ตอนที่ 4 ดื่มสุราใต้แสงจันทร์ (2)

2098 คำ
ตอนที่ 4 ดื่มสุราใต้แสงจันทร์ (2)           เซียวม่านหลิวถูกโบกแป้งจนใบหน้าแข็งกระด้าง นางไม่กล้าแม้แต่จะมองตัวเองผ่านคันฉ่องทองเหลืองที่นางกำนัลยื่นให้ นึกสาปแช่งในใจว่าใครออกความคิดให้ฝังเครื่องประทินโฉมลงในสุสานแห่งนี้ด้วย ผ่านมาร้อยกว่าปีทั้งแป้งทั้งชาดทาปากเหล่านี้ไม่เสียหมดแล้วหรือ ทว่าโอดครวญไปก็เท่านั้น เพราะยามนี้โดยรอบมีแต่คนที่นางไม่แน่ใจว่าเป็นคนจริงๆ หรือไม่ “แม่นาง เจ้าแต่งเช่นนี้ก็งดงามไม่น้อย” นางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยยิ้มๆ ช่วยนางเกล้ามวยผมขึ้นสูง รูปทรงประหนึ่งป้านชาโบราณ เซียวม่านหลิวยิ้มแห้ง ไม่เข้าใจรสนิยมของคนสมัยก่อนสักนิดว่าทรงผมประหลาดๆ กับหน้าขาวๆ เช่นนี้งดงามตรงไหนกันแน่ งามกับผีน่ะสิ นางด่าทอบรรพบุรุษฮ่องเต้สิบแปดชั่วโคตร มาจนถึงตอนนี้ไม่คิดหวาดกลัวผีสางที่ไหนอีกแล้ว หวังเพียงว่าจะสามารถรีบออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุดเท่านั้น “เสร็จหรือยัง” “ไท่จื่อ เสร็จแล้วเพคะ” นางกำนัลตอบรับพลางเสียบปิ่นหยกอันสุดท้ายลงบนศีรษะของเซียวม่านหลิว เว่ยฉือหลี่หมิงมองสำรวจใบหน้าและเครื่องแต่งกายของเซียวม่านหลิว ดวงตาคมฉายแววขบขันเล็กๆ ในนั้น ทว่าก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” เขารั้งกายนางให้ลุกขึ้น เซียวม่านหลิวเซเล็กน้อยเพราะเรี่ยวแรงถูกเขาสูบไปจนเหลือเพียงแรงพยุงร่างของตนเท่านั้น อาภรณ์สีแดงปักลวดลายหงส์ทองสยายปีกเมื่ออยู่บนร่างของนางกลับเหมาะเจาะพอดีอย่างยิ่ง นางอดประหลาดใจไม่ได้ว่าในสุสานยังมีของเช่นนี้ด้วย “เป็นชุดที่ฟางอวี้เหยาเคยสวม” จู่ๆ เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ พลันหันมาสบตากับนางขณะที่เดินไปยังแท่นตรงกลางที่วางโลงศพ “หากไม่อยากถูกอ่านความคิด ก็จงทำสมองให้ว่าง ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ข้าบอกให้ทำอะไรก็ทำ อยู่กับข้าไม่ต้องมีสมองจึงจะดีที่สุด” เซียวม่านหลิวครางฮึ่มในลำคอ ใบหน้าบูดบึ้ง ทว่ายิ่งขยับใบหน้าก็คล้ายกับว่าแป้งที่เกาะอยู่ก็แตกและหลุดล่อนออกจากกัน จนต้องค่อยๆ ใช้มือเกลี่ยแป้งบนใบหน้าให้ติดทนนานอีกนิดหน่อย มิเช่นนั้นนางเองนี่แหละจะกลายเป็นผีแม่ม่ายไปจริงๆ เว่ยฉือหลี่หมิงพานางไปยังแท่นวางโลงศพ ก่อนจะมีชายคนหนึ่งซึ่งสวมอาภรณ์ลวดลายละเอียดอ่อนก้าวขึ้นหน้า ประสานมือให้กับไท่จื่อของเขาแล้วพูดว่า “ทูลไท่จื่อ ใกล้ถึงเวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยฉือหลี่หมิงพยักหน้ารับ เขามองไปยังประตูบานใหญ่ที่อยู่ไกลลิบ “มัดนางไว้แล้วใช่หรือไม่” “พ่ะย่ะค่ะ” “ดี…” ชายหนุ่มทำสัญญาณให้ทุกคนถอยออกไปจากเส้นทางเดินซึ่งมุงสู่ทางออก คนทั้งหมดจึงพากันขยับกายไปยังแต่ละด้านของผนังอย่างพร้อมเพรียง “พวกเจ้าจำที่อาจารย์กล่าวได้ใช่หรือไม่” น้ำเสียงของเขาก้องกังวาน คนเหล่านั้นขานรับเสียงดัง ค้อมกายลงต่ำแล้วคงค้างท่าเดิมอยู่อย่างนั้น ลักษณะคล้ายยามแรกที่นางเข้ามาไม่มีผิดเพี้ยน “พวกเขาทำอะไร” เว่ยฉือหลี่หมิงหันมาประสานสายตากับนาง ใบหน้าเรียบนิ่งประดุจหยกแกะสลัก ทั่วทั้งร่างพลันแผ่กลิ่นอายอันตรายบางอย่างออกมาจนนางสังหรณ์ใจ “อาจารย์ข้าบอกว่าครั้งแรกมันจะเจ็บ หากเลือกได้ข้าคงไม่คิดนำตัวปัญหาเช่นเจ้าเข้ามา ทว่าในเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่อาจารย์ทำนาย ก็ได้แต่โทษที่เจ้าโชคร้ายหลงเข้ามาเถิดนะ” เขากล่าวเสียงพร่าแล้วเชยคางนางขึ้น ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง เซียวม่านหลิวอยากจะวิ่งหนีเสียอย่างนั้น ทว่าร่างกายคล้ายไม่ทำตามคำสั่งอีกแล้ว นางตัวแข็งทื่อ มองเขาสวมแหวนวงหนึ่งที่นิ้วชี้ แหวนหยกสีเขียวเข้มเย็นเฉียบสัมผัสกับปลายนิ้วของนางจนสะท้านน้อยๆ ครั้นสวมจนสุดปลายนิ้วมือกลับรู้สึกว่ามันหดเข้ามาพอดีนิ้วของนางอย่างอัศจรรย์ ไม่นะ…ข้าหนีงานหมั้นมาเพื่อถูกท่านผูกมัดอย่างนั้นหรือ “มันคือเคราะห์กรรมของเจ้า” เว่ยฉือหลี่หมิงสบตากับเซียวม่านหลิวเนิ่นนาน ใบหน้าหล่อเหล่าค่อยๆ เคลื่อนเข้าหา ดวงตาสีแดงที่เปี่ยมอำนาจลึกลับตรึงนางจนไม่อาจละสายตา ลมหายใจอุ่นร้อนของเขารินรดใบหน้า เซียวม่านหลิวเลือกหลับตาลง เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พานางหนีออกจากความประหม่าในใจ สัมผัสแผ่วพลิ้วแตะไล้ริมฝีปากของนางแผ่วเบา ไล่ไปยังข้างแก้ม กลางหน้าผาก กลิ่นกายหอมประหลาดของเขาอบอวลจนนางไม่เป็นตัวของตัวเอง มือไม้เลื่อนทาบอกเขา ขยุ้มเบาๆ เพื่อข่มกลั้นความรู้สึกบิดมวนในช่องท้อง นางหายใจสะดุด เว่ยฉือหลี่หมิงเคลื่อนริมฝีปากไปยังใบหูเล็กๆ ที่ปราศจากแป้งทาหน้า ขมเม้มเบาๆ จนรับรู้ถึงการตอบสนองตามสัญชาตญาณของนาง เขาเลื่อนริมฝีปากไปเรื่อยๆ ผ่านกกหู สูดดมกลิ่นกายชื้นเหงื่อ ลากไล้บนแอ่งชีพจร แล้ววนไปยังลำคอของนาง “อึก…” เซียวม่านหลิวตื่นจากภวังค์ ลำคอเจ็บแปลบ ปวดแสบปวดร้อนราวกับถูกพิษร้าย ทว่าร่างกายกลับถูกแช่แข็งเอาไว้ นางไม่อาจหลีกหนี รู้เพียงว่าต้องรอจนกระทั่งความเจ็บปวดตรงลำคอหายไปเอง ปลายจมูกรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือด ผีดิบ? ไม่นะ! ข้ายังไม่อยากตาย นางโอดครวญในใจ ทว่าทำได้เพียงเท่านั้น อึดใจหนึ่งเขาจึงถอนริมฝีปากออกจากลำคอของนาง เซียวม่านหลิวตัวสั่นเทา มองเห็นริมฝีปากเขาที่ถูกแต้มด้วยโลหิตของนาง ใจเต้นรัวกระหน่ำด้วยความหวาดกลัวที่เริ่มเกาะกุมจิตใจ เว่ยฉือหลี่หมิงเช็ดริมฝีปากของตนเอง สายตาอ่อนลงเมื่อมองเห็นใบหน้าแข็งกระด้างของเซียวม่านหลิว จึงเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่เขาไม่อาจควบคุมตนเองได้ “วางใจเถอะ แค่เห็นใบหน้าของเจ้าข้าก็หมดอารมณ์จะทำอย่างอื่นแล้ว” พูดจบเขาก็กัดนิ้วของตัวเองเบาๆ โลหิตสีแดงที่ส่องประกายเรื่อเรืองค่อยๆ ไหลออกมาจากปลายนิ้ว ยังไม่ทันที่เซียวม่านหลิวจะทันตั้งสติ เขาก็ป้ายโลหิตของตนใส่ปากนางอย่างรวดเร็ว สมองของนางแข็งค้าง เพียงแค่ปลายลิ้นสัมผัสถึงของเหลวอุ่นๆ ในปาก กลิ่นหอมประหลาดนั้นก็พลันกลบกลิ่นคาวเลือดของนางจนสิ้น นางเผลอกลืนมันลงไปโดยไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าตนเองกำลังดื่มเลือดผีดิบ ตาแก่บัดซบ กล้าเอาเลือดมาใส่ปากข้า บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของท่านไม่สั่งสอนท่านเลยหรือ นางอยากร้องไห้ อยากตวาดใส่หน้าเขา แต่กลับไม่สามารถควบคุมตนเองได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงด่าเขาในใจอย่างเจ็บแสบเช่นนี้ ทว่า…เว่ยฉือหลี่หมิงกลับมิได้รู้สึกรู้สาอะไร เขาดีดหน้าผากนางทีหนึ่ง กระซิบด้วยเสียงยียวนว่า “ต่อจากนี้ข้าก็อ่านใจเจ้าไม่ได้แล้ว” ในความหวาดหวั่นยังมีความยินดีสายหนึ่ง อ่านใจไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ “ตอนนี้ถือว่าเราดื่มสุรามงคลแล้ว ต่อไปแม้ว่าเราจะไม่ได้รักกัน แต่ข้าจะต้องหาเกี้ยวสิบแปดคนหามไปสู่ขอเจ้าตามประเพณี อย่างน้อยบิดาของเจ้าก็จะได้ไม่เป็นห่วง และชายหนุ่มคนที่เจ้าตั้งใจหลบหนีก็จะหมดสิทธิ์ในตัวเจ้าทันที” ร่างกายของเซียวม่านหลิวกลับมาขยับได้อีกครั้ง ครั้งนี่เรี่ยวแรงทั้งหมดกลับคืนมาด้วย นางก้าวออกห่างจากเขาก้าวหนึ่ง ทำสีหน้าไม่ถูกว่าควรแสดงอาการอย่างไรดี ดีใจกระโดดโอบคอเขาแล้วตะโกนว่า ข้ายินดีติดตามท่านไปทุกที่ หรือจะบีบน้ำตาด้วยความรันทดสุดแสนที่ถูกเขาบีบบังคับให้…ดื่มสุรามงคล หรือจะออกอาละวาดแล้วด่าทอสาปแช่งเขาอย่างร้ายกาจ…เช่นนั้นนางคงต้องตายคาเท้าของบริวารเขาอย่างแน่นอน ให้ข้าออกไปได้ก่อนเถอะ นางหมายมาดในใจ ทำได้เพียงถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้าย “ฝากไว้ก่อนเถอะ!” ครืน!!! เพดานสุสานถล่มลงมาอย่างไม่มีปีไม่มีขลุ่ย กองดินและเศษหินจำนวนมากร่วงกราวลงมาตรงทางเดินอย่างพอดิบพอดี เซียวม่านหลิวเบิกตากว้าง คนจำนวนหลายสิบกำลังตะเกียกตะกายออกจากก้องดินพลันร้องระงม “บัดซบ! สุสานแห่งนี้มันอะไรกัน ตั้งใจให้พวกข้าทำลายจนราบเป็นหน้ากลองเลยรึ!” ผู้ตะโกนน้ำเสียงคุ้นหูนางเป็นอย่างยิ่ง ไข่มุกราตรีถูกกองซากปรักหักพังทับไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงท้องฟ้าที่เปิดโล่ง แสงจันทร์ยามขึ้นสิบห้าค่ำทอแสงสีเงินยวงส่องลงมา เซียวม่านหลิวเพ่งตามองคนผู้นั้น หัวหน้าโจรขุดสุสาน! เหล่าโจรขุดสุสานโวยวาย ตะเกียกตะกายสุดชีวิต พลางคว้าสิ่งของใกล้มือติดตัว บางคนที่เห็นว่าคบเพลิงยังไม่ดับพลันคว้ามันขึ้นมาแกว่งไกวสำรวจภายในสุสาน ทันใดนั้นคบเพลิงก็หลุดร่วงลงพื้น “เป็นอะไรต้าจง” ใครคนหนึ่งตะโกนถาม ชายที่ชื่อต้าจงสะอึกเสียงดัง ชี้มายังจุดที่เซียวม่านหลิวยืนอยู่ พลันแหกปากเสียงดังลั่น “ผีแม่ม่ายเฝ้าสุสานกับสามีของนาง!” “เหวอ!” ขบวนโจรตกอยู่ในความโกลาหล หลายคนไม่เชื่อจึงพยายามขว้างคบเพลิงใส่เซียวม่านหลิว ทว่าคบเพลิงหยุดลงต่อหน้าของนางก็ร่วงลงกับพื้น มีเพียงแสงสว่างที่ส่องกระทบชุดเจ้าสาวสีแดง ไล่ไปยังใบหน้าขาววอกและริมฝีปากสีแดงคล้ายกับโลหิตของนาง ชายคนหนึ่งกรีดร้องโหยหวน ถีบสหายที่ขวางทางแล้ววิ่งหนีไป สหายที่ถูกถีบสบถหัวเสีย ครั้นหันไปมองพรรคพวกกลับพบว่าเหลือเพียงตนเองที่ยังคงยืนอยู่ เขาคือนักพรตจี้ ทันใดนั้นเซียวม่านหลิวก็นึกอยากเอาคืน นางย่างสามขุมเข้าไปหาเขา พลันเปล่งเสียงหัวเราะเล็กแหลม “ฮิๆๆๆ มา…อยู่….กับ…ข้า….เถิด….นะ…” นักพรตจี้ถอยหลังกรูดจนสะดุดหงายหลัง ยิ่งนางเคลื่อนเข้าไปใกล้เขาก็ยิ่งตระหนกลนลานจนผมเผ้ายุ่งเหยิง ก่อนจะกะโกนเรียกหาบิดาหามารดาแล้ววิ่งหนีไปไกล แปะ…แปะ…แปะ “ไม่เลว…ซ้อมเป็นผีแม่ม่ายได้ไม่เลว” เว่ยฉือหลี่หมิงกล่าวอย่างขบขัน เขาสืบเท้าเข้ามาใกล้นาง พลันหัวเราะชั่วร้าย “แต่ทางที่ดีอย่ารู้สึกไปกับมันให้มากนัก และโดยเฉพาะ…อย่ารักข้าเด็ดขาด” เซียวม่านหลิวที่กำลังอารมณ์ดีหลังจากได้ปลดปล่อยพลันย่นจมูก กล่าวด้วยความหมั่นไส้ “หลงตัวเอง” ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าใกล้จนนางตระหนกวูบ เขากระซิบเสียงพร่า “ครั้งต่อไปคืองานแต่งจริงๆ ของเราสองคน ไม่เกินเจ็ดวันข้าจะต้องให้เกี้ยวสิบแปดคนหามไปรับเจ้าพร้อมกับสินสอด ไม่ให้น้อยหน้ากำไลหยกหรูอี้ที่คนผู้นั้นนำมาหมั้นหมายเจ้าอย่างแน่นอน เตรียมใจไว้เถอะ” เซียวม่านหลิวแค่นเสียงในลำคอ นางก้าวเท้าถอยหลัง กระตุกรอยยิ้มย่ามใจ นึกกระหยิ่มในใจอย่างถือดี  ลาก่อน...ตาแก่ ทันใดนั้นก็เหินกายจากไปราวกับเทพเซียน หลงเหลือไว้เพียงกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ “ไท่จื่อ นางหนีไปแล้วขอรับ” ดวงตาของเว่ยฉือหลี่หมิงพลันกลับมาแข็งกระด้าง “ปล่อยไปก่อน อวี้เหยาเล่า” “ร้องไห้จนสลบไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยฉือหลี่หมิงยิ้มเหี้ยม “กำจัดนางให้พ้นจากสายตาข้า” ชายคนนั้นตื่นตระหนก พลันเกิดเสียงอ้อนวอนดังระงม  “ไท่จื่อ พระชายาเป็นเพียงสตรีบอบบางนะเพคะ!” “ไท่จื่อ…ทรงละเว้นชีวิตนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มหลับตานิ่ง มือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อสีเข้มพลันกำแน่น “ข้ากับนาง ใครเป็นเจ้านายของพวกเจ้า” เขาถามเสียงเรียบ เหล่าบริวารต่างก็ตกอยู่ในความเงียบ เว่ยฉือหลี่หมิงจึงกล่าวย้ำเตือน “คนทรยศ…ไม่มีที่ยืนสำหรับข้า จำเอาไว้!” ทว่าทันใดนั้นใบหน้าของเขาพลันแข็งทื่อ... นางชื่ออะไร   จบตอน(๒)    
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม