ตอนที่4 พี่ชายแสนดี

1926 คำ
หลังเลิกเรียน ณภัทรยังไม่คิดกลับบ้าน เธอต้องการหางานพิเศษทำสักอย่างตามวิสัย แต่การนั่งรถเมล์ดูจะไม่สะดวกเท่าไหร่ จึงคิดเรียกวินมอร์เตอร์ไซค์เพื่อนั่งออกไปโบกแท็กซี่หน้าปากซอย จากนั้นค่อย ๆ ถามหางานทีละแห่ง ทว่าแค่เดินออกจากอาคารเรียนแต่ยังไม่ทันก้าวเท้าออกนอกอาณาเขตของคณะอักษรศาสตร์ รถยุโรปสีขาวก็มาจอดเทียบตรงทางเดินฟุตบาท ณภัทรย่อมจำได้ว่าเป็นรถของใคร หญิงสาวเห็นอีกฝ่ายลดกระจกลง ส่งสายตาออกคำสั่งว่าให้เข้าไปนั่งในรถแต่โดยดี คนอย่างณภัทรซึ่งเปลี่ยนใจไม่อยากเสียค่าแท็กซี่แล้วจึงรีบขึ้นรถทันทีไม่มีปฏิเสธ ทั้งยังไม่ลืมคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย สาวน้อยแก้มใสยิ้มแฉ่งแข่งกับแสงตะวันอย่างพึงพอใจ “ดีจัง พี่รัชเลิกเรียนพร้อมภัทรเลย” นิรัชแอบยิ้มมุมปากนิดๆ แทบมองไม่เห็น ได้ยินอีกฝ่ายออกปากขอร้องพร้อมท่าทางออดอ้อนแบบลืมตัวว่า “ไปส่งภัทรสมัครงานพิเศษหน่อยได้มั้ยคะ” ชายหนุ่มไม่ตอบแต่ถามกลับขณะหมุนพวงมาลัยรถยนต์ “จะสมัครงานอะไร พนักงานร้านสะดวกซื้อหรือ?” อีกคนส่ายหน้า เธอไม่สะดวกทำงานเข้ากะกลางคืนแล้ว นิรัชถามอีก “พนักงานฟาดฟู๊ดเหรอ ในห้างใกล้บ้านก็พอมี ไปดูที่นั่นก่อนไหม? เธอไม่ควรหางานไกลบ้านมากเกินไป” “ไม่ๆ” ณภัทรโบกมือปฏิเสธ “งานพวกนั้นภัทรเคยทำแล้ว กลับดึกมาก ยิ่งร้านสะดวกซื้อบางทีต้องควบกะแทนเพื่อนร่วมงาน ภัทรเคยทำช่วงปิดเทอม ต้องอดนอนแทบช็อคตายเลยล่ะ ยิงยาวจากแปดชั่วโมงเป็นสิบสองชั่วโมง ช่วงนี้เปิดเทอมอยู่ ทำไม่ได้หรอก เดี๋ยวไม่มีเวลาอ่านหนังสือเรียน” ณภัทรอธิบายยาวเหยียด ส่งเสียงหวานใสไปตลอดทาง เนื่องจากยังไม่พ้นอาณาเขตมหาวิทยาลัย นิรัชจึงไม่ถามอะไรอีกเพียงขับรถอย่างช้า ๆ ชายหนุ่มต้องการมีเวลาอยู่กับณภัทรสองต่อสองได้นานขึ้น เพราะทันทีที่กลับถึงบ้าน พวกเขาก็ต้องแยกย้ายเข้าห้องใครห้องมัน โอกาสใกล้ชิดกันหายากเต็มทน ขณะกำลังรู้สึกตัวว่าตนเองคล้ายนั่งรถเล่นชมวิวมากกว่าจะไปหางานพิเศษทำ ณภัทรจึงรีบบอกสถานที่ที่เธอต้องการทันที เพราะถ้าขืนชักช้า เผื่อว่ามีคนอื่นที่คิดหางานพิเศษทำแบบเธอไปสมัครตัดหน้า โอกาสที่เธอจะได้งานก็จะลดลงไปด้วย เมื่อรู้สถานที่ที่น้องสาวต้องการ พี่ชายก็ทำหน้าที่สารถีอย่างดีเยี่ยม เพียงไม่นานก็ขับรถมาจอดหน้าตึกสองคูหาที่ตกแต่งคล้ายสำนักงานแห่งหนึ่ง ณภัทรคิดไม่ถึงว่านิรัชจะลงมาพร้อมกับเธอ ทำท่าเดินเคียงกันอีกต่างหาก คิดจะเอ่ยปากบอกว่าไม่ต้องลำบากเข้าไปส่ง คนตัวสูงกลับเดินลิ่วๆ เข้าด้านในอย่างกับว่ามาสมัครงานเอง ทันทีที่วิชัยได้ฟังจากปากลูกชายว่าเขาจะทำงานพิเศษ ความรู้สึกตกใจก็ท่วมท้น “แกเนี่ยนะเจ้ารัช จะทำงานพิเศษ” คนถูกปรามาสกลางโต๊ะอาหารมื้อเย็นยังคงความนิ่งขรึมให้ค้างเติ่งบนใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ พลางตอบเสียงเรียบ “เทอมหน้าผมถึงจะได้ออกฝึกงาน เทอมนี้จึงทำงานพิเศษได้อยู่แล้วครับพ่อ” วิชัยดื่มน้ำเข้าไปอึกหนึ่งด้วยเกรงว่าตนจะสำลักกับข้าวที่เพิ่งเข้าปาก ก่อนขมวดคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อ “ประเด็นไม่ใช่เรื่องนั้น แต่คุณชายรักสบายอย่างแกเนี่ยนะจะทำงานพิเศษ” นิรัชไม่ตอบอะไรอีก เพียงรับประทานอาหารเงียบๆ บ้านของเสี่ยวิชัยทำธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ ฐานะค่อนข้างร่ำรวย เงินทองมีมากมาย นิรัชจึงไม่เคยขาดอะไร ความคิดที่จะทำงานหาเงินพิเศษด้วยตนเองจึงไม่เคยเกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว วิชัยก็ไม่ได้คิดจะขัดขวางหรืออะไร เขาเพียงแค่รู้สึกตกใจเท่านั้น “พ่อไม่ห้ามแกทำงานหรอก แต่แน่ใจเหรอว่าจะทำงานนี้” งานนี้ที่ว่าก็คืองานแปลภาษาหนังสือวิชาการ ซึ่งคนอย่างนิรัชไม่ใช่พวกหนอนหนังสือและไม่ได้เรียนคณะอักษรศาสตร์เหมือนณภัทร แม้ว่าณภัทรจบมาจะทำงานด้านโรงแรมช่วยธุรกิจครอบครัวได้เช่นกัน แต่นิรัชเรียนคณะบริหารธุรกิจ กอปรกับสาขาที่เรียนล้วนเกี่ยวข้องกับการเป็นผู้นำและผู้บริหาร วิชัยให้รู้สึกว่ามองอย่างไร งานแปลภาษาหนังสือวิชาการก็ไม่เข้ากับลูกชายคนนี้ เมื่อถูกบิดาบังเกิดเกล้าปรามาสไม่จบไม่สิ้น นิรัชจึงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา เขาถึงขั้นหยุดกินข้าว วางช้อนและส้อม เปิดปากอธิบายว่า “ถึงแม้ผมจะไม่ถนัดงานแปลภาษาตำราวิชาการ แต่เรื่องภาษาผมไม่ด้อยแน่นอน อีกอย่าง งานคอมพิวเตอร์ผมเองก็ถนัด ส่วนโปรแกรมทางด้านพิมพ์งานเอกสาร ผมยังใช้ความเร็วการพิมพ์ร้อยเจ็ดสิบอักษรต่อนาที” นั่นคนหรือเทพหัตถา? วิชัยถึงกับอึ้งในความสามารถนี้ของลูกชาย เหตุผลทั้งหมดนี้นับว่าเหมาะสมกับงานพิเศษไม่มากก็น้อย วิชัยจึงมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยสายตาชื่นชมเต็มที่ แต่ชายวัยกลางคนก็ยังไม่เข้าใจในตัวลูกชายของตนอยู่ดี ว่าเหตุใดจู่ ๆ เจ้าหนุ่มคนนี้ถึงอยากทำงานพิเศษแบบนั้น หรือว่ากำลังแอบไปชอบนักเขียนสาว ๆ ที่ไหน? วิชัยยังคงสงสัยไม่คลาย จึงขมวดคิ้วจ้องมองลูกชายอย่างไม่ไว้วางใจ ลินดาที่เพิ่งกลับจากดูแลให้แม่ครัวตักขนมหวานเข้ามาเสริมหลังจากอาหารคาวบนโต๊ะถูกจัดการจนพร่อง บังเอิญได้ยินบทสนทนาของสองพ่อลูกก็เหลือบตามองลูกสาวที่กำลังตั้งอกตั้งใจกินข้าวอย่างกับกลัวว่าใครจะมาแย่งกิน เธอเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันเกี่ยวกับงานพิเศษของลูกสาวกับลูกเลี้ยง แต่ความสงสัยนั้นถูกตัดออกไปเพราะวันนี้เธอเตือนณภัทรแล้วว่าอย่ากินข้าวเยอะ ประเดี๋ยวเป็นโรคอ้วนจะลำบาก เธอถึงขั้นกำชับว่าการไม่รักษาร่างกายตัวเองให้แข็งแรงตลอดเวลาย่อมนำพาการสูญเสียเงินทองไปกับการหาหมอโดยไม่จำเป็น แต่กลับเป็นอย่างที่เห็น ไม่มีการตอบรับใด ๆ ทั้งสิ้น ลูกสาวของเธอยังคงก้มหน้าก้มตากินต่อไปอย่างไม่ยอมเงย ราวกับต้องการเพิ่มน้ำหนักตัวให้อ้วนท้วนขึ้นมาภายในคืนเดียว ในขณะที่พี่ชายอย่างนิรัชกำลังออกหน้ารับทุกความสงสัยอย่างสงบนิ่ง ณภัทรที่ไม่คิดจะรับผิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทั้งหมดก็ได้แต่กินข้าวจนแน่นจุกท้องไปหมด ความจริงก็คือแม้เธอจะมีพื้นฐานทางด้านภาษาค่อนข้างดี ทั้งจีน อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งเศส เธอได้หมด แต่ความสามารถด้านการพิมพ์สัมผัสยังอยู่แค่เกณฑ์ธรรมดา เรียกได้ว่าพิมพ์เร็วในระดับพื้นฐานผ่านงาน ทั้งนี้เงื่อนไขคือเธอยังเพิ่งเข้าเรียนแค่ปีหนึ่งวันแรกเท่านั้น ความน่าเชื่อถือค่อนข้างน้อยมากๆ ทางสำนักงานจึงให้เธอรอรับการพิจารณาไปก่อน ซึ่งนั่นหมายความว่าหากมีคนที่ดีกว่าก็พร้อมจะเขี่ยเธอทิ้ง แม้เธอจะมีลิสต์งานพิเศษที่มาร์คไว้หลายที่หลายทางให้เลือกสรรและสำนักงานแห่งนี้ยังเป็นเพียงหน้าม้าเป็นนายหน้าจัดหานักแปลภาษาให้เอเจนซี่เท่านั้น ทว่าเธอก็ยังอยากได้งานนี้มากจริง ๆ เพราะสอบถามจนรู้มาว่าเขารับงานแปลให้เอเจนซี่ต่างประเทศด้วยและสามารถรับงานมาทำที่บ้านได้อย่างสบาย ๆ ไม่ต้องไปยืนขาแข็งและเสี่ยงอันตรายด้วยการกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ ที่สำคัญลักษณะงานค่อนข้างตรงกับวิชาที่เธอเลือกเรียน ช่วยเสริมประสบการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม แต่เมื่อถูกปฏิเสธแบบอ้อมๆ เช่นนั้นเธอก็ได้แต่ทำใจ จำต้องเดินกลับออกไปพร้อมความผิดหวังบนใบหน้าเต็มเปี่ยม สุดท้ายก็ได้พี่ชายอย่างนิรัชเข้าไปสมัครงานแทน เขาเจรจาของานทำเป็นทีมเวิร์คแบบสองคน กำหนดระยะเวลาส่งงานแปลในแต่ละโปรเจ็กต์เร็วกว่าที่สำนักงานจำกัดสามเท่า จากนั้นยังเสนอค่าจ้างต่ำกว่าที่สำนักงานตั้งไว้สำหรับสองตำแหน่งเล็กน้อยอย่างสมเหตุสมผล คนได้งานตรงกับสาขาที่เรียน ผู้ว่าจ้างได้งานชัวร์ที่เร็วขึ้น ระหว่างเจรจายังหันมาถามเธอว่าสะดวกแปลให้ผู้จัดการดูสักเล็กน้อยก่อนไหม เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ แน่นอนว่าณภัทรค่อนข้างมั่นใจในฝีมือการแปลภาษารวมถึงเรียบเรียงประโยคด้วยสำนวนตำราหรือต่อให้เป็นการเล่นคำรูปแบบต่าง ๆ เธอก็สามารถทำได้ เพราะเธอเป็นคนชอบอ่านชอบเขียน ชอบสะสมคำศัพท์สำหรับงานแปล ชอบเขียนนิยายออนไลน์ขายได้ค่าขนมอยู่บ่อยๆ ทั้งยังเคยแปลนวนิยายต่างประเทศอ่านเองเป็นประจำ เคยรับงานแปลให้เอเจนซี่สมัครเล่นแบบขำๆ ไม่เคยได้เงินเป็นกอบเป็นกำ เพียงแต่เคยแปลแบบฟรีๆ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปวันๆ ยังเคยช่วยงานอาจารย์ระดับมัธยมตลอดระยะเวลาที่เรียนสถาบันเดิม ไม่ว่าจะเป็นการแปลหนังสือที่ใช้เป็นบทเรียนรู้ในภาควิชาการบริหารและมาร์เก็ตติ้ง แปลงานวิจัย แปลภาษาทางวรรณคดี บทความทางวิชาการ เพื่อประกอบการเรียนการสอน หากมีเวลาว่างก็จะหาบทความในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารต่างประเทศ เอกสารทางการเมืองและเอกสารเกี่ยวโยงกับกฎหมาย จดหมายโต้ตอบต่างภาษามาลองแปลเล่นๆ ทั้งหมดไม่ใช่พรสวรรค์แต่มันคือสิ่งที่เรียกว่าใจรักพร้อมหมั่นเพียร เป็นความชื่นชอบนอกหลักสูตรการเรียนภาคปกติ เธอจึงพยายามศึกษานอกตำราและแม่ก็สนับสนุนเต็มที่ ต่อให้ชีวิตแต่ละวันลำบากยังไง แม่ก็จะพยายามทำงานหนักขึ้นเพื่อส่งเสียให้เธอได้เรียนและทำในสิ่งที่ชอบมาโดยตลอด ตั้งแต่จำความได้แม่มักจะลงทุนกับการศึกษาให้เธอโดยไม่เกี่ยง ดังนั้นงานภาษาที่มีพรสรรค์และชอบอย่างที่สุดเป็นทุนเดิม เธอจึงเคยผ่านมาหมดถึงแม้จะไม่มากเหมือนมืออาชีพก็ตาม ครั้นเมื่อนายจ้างยอมตกลงให้เธอลองแปลโชว์เดี๋ยวนี้ ผลการพิจารณาจึงออกมาทันที คือเธอทำได้ดี เป็นที่น่าพอใจ เพียงแต่ความเร็วในการพิมพ์เพื่อให้งานสามารถส่งได้ก่อนกำหนดเวลาที่วางไว้ว่าจะเร็วกว่าสามเท่ายังคงเป็นปัญหา พี่ชายผู้ที่กลายร่างเป็นผู้บริหารคล้ายเข้ามาเจรจาการร่วมหุ้นธุรกิจรายใหญ่ไม่ใช่มาสมัครงานพิเศษผู้นี้จึงโชว์สกิลการพิมพ์ โดยการให้เธอแปลหนังสือเป็นคำพูดพร้อมสำนวนที่ถูกต้อง เธอพูดไปเรื่อย ๆ ด้วยจังหวะปกติไม่ได้เชื่องช้าสักเท่าไร ส่วนเขานั่งพิมพ์ใส่คอมพิวเตอร์ด้วยความเร็วสูงชนิดมองนิ้วเรียวที่รัวเร็วลงบนแป้นคีย์บอร์ดแทบไม่ทัน งานพิเศษจึงได้มาพร้อมกันด้วยวิธีนี้นั่นเอง ขณะคิด ณภัทรก็อยากจะเอาหน้ามุดเข้าไปในจานข้าวเหลือเกิน ทว่าในความอับอายเธอยังมีความทึ่งในตัวพี่ชาย เขาสมัครงานแบบฮาร์ดคอร์อย่างนี้ก็ได้เหรอ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม