“ผม... เอ่อ... ”
นายอัศวินกลืนน้ำลายแห้งผากลงลำคออย่างฝืดฝืน ความจุกแน่นแล่นร้าวอยู่ในอก
“เร็ว... จะเอายังไงก็ว่ามา ฉันไม่มีเวลารอนาน... แต่ถ้าคิดว่ามันไม่คุ้มกับการให้ลูกสาวนายมาอยู่กับฉันหนึ่งเดือนแล้วได้บ้านพร้อมที่ดินคืนไปก็ไม่เป็นไร... ฉันจะคิดว่าเราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้”
คาร์สันเริ่มบีบคั้นหัวใจของศัตรู และการรุกคืบของเขาได้ผล
“ดะ... เดี๋ยวครับพ่อเลี้ยง”
ชายหนุ่มทำท่าว่าจะลุกหนี
“ว่าไง”
“เอ่อ... ได้ครับได้... ตกลง”
“ดี... งั้นพรุ่งนี้ฉันจะส่งรถมารับลูกสาวนาย”
กล่าวเอาไว้เพียงเท่านั้นร่างสูงใหญ่เกินกว่าร้อยแปดสิบเซนมิเมตรก็เดินจากมาโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมองชายผู้สูงวัยกว่าที่กำลังนั่งน้ำตาซึม ร่างกายเหมือนจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้
‘เป็นความผิดของพ่อเอง... ฮือๆ พ่อขอโทษนะลูก ที่ก่อเรื่องจนทำให้เรื่องราวเลวร้ายลงขนาดนี้’
นายอัศวินรำพึงอยู่ในความคิดเพียงลำพัง ได้แต่นั่งนิ่งสูดหายใจแรง ปล่อยให้ความเจ็บปวดค่อยๆ แผ่ลามไปทั้งร่าง หัวใจเหมือนจะขาดลงรอนๆ ในฐานะคนเป็น ‘พ่อ’ ที่รู้ว่า ‘ลูกสาว’ แสนรักกำลังจะกลายไปเป็นของเล่นบำเรอกามของ ‘พ่อเลี้ยงคาร์สัน’ เจ้าของฟาร์มโคนมชื่อดังระดับประเทศ
ในเวลาต่อมา
กลางดึกของคืนเดียวกันนั้น ที่บ้านของนายอัศวินซึ่งกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วัน
“ดึกป่านนี้แล้วคุณพ่อยังไม่นอนอีกหรือคะ... เอ่อ ทะเลาะกับคุณแม่ใช่ไหมคะ”
ลูกสาวเดา ไม่ได้อยากละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว แต่ที่น้ำหวานต้องถามก็เพราะว่าเมื่อตอนเย็นหล่อนแอบเห็นว่านางสุนีย์ผู้เป็นมารดาร้องไห้จนตาแดงก่ำ
“เปล่า... พ่อกับแม่ได้ได้ทะเลาะกัน... แต่... ”
พูดแล้วก็หยุด สีหน้าแสดงอาการหนักใจออกมา ไม่อยากจะบอกความจริงอันแสนเจ็บปวดกับลูกสาว
ครั้นเมื่อโดนคาดคั้นหนัก นายอัศวินก็จำต้องเล่าเรื่องราวให้ ‘น้ำหวาน’ ฟังโดยละเอียด เมื่อจู่ๆ เรื่องราวก็พัวพันมาถึงตัวของหล่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวพ้นผ่านวิกฤตแสนสาหัสในครั้งนี้
“อย่าร้องไห้นะคะคุณพ่อ... หวานยอมค่ะ... หวานยอมได้เพื่อให้พวกเราทุกคนได้มีที่อยู่อาศัยกันต่อไป”
เสียงของน้ำหวานฟังดูขมขื่นจนคนเป็นบิดารู้สึกได้ ทั้งที่หล่อนพยายามซ่อนเสียงสะอื้นเอาไว้ในอก แต่หยาดน้ำตากลมเกลี้ยงก็กลิ้งลงมาอาบนวลแก้มให้เห็นจนได้
“พ่อขอโทษ... ”
เสียงของนายอัศวินสั่นเครือ พยายามเงยหน้าขึ้นมองเพดานคล้ายกำลังมองหาแมงมุมสักตัวที่กำลังชักใยอยู่บนฝ้า แท้จริงแล้วมันคืออาการพยายามหักห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล ด้วยรู้ว่าถ้าก้มหน้าเม็ดน้ำตาจะหยดแหมะลงมาทันที
“ไหนๆ เรื่องราวก็มาถึงขั้นนี้แล้วนะคะ เห็นทีว่าเราคงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไปก่อน... คุณพ่อไม่ต้องร้องไห้นะคะ... ปัญหาทุกอย่างต้องมีทางออก”
น้ำหวานกล่าวพลางยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา ภาพที่เห็นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดให้กับคนเป็นพ่อที่โดนผีพนันเข้าสิงจนเป็นเหตุให้ต้องก่อเรื่องร้ายแรงถึงขั้นไม่เหลือบ้านเอาไว้ซุกหัวนอน ลูกเมียต้องพลอยต้องมาเดือดร้อนรับกรรมไปด้วย
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้พ่อจะไม่มีวันเข้าไปข้องเกี่ยวกับการพนัดโดยเด็ดขาด”
เสียงของนายอัศวินสั่นเครือ แววตาสำนึกผิด รู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุนำหายนะมาสู่ครอบครัวจนอยากจะคว้าปืนลูกโม่ที่ซ่อนเอาไว้ในลิ้นชักของโต๊ะทำงานขึ้นมาจ่อขมับตัวเองแล้วลั่นไกให้สมองกระจายเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ทว่านาทีนี้ ‘ความตาย’ ก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ‘สติ’ เท่านั้นที่จะทำให้ผ่านพ้นชะตากรรมนี้ไปได้
นายอัศวินรู้ว่าถ้าตัวเองตัดสินใจคิดสั้น... คนที่จะรับกรรมต่อไปก็คือลูกเมีย การตัดช่องน้อยแต่พอตัวจึงไม่ใช่ทางออกของปัญหา
“แน่ใจนะลูก... ไม่ว่าจะยังไงพ่อก็จะไม่บังคับลูก... ถ้าเข้าตาจนจริงๆ ตอนนั้นเราไปหาเช่าอพาร์ทเม้นท์เล็กๆ อยู่กันไปก่อนก็ได้”
“ไม่ค่ะ... ”
น้ำหวานส่ายหน้า ถ้าต้องสูญเสียบ้านและที่ดินก็เท่ากับว่าอนาคตของน้องชายซึ่งตอนนี้กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยคงจะต้องดับวูบไปด้วย
น้ำหวานรู้ว่ามันโหดร้ายเกินไป ที่จะปล่อยให้มารดากับน้องชายที่เคยมีชีวิตอยู่บนความสุขสบายมาโดยตลอด จะต้องพากันระหกระเหินไปอยู่บ้านเช่ารังหนูอย่างที่นายอัศวินกล่าวออกมาเมื่อครู่
กลางดึกของคืนเดียวกันนั้น
น้ำหวานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหา ‘ประภาษ’ ชายหนุ่มที่คบหาดูใจกันมาได้ปีเศษๆ ประภาษเป็นครู เขาได้ทุนไปศึกษาต่อที่เมืองนอก ตอนนี้กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ที่ประเทศอังกฤษ
อันที่จริงประภาษเป็นเพียงลูกเกษตรกรจนๆ แต่ที่มีโอกาสได้ไปเรียนถึงต่างประเทศก็เพราะว่าได้รับทุนของรัฐบาล
“ฟังเสียงเหมือนกำลังไม่สบายใจ... มีอะไรหรือเปล่าหวาน”
ประภาษกรอกเสียงกลับมาด้วยความเป็นห่วง เรียกชื่อหญิงสาวว่า ‘หวาน’ ด้วยความสนิทสนม
“เปล่าค่ะ... ที่โทรมาเพราะอยากจะบอกว่าช่วงนี้หวานอาจจะเงียบหายไปสักพักนะคะ”
น้ำหวานบอกแฟน เพราะรู้ว่าหนึ่งเดือนหลังจากนี้หล่อนจะต้องไปอยู่ที่บ้านของเจ้าหนี้ที่ชื่อคาร์สัน
“แล้วทำไมต้องเงียบหาย... นานๆ ครั้งโทรมาสักทีก็ได้นี่นา”
ประภาษคุยขณะนั่งพลิกตำราเล่มหนาในมือ มองผ่านกรอบแว่นตาหนาเตอะอ่านหนังสือไปพลางเพราะวันสอบใกล้เข้ามาทุกที