่จะค้นหาบทความอื่น ๆ มาอ่านต่อด้วยความอยากรู้ตามประสาเด็กวิทย์ “ดอกเตอร์กาลยังเคยให้สัมภาษณ์ว่าเมื่อปี พ.ศ. 2542 คุณย่าของเขาที่เป็นถึงนักเขียนระดับตำนานเคยหลุดเข้าไปในโลกของนิยาย...”
“หยุด! หยุดเลยนะดีน่า เจ้ไม่อยากฟังแล้ว” แก้มใสเอ่ยขัดจังหวะบ้าง เรื่องของคนอื่นเอาไว้ก่อน สิ่งที่เจออยู่ตอนนี้แลน่ากังวลกว่าเป็นไหน ๆ
“เจ้แก้ม...”
“เจ้ปวดหัวมากเลยนะ เมื่อกี้ไปเช็คทวิตเตอร์มานักอ่านรวมตัวกันจะลงขันเจ้แล้ว”
“ไปทำอะไรให้นักอ่านโกรธล่ะเจ้” เซญ่าทวงถามขึ้น มือข้างหนึ่งลดเสียงเพลงในรถลง
“ก็ดันไปฆ่าตัวละครที่นักอ่านรักไงเล่า ใครจะไปคิดวะว่านักอ่านจะโมโหแรงเบอร์ขนาดนี้”
“ก็ดีแล้วนี่เจ้ ยิ่งเป็นกระแสนิยายก็ยิ่งดัง ขนาดนิยายหนูโดนด่าสาปไปสามชาติเจ็ดชาติหนูยังไม่สะเทือนเลย” ดีน่ากล่าวด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ โดนนักอ่านด่าเป็นเรื่องปกติ ไม่สะเทือนจิตเธอสักนิด ถ้าหากว่างานขายไม่ออกนี่สิถึงจะมีผลต่อชีวิตประจำวัน
“นิยายน้ำเน่าจบห่วยขนาดนั้นก็สมควรโดนด่าแล้วไหมละ” เซญ่ากึ่งแซวกึ่งกระแหนะกระแหนเพื่อน
“นิยายน้ำเน่าของฉันนี่แหละยะที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า นิยายอิหยังวะแบบแกคงไม่มีวันเข้าใจ”
“เอาที่สบายใจเลยจ้า” เซญ่าหันมาตอบพลางมองบนด้วยความหมั่นไส้ไปหนึ่งกรุบ ก่อนจะหันกลับมาขับรถต่ออย่างตั้งใจ
“ตราบใดที่นิยายน้ำเน่ายังขายดี ดีน่าก็จะเขียนพล็อตนี้จนสิ้นชีพ” นักเขียนสาวเอ่ยอย่างตั้งมั่นตั้งใจ ก่อนจะก้มดูบทความที่อ่านค้างไว้ ที่จริงเธออยากจะเปลี่ยนแนวเขียนอยู่หรอกนะ แต่เอาไว้ก่อนดีกว่า
“อย่างน้อยทุกคนก็เขียนนิยายกันจบจนได้ฟีดแบคกลับมา ส่วนเจ้นี่อะไร๊ นิยายยังไม่จบเลย นักอ่านก็จะเทซะแล้ว” คนอายุเยอะสุดในบรรดานักเขียนทั้งสี่ว่าอย่างตัดพ้อ
“ขม ๆ แบบนั้นใครจะทนอ่านกัน ถามจริงนั่นนิยายหรือบอระเพ็ด ขมจัด” แก้มใสหันหลังไปพูดกับจันจ้าวอย่างตรงไปตรงมา เรียกเสียงหัวเราะให้น้องนักเขียนอีกสองคนที่อยู่ในรถคันเดียวกัน
“ก็ถนัดแบบนี้นี่หว่า”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เป็นเซญ่าที่ส่งเสียงหัวเราะดังกว่าทุกคน ซ้ายมือของเธอยกโทรศัพท์มาดูรีวิวของนักอ่าน หลังจากที่มันสั่นระรัวอยู่ภายในกระเป๋าเสื้อนานสองนาน “ตอนจบอีหยังวะสุด ๆ สรุปเรื่องนี้จบยัง?”
ขณะที่เซญ่าขับรถด้วยความประมาท ดวงไฟสีขาวนวลพุ่งลงมาจากท้องฟ้ากว้างอันมืดครึมด้วยความเร็ว ราวกับอุกกาบาตกำลังตกลงสู่พื้นโลก
“แสงอะไรวะนั่นเจ้จ้าว” ดีน่าหันไปสะกิดบอกคนข้าง ๆ คงไม่ใช่เธอคนเดียวที่เห็นดวงไฟนั่นหรอกใช่ไหม มันจ้าจนแสบตาเลย
“เจ้ก็ไม่รู้ ตาเจ้มันเบลอ ๆ” จันจ้าวขยี้ตาเพ่งมองไปข้างหน้า เพียงไม่นานเกินอึดใจ ดวงตาของเธอก็โฟกัสภาพได้ชัดขึ้น เป็นเวลาเดียวกับที่แสงไฟปริศนาพุ่งเข้ามาใกล้
“ระ…ระวัง!” จันจ้าวกับดีน่าที่นั่งอยู่เบาะหลังตะโกนขึ้นพร้อมกัน ส่งผลให้เซญ่าที่กำลังหัวเราะกับคอมเมนต์นักอ่านและแก้มใสที่นั่งเหม่อลอยอยู่ข้างคนขับหันไปมองทางข้างหน้าตามสัญชาตญาณ
กรี๊ดดดดด!
เซญ่าพยายามหมุนพวงมาลัยรถหักเข้าข้างทางพร้อมกับเหยียบเบรก แต่มันก็ยากเกินกว่าที่เธอจะควบคุมไหว ส่งผลให้ยานพาหนะที่เคลื่อนตัวอยู่บนเส้นทางเปลี่ยวพลิกคว่ำและลากไชไปกับถนนลานยางอย่างรุนแรง
ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย แสงสีขาวสว่างวาบพุ่งกระทบเข้ากับม่านตาของนักเขียนทั้งสี่ พลันดึงดวงจิตแต่ละดวงให้หลุดลอยออกไป
เอี๊ยดดดด! โครมมมม!
ตอนแรกมาแย้วค๊าบ
ฝากนุ้งดีน่าด้วยน๊า จากนี้ไปน้อนสู้ชีวิตมาก 55555