ตอนที่ 6 ขุนนางชั่ว (2)
ในโลกอันเต็มไปด้วยสีสันละลานตา ไม่มีขาวใดที่ขาวบริสุทธิ์ และดำใดที่ดำสนิทจนมืดดับ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีขาวเจือดำ ดำเจือขาว ย้อมทับด้วยสีอื่นอีกมากมาย
นางมิใช่ผ้าขาวสะอาดบริสุทธิ์ แต่ก็สว่างไสวเกินกว่าจะถูกสีดำกลืนกินไปทั้งผืน เว่ยฉือหลี่หมิงย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ หากเขาเลือกได้…จะไม่เลือกสตรีเช่นนี้มาอยู่ข้างกายอย่างเด็ดขาด
เพราะสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ ทั้งอันตรายต่อตนเอง และอันตรายต่อนางเช่นกัน น่าเสียดายที่โชคชะตามิได้ปรานีต่อคนอย่างนางนัก
เกือบร้อยปีก่อนสตรีนางนั้นก็เป็นเช่นนี้…สะอาดสว่างไสวเกินกว่าที่เขาจะเชื่อว่านางจะกล้าทรยศเขาได้ สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร เพียงชั่วข้ามคืน นางก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ตัวเขากลับเห็นภาพหลอนจนไม่เป็นอันทำอะไร วันๆ จมกับความรู้สึกผิดอันไร้ที่มา
ร่างกายถูกกักขังในโลงศพมานับร้อยปี หากว่าอาจารย์ของเขาไม่หาทางป้องกันไว้ล่วงหน้า ป่านนี้แล้วเขาก็คงไม่อาจหวนกลับมาสะสางเรื่องราวในอดีตได้อีกครั้ง
ความเมตตาปรานี…หากมีต่อผู้อื่นมากเกินไป จะกลายเป็นการเลี้ยงหนอนพิษไว้ใกล้ตัวโดยแท้
เขามองใบหน้าเล็กๆ ของเซียวม่านหลิวพลางครุ่นคิดตลอดทาง เห็นศีรษะเล็กๆ สั่นคลอนตามจังหวะรถม้า ดวงตาของนางมิได้มีประกายตัดพ้อหรือน้อยอกน้อยใจอะไรทั้งนั้น แต่ก็มิใช่การยินยอม…คนอย่างนางไม่มีทางยอมจำนนต่อสิ่งที่ตนเองไม่ยอมรับ ขนาดตอนนี้เองยังประท้วงเขาด้วยการนิ่งเงียบเป็นคำตอบ สนใจทุกสิ่งที่ไม่ใช่เขาซึ่งนั่งกับนางบนรถม้าเพียงลำพัง
รถม้าขนาดใหญ่พร้อมทั้งบ่าวไพร่หลายสิบคนเคลื่อนผ่านถนนสายหลักของลั่วหยาง แม้จะไม่โอ่อ่าอลังการเท่าขบวนขนของหมั้นของเว่ยฉืออวี่หยาง ทว่าบุคลิกของข้ารับใช้กลับส่งเสริมบารมีของเจ้านายได้เป็นอย่างดี ชาวบ้านร้านตลาดต่างก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นเส้นทางที่มุ่งตรงไปยังจวนของใต้เท้าเซียว เริ่มคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าครั้งนี้ผู้ใดจะมาสู่ขอคุณหนูตระกูลเซียวอีก
เว่ยฉือหลี่หมิงส่งหมายขอเข้าพบใต้เท้าเซียวตั้งแต่ก่อนเที่ยงวันหลังจากเสร็จจากประชุมเช้าในท้องพระโรง อาศัยอำนาจบาตรใหญ่ของตนก็ทำให้ใต้เท้าเซียวไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากเต็มคำนัก
กล่าวถึงประชุมเช้าในท้องพระโรง สองวันก่อนเป็นวันที่ราชสำนักเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินอาดๆ เข้ามาในท้องพระโรง ทั้งยังทำความเคารพองค์จักรพรรดิแบบขอไปที หลังจากนั้นจักรพรรดิก็ประกาศราชโองการ ให้ชายหนุ่มคนนั้นเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ อวยยศเป็นขุนนางขั้นหนึ่งเทียบเท่ากับมหาเสนาบดี คำสั่งกะทันหันดุจอสนีบาตฟาดลงกลางศีรษะของขุนนางทั้งหมด กล่าวถึงราชโองการไหนเลยจะขัดได้ ขุนนางตกถังข้าวสารผู้นั้นจึงกลายเป็นขั้วอำนาจใหม่ที่เหล่าขุนนางเฒ่ามิทันตั้งตัว
ทว่าความตื่นตระหนกเพียงเท่านั้นคงไม่ทำให้ขุนนางทั้งหลายตื่นตระหนกได้เท่ากับการยกวังเทียนมิ่งให้กับขุนนางผู้เข้ามารับตำแหน่งใหม่คนนี้
ใครๆ ก็รู้ว่าที่นั่นเคยเป็นที่พักอาศัยของพระราชชนกในอดีตจักรพรรดิ แม้ว่ายามนี้จะร้างมานานเพราะหลังจากอดีตรัชทายาทสิ้นพระชนม์ก็ปิดตำหนักไว้ กระนั้นแล้วเมื่อเทียบกับจวนขนาดใหญ่ของขุนนาง ก็ยังถือว่าที่แห่งนั้นมีค่ามากมายมหาศาล ตำหนักตะวันตกที่ติดริมลำน้ำลั่วเหอ ใครๆ ก็ทราบดีว่าที่ตรงนั้นทิวทัศน์งดงามขนาดไหน ที่ปรึกษาคนใหม่ขององค์จักรพรรดิผู้นี้จึงฉาวโฉ่ไปชั่วข้ามคืน ไม่ทันไรก็ถูกขุนนางทั้งหลายลอบประณามเงียบๆ
เข้าประชุมเช้าในวันนี้ คนผู้นั้นถึงกับนั่งเหนือมหาเสนาบดีหนึ่งขั้น กล่าวคือตอนนี้เขามีน้ำหนักในใจองค์จักรพรรดิมากมายมหาศาลจนผู้คนคิดสงสัยว่าคนผู้นี้แอบทำคุณไสยใส่องค์จักรพรรดิหรือไม่
ขุนนางตงฉินอย่างใต้เท้าเซียวจึงกระอักกระอ่วนยิ่งนักเมื่อจู่ๆ ก็มีคนมาบอกว่าใต้เท้าหลี่ขอเข้าพบ
หลี่หมิง
ครั้นขบวนรถม้าจอดเทียบหน้าประตูจวน ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะก้าวลงจากรถม้า ข่าวลือก็แพร่สะพัดไปไกลแล้ว และทันทีที่คนผู้นั้นลงรถม้ามากับคุณหนูสามที่ถูกประกาศตามหา คนก็พลันพูดปากต่อปาก ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปข่าวก็ถึงหูของเว่ยฉืออวี่หยาง
เมื่อเท้าข้างหนึ่งของเซียวม่านหลิวก้าวลงจากรถม้า บ่าวไพร่พลันโกลาหล ครั้นใต้เท้าเซียวและคนในบ้านทราบข่าวก็พากันแยกตัวเซียวม่านหลิวพากลับห้องของนาง ในขณะเดียวกันเซียวอี้ไฉก็เชิญเว่ยฉือหลี่หมิงไปสนทนากันที่ห้องโถง โดยที่ฟูเหริน[1]รองเองก็พาบุตรีคนที่สี่กับคนที่ห้าตามมาปรนนิบัติด้วย
หม่าอิงเถาซึ่งมีอำนาจดูแลเรื่องยิบย่อยในจวนย่อมไม่พลาดเหตุการณ์นี้ อีกทั้งบุตรของนางปีนี้ก็ย่างสิบห้าสิบหกแล้ว เซียวหลีม่านและเซียวเสวี่ยม่านก็ใกล้ถึงวัยออกเรือนแล้วเช่นกัน ในเมื่อสามีไม่คิดเสาะหาผู้ดีมีสกุลมาหมั้นหมายกับลูกของนาง นางก็จำเป็นต้องผลักดันด้วยตัวเอง ยิ่งเมื่อเห็นว่าเว่ยฉือหลี่หมิงผู้นี้ลักษณะท่าทางดี ทั้งยังเป็นขุนนางที่องค์จักรพรรดิทรงไว้พระทัย จึงหมายใช้โอกาสนี้สร้างสะพานให้บุตรีทั้งสองของนาง
เซียวหลีม่านเองก็หลงใหลรูปโฉมของเว่ยฉือหลี่หมิงทันทีที่สบตา
“ใต้เท้าหลี่พาตัวบุตรสาวข้ามาส่ง ตระกูลเซียวเราต้องขอบคุณเป็นอย่างมาก”
เซียวอี้ไฉกล่าวตามมารยาท ทว่าแก้วตาดวงใจกลับมาทั้งยังปลอดภัยดีจึงมีความยินดียิ่ง สายตาที่มองเว่ยฉือหลี่หมิงจึงดีขึ้นส่วนหนึ่ง พานให้พินิจมองรูปลักษณ์และการวางตัวของใต้เท้าหน้าใหม่ผู้นี้ด้วยอคติน้อยลง ทั้งยังอดชื่นชมในใจไม่ได้ว่าคนผู้นี้มีลักษณะของผู้นำที่ดี
“ต้องขออภัยที่ข้าพานางมาพบท่านช้า ทว่านางไม่ได้สติไปสามวัน ข้าจำเป็นต้องรอจนกว่านางจะฟื้น”
ใต้เท้าเซียวมีสีหน้าตระหนก “เกิดอะไรขึ้น”
เว่ยฉือหลี่หมิงแสร้งขัดเขิน เขาหันไปหาผู้ช่วยของตน “เป้ยหยวน ของที่ให้เตรียมมาอยู่ไหน”
กวนเป้ยหยวนเป็นองครักษ์คู่ใจที่ยินยอมถูกฝังร่วมกับเขาตั้งแต่ตอนนั้น ครั้นถูกถามก็ยื่นกล่องไม้ลงรักสีแดงให้ เว่ยฉือหลี่หมิงรับกล่องนั้นมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะสะเดาะกุญแจแล้วเปิดให้ใต้เท้าเซียวดู
“ข้านำมาให้ท่าน…” เขาเว้นคำไว้ สายตามองกิริยาของแต่ละคนในห้องโถง
ด้านในคือปิ่นหยกอันหนึ่ง ตัวด้ามทำด้วยหยกมันแพะขาวใสราวกับว่าสามารถมองทะลุผ่านได้ ทว่าในเนื้อปิ่นกลับมีประกายคล้ายแร่ทอง เมื่อต้องแสงสว่างแล้วกลับส่องแสงระยิบระยับราวกับดวงดาวบนฟากฟ้า ตัวปิ่นแม้จะเรียบง่าย แต่ปลายด้านหนึ่งกลับสลักตัวหงส์สยายปีกคล้ายกำลังจะโผบิน ดวงตาของหงส์ขาวบนปิ่นถูกฝังด้วยอัญมณีสีแดงราวกับเลือดนก
เซียวอี้ไฉมองปิ่นหยกหงส์ขาวประกายนี่ด้วยสายตาอยากจะเหลือเชื่อ
หม่าอิงเถาและบุตรสาวพลันรู้สึกละโมบขึ้นมาทันใด นำปิ่นล้ำค่าเช่นนี้มามอบให้ หรือว่าจะมาสู่ขอบุตรสาวของนาง
หม่าอิงเถาลอบยินดีในใจ
“บุตรสาวที่ข้าเลี้ยงดูมากับมือ รับรองหลักจริยามีพร้อม งานบ้านการเรือนล้วนไม่ขาดตกบกพร่อง หากท่าน…”
“อิงเถา” ใต้เท้าเซียวหันไปเอ็ดฟูเหรินรองเบาๆ “เจ้าอย่าเพิ่งเสียมารยาท”
หม่าอิงเถาหน้าม้านไปเล็กน้อย แต่เพราะเกรงว่าสามีจะไล่ออกจากห้องโถงจึงได้แต่นั่งจับมือบุตรสาวทั้งสองเงียบๆ
เซียวอี้ไฉพอจะคาดเดาความคิดของเว่ยฉือหลี่หมิงออก แต่เขายังไม่รู้จักคนผู้นี้ดีจึงไม่คิดข้องเกี่ยว รีบออกหน้าว่า “ข้ารับไว้ไม่ได้”
เว่ยฉือหลี่หมิงไม่ได้ประหลาดใจเท่าใดนัก เข้าใจมาบ้างแล้วว่าเซียวม่านหลิวนิสัยเหมือนผู้ใด เขายิ้มสุภาพ เลื่อนกล่องปิ่นล้ำค่าไปใกล้ใต้เท้าเซียวอีกครั้งแล้วก้มศีรษะให้เป็นเชิงขออภัย
“ท่านไม่รับไว้ไม่ได้ ที่หลิวหลิวไม่ได้สติมาสามวัน ก็เพราะนางเข้าพิธีแต่งงานกับข้าในวันที่สิบห้าเดือนห้า เพราะหักโหมหนัก นางจึงอ่อนเพลียอย่างมาก หลี่หมิงไม่มีอะไรจะนำมาขอขมาท่านพ่อตาได้นอกจากปิ่นหยกหงส์ขาวประกายชิ้นนี้ ขอท่านพ่อตาโปรดรับไว้เป็นของหมั้นด้วยเถิด”
เซียวอี้ไฉที่คิดว่าตนเองสติดีที่สุดแล้ว ทว่าหลังจากที่ได้ยินชายหนุ่มพูดก็ลมแทบจับ ยิ่งได้ยินคำว่าปิ่นหยกหงส์ขาวประกาย เขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ใช้มือไม้สั่นเทาชี้หน้าเว่ยฉือหลี่หมิง ด่าทอด้วยใบหน้าบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวซีด
“บังอาจ! บุตรสาวข้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี จะหนีไปแต่งงานกับเจ้าได้ที่ไหนกัน เจ้าบังอาจข่มเหงนางใช่หรือไม่!” คำพูดส่อนัยของเว่ยฉือหลี่หมิงทำเอาเซียวอี้ไฉลุแก่โทสะ มือไม้พลันมองหาข้าวของเพื่อขว้างใส่ชายหนุ่มเบื้องหน้าเพื่อระบายโทสะ
“ว้าย! ท่านพี่!” ทว่าฟูเหรินรองร้องเรียกแล้ววิ่งมาคว้าตัวไว้ได้ทัน “อย่านะเจ้าคะ ใจเย็นๆ เจ้าค่ะ”
ใต้เท้าเซียวดิ้นรนรุนแรง จนบ่าวรับใช้ต้องรีบวิ่งเข้ามาช่วยรั้งเอาไว้ ในขณะที่เว่ยฉือหลี่หมิงยังคงนั่งนิ่งไม่คิดหลบหลีกแม้แต่น้อย
“ข้ากับหลิวหลิวแต่งงานกันด้วยความรัก ขอท่านพ่อตาโปรดเห็นใจ”
ใต้เท้าเซียวตัวแข็งทื่อ ทว่ามิใช่เพราะคำพูดของชายหนุ่ม แต่เป็นเพราะระลึกได้แล้วว่าปิ่นหยกหงส์ขาวประกายนี้มีที่มาอย่างไร
มันคือของที่อดีตรัชทายาทไท่หมิงใช้หมั้นหมายพระชายา ทว่าหลังจากสิ้นรัชทายาทไท่หมิง ปิ่นอันนี้ก็หายไปจากวังหลวง
“จะ…เจ้าไปเอาปิ่นนี้มาจากไหน”
เว่ยฉือหลี่หมิงสบตากับเซียวอี้ไฉ พูดด้วยใบหน้านอบน้อมว่า “เป็นของสืบทอดในตระกูลขอรับท่านพ่อตา”
คราวนี้ใต้เท้าเซียวกลับแข้งขาอ่อนจนคนต้องประคองให้นั่งลง ใบหน้าของเขาพลันซีดเผือด
“ชะ…เช่นนั้น”
จักรพรรดิทรงเห็นดีเห็นงาม? ใต้เท้าเซียวคิดในใจ พลันรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาจนตาลาย บุตรสาวน่าตายถึงกับกล้าหนีเชื้อพระวงศ์ไปแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์อีกคนหรือ แค่คิดก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาเป็นพักๆ แล้ว
เว่ยฉือหลี่หมิงค้อมกาย “ขอท่านพ่อตาโปรดเห็นใจ”
“เขาโกหก!”
หน้าประตูพลันปรากฏร่างสูงสง่าของเว่ยฉืออวี่หยาง เว่ยฉือหลี่หมิงที่เคยพบเขามาครั้งสองครั้งแล้วก็จำได้ พลันลุกขึ้นแล้วเรียกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ท่านอ๋องน้อย ท่านมาที่นี่มีธุระอะไรหรือ”
ทว่าเว่ยฉืออวี่หยางกลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
“ใต้เท้าเซียว คนผู้นี้กำลังรวมหัวกับอาหลิวหลอกลวงท่านนะ” เว่ยฉืออวี่หยางรู้ดีว่าเซียวอี้ไฉย่อมเห็นแก่หน้าบิดาเขา หารู้ไม่ว่าบัดนี้แล้วเซียวอี้ไฉอยากจะแกล้งตายอย่างยิ่ง
“ไม่ถูกต้องนะท่านอ๋องน้อย” เว่ยฉือหลี่หมิงเอ่ยขัด เขาลุกขึ้นยืน เคลื่อนกายเข้าใกล้เว่ยฉืออวี่หยางราวกับต้องการเทียบให้ผู้คนเห็นว่าใครกันแน่ที่เหมาะสมกับตำแหน่งบุตรเขยของใต้เท้าเซียว
ท่ามกลางสายตาของผู้คน เว่ยฉือหลี่หมิงกลับแผ่กลิ่นอายอันน่าเลื่อมใสอยู่ห้าส่วน คำพูดของเขาจึงหนักแน่นอย่างยิ่ง
“ข้ารู้จักกับหลิวหลิวมานานตั้งแต่นางกลับเฉินตู เราสองคนเติบโตมาด้วยกัน ใต้เท้าเซียว ท่านน่าจะทราบดีว่าเผ่าใดในแถบซีหนานที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ต้าถัง”
เซียวอี้ไฉเถียงไม่ออก เขาทราบมาว่าตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ ก็มีคนเผ่าหนึ่งเข้าเฝ้ารับใช้ข้างกายฮ่องเต้แต่ละพระองค์มาช้านาน เรื่องนี้เว่ยฉืออวี่หยางเองก็ทราบดี
หงส์ขาวประกายชิ้นนี้ มีค่าเทียบเท่าแคว้นหนึ่ง ในแผ่นดินต้าถังมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น
เซียวอี้ไฉเริ่มลังเล
“ท่านพ่อ…ข้าแต่งงานกับเขาแล้วจริงๆ เราหมั้นหมายกันตั้งแต่ตอนอยู่เฉินตู นี่เป็นสาเหตุที่ข้าไม่อยากรับของหมั้นของท่านอ๋องน้อย”
เซียวม่านหลิวเดินเข้ามา ข้างกายของนางก็คือเซียวม่านหนิงผู้เรียบร้อยอ่อนหวาน ทั้งสองสวมอาภรณ์สีเหลืองสดใสเหมือนกัน ทว่าใบหน้าของเซียวม่านหลิวกลับพอกหน้าขาวและทาริมฝีปากแดงก่ำราวกับผีแม่ม่าย ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างคุณหนูรองและคุณหนูสามอย่างเป็นเอกฉันท์ คนทั้งหมดในห้องโถงต่างก็ตื่นตะลึง
มีเพียงเว่ยฉือหลี่หมิงที่นึกขบขันในใจ
บ้าดีเดือดน้อยกว่านี้ก็ไม่ใช่เซียวม่านหลิวแล้ว
เซียวม่านหลิวเดินเฉิดฉายจนเอวแทบเคล็ด กระนั้นก็มิได้สูญเสียความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย นางทำราวกับว่าตนเองเป็นหญิงสาวที่งดงามที่สุดในที่แห่งนี้ พลันแสยะยิ้มปัญญาอ่อนใส่เว่ยฉืออวี่หยาง
“ท่านดูนี่สิ แหวนแต่งงานของข้า”
นางชูมือขึ้น แหวนสลักลายอันเป็นเอกลักษณ์ของราชวงศ์ทำให้ชายหนุ่มผู้มั่นคงในรักใบหน้าซีดเผือด
“จะ…เจ้าเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ เขาทำมนตร์ดำใส่เจ้าใช่หรือไม่หลิวหลิว” ใต้เท้าเซียวถามด้วยน้ำเสียงปวดร้าว คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวของตนเองจะวิปริตไปแล้ว
ทันใดนั้นเว่ยฉือหลี่หมิงก็เอ่ยขึ้น ข้ารักนางด้วยใจจริง ไม่คิดรังเกียจที่นางปัญญาอ่อนเลยแม้แต่น้อย” เว่ยฉือหลี่หมิงพูดชัดถ้อยชัดคำ พลันโอบร่างของเซียวม่านหลิวมาแนบกาย “ชาตินี้ขอแต่งนางเพียงคนเดียว”
เซียวม่านหลิวหน้าตึงขึ้นมาเมื่อได้ยินคำว่าปัญญาอ่อนดังออกมาจากปากของเขา ทว่าแค่แป้งหนาเตอะบนใบหน้าก็ตึงพออยู่แล้ว ใครจะสังเกตเห็นเล่า
เว่ยฉืออวี่หยางมองเซียวม่านหลิวด้วยสายตาร้าวลึก “อาหลิว…เจ้าถึงกับยอมแต่งงานกับขุนนางกังฉินผู้นี้หรือ”
นางเลิกคิ้วที่วาดจนโก่งเกินงาม พลันเอนซบอกของเว่ยฉือหลี่หมิง สบโอกาสถูแป้งใส่อาภรณ์สีเข้มของเขาให้สาแก่ใจ “ข้ารักเขา…มีเหตุผลใดต้องขัดขึ้นด้วยเล่า”
“พอได้แล้ว สุภาษิตว่าไว้มีบุตรสาวก็ประดุจมีส้วมไว้หน้าบ้าน พวกเจ้าจะแต่งก็แต่งไป ข้าไม่มีความเห็นอะไรเพิ่มเติมแล้ว”
คนในครอบครัวต่างก็รู้ดีว่าใต้เท้าเซียวแสร้งพูดประชดบุตรสาว ทว่าเว่ยฉืออวี่หยางกลับค้านเสียงห้วน
“ใต้เท้า…ท่านคิดใหม่เถอะ”
ใต้เท้าเซียวปั้นสีหน้าลำบากใจ “ท่านอ๋องน้อย หลิวเอ๋อร์แต่งงานเข้าหอกับเขาแล้ว ข้าจะทำอะไรได้ เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วนะ”
“ท่านพ่อ…ท่านไม่เชื่อข้าใช่หรือไม่” เซียวม่านหลิวเริ่มใจเสีย ดูเหมือนว่าบิดานางจะโกรธจริงๆ เข้าแล้ว นางเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เว่ยฉืออวี่หยางคือคนที่พี่สาวสุดที่รักของนางรักมาตั้งแต่เด็ก ขณะเดียวกันก็ถือว่าเป็นสหายรักของนาง หากแต่งงานไปไม่ใช่แค่นางที่จะอึดอัด พี่สาวของนางเองก็จะระทมทุกข์ไปตลอดชีวิต
แต่หากแต่งกับเว่ยฉือหลี่หมิง ถึงเขาจะเจ้าเล่ห์ไปบ้าง ถึงนางจะไม่ได้รักเขา แต่นางยังสามารถหนีหายจากเขาได้หากผ่านการวางแผนไว้อย่างรัดกุม
หากให้นางเลือก นางย่อมเลือกไปกับคนอื่น ทำลายความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า ดีกว่าการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคนกันเอง
เว่ยฉือหลี่หมิงเห็นแววตาสับสนของนางก็รู้แก่ใจดีกว่าหากนางลังเลแม้แต่น้อย การแต่งงานครั้งนี้จะยากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ แม้ว่าการรั้งนางไว้ข้างกายเพื่อให้ตนเองอยู่รอดนั้นถือเป็นการเห็นแก่ตัว ทว่าการเสียสละในอดีตเคยทำร้ายเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็ไม่ยอมเสียเปรียบเป็นอันขาด
เขาอาศัยช่วงจังวะที่ทุกคนกำลังกดดันประคองใบหน้าเซียวม่านหลิวให้หันมา พลันประทับริมฝีปากบนกลีบปากแดงก่ำของนางอย่างแนบแน่น แล้วขบเม้มเบาๆ เพื่อเป็นการเตือนสตินาง
ข้ายอมเป็นคนเห็นแก่ตัว ดีกว่าให้คนอื่นมาเอาเปรียบ
ชั่วจังหวะการกระทำอันบ้าระห่ำ ใจของเขากลับเต้นระส่ำราวกับว่าตนเองเพิ่งเสียจูบแรกไปอย่างไรอย่างนั้น
เว่ยฉือหลี่หมิงหลับตาลง เสียงตกใจของคนรอบข้างพลันจืดจาง
นานเท่าไรแล้วนะ…
จบตอน(๒)
[1] ฟูเหริน หรือที่รู้จักในคำว่าฮูหยิน
------------------------------------