ตอนที่ 1 ลิขิต (1)

2863 คำ
ตอนที่ 1 ลิขิต (1)     วันที่สิบห้าเดือนห้า รัชศกเสวียนหลง ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ดวงอาทิตย์สาดแสงแรงกล้า ริ้วเมฆบางเบา ประกายแสงสะท้อนลำน้ำลั่วเหองามระยับ ดวงตะวันตั้งตระหง่าน บนเส้นทางหลักของลั่วหยางที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนนับร้อยพัน กลับปรากฏขบวนเกี้ยว รถม้าและเกวียนนับได้สิบกว่าคันค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปยังทิศตะวันตกของเมือง อันเป็นเส้นทางซึ่งเป็นที่ตั้งของจวนขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนัก ผู้คนที่แหวกทางให้ต่างก็คาดเดากันไปว่าวันนี้คุณหนูบ้านใดจะได้รับการทาบทามสู่ขอให้กับเจ้าของขบวนทรัพย์สินที่เพิ่งเคลื่อนผ่านไปนี้ ทว่ากลับมีคนจำนวนหนึ่งซึ่งรู้ดีกว่าใครว่าขบวนสินสอดนี้กำลังจะมุ่งไปที่ใด “องค์จักรพรรดิทรงพระราชทานกำไลหยกหรูอี้มาหนึ่งคู่ให้เป็นของหมั้นสำหรับท่านอ๋องน้อยอวี่หยางกับบุตรีของเสนาบดีเซียว ไม่รู้ว่ากำไลหยกล้ำค่านั้นจะตกอยู่ที่คุณหนูคนใด” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นราวกับเป็นคนวงในเสียเอง ขณะที่สายตาก็มองขบวนทรัพย์สินเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า “แน่นอนว่าต้องเป็นคุณหนูรองสกุลเซียวสิ หลักจริยาครบถ้วน กิริยามารยาทงดงามอ่อนช้อย อายุอานามก็ย่างเข้าสิบเจ็ดปีแล้ว ย่อมสมควรออกเรือนก่อนคุณหนูคนอื่น” ชายหนุ่มผู้หนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ฟังน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง “จริงหรือ นับว่าเป็นวาสนาของเสนาบดีเซียวแล้ว ท่านอ๋องน้อยผู้นี้เป็นถึงรองเสนาบดีกรมคลัง อนาคตทางราชการรุ่งโรจน์ อีกทั้งยังเป็นเชื้อพระวงศ์ หากบุตรีตระกูลขุนนางได้แต่งออกไปให้เขา ย่อมส่งเสริมอาชีพการงานของบิดาได้อย่างดีเยี่ยม” ชายหนุ่มหัวเราะ “จริงของพี่ชาย นับเป็นวาสนาอย่างยิ่ง บุตรสาวของเสนาบดีเซียวแต่ละนางล้วนจริยามารยาทงดงาม ท่านอ๋องน้อยแต่งผู้ใดก็มีแต่ได้ศรีภรรยาผู้เพียบพร้อม ข้าว่างานนี้คุณหนูรองนับว่าโชคดีมหาศาล” คนกลุ่มนั้นพูดคุยกันสักพัก รอกระทั่งขบวนรถเคลื่อนผ่านไปจนหมด ชายหนุ่มผู้รู้ลึกรู้จริงจึงขอปลีกกายเดินจากมา อาภรณ์สีเทาหม่นดูธรรมดากลมกลืนกับคนทั่วไปได้ดียิ่ง หมวกที่ร้อยผ้าแพรสีเข้มปิดบังใบหน้าเฉกเช่นชาวยุทธ์ทั่วไปทำให้ผู้อื่นมิได้แปลกใจมากนัก ร่างโปร่งของเขาผลุบเข้าตรอกซอยหนึ่ง ก้าวฉับไปได้สักพัก เบื้องหน้าพลันปรากฏรถม้าราวสามสี่คันจอดเรียงรายกันอยู่หน้าโรงเตี๊ยมราวกับขบวนขนส่งสินค้า “อ้าว…เจ้าหนุ่ม ใช่คนที่มาสมัครตำแหน่งจิปาถะหรือเปล่า” ใครคนหนึ่งที่ยืนรวมกับกลุ่มรถม้าเรียกเขาเอาไว้ เท้าของเขาชะงัก เลิกผ้าซึ่งปิดบังใบหน้ามองคนที่กำลังเรียกเขาอย่างพินิจพิจารณา พบว่าเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขาสวมอาภรณ์นักพรตสีดำคาดแถบขาว บนใบหน้าไว้เคราแพะที่เริ่มมีหงอกสีขาวแซมจำนวนหนึ่ง “พวกท่านรับคนงานเพิ่มหรือ” ชายคนนั้นพยักหน้า กวักมือเรียก “มาๆๆ วันนี้เราต้องออกจากเมืองก่อนตะวันตกดิน ยังต้องการคนอีกจำนวนมาก” “ออกจากเมืองหรือ” “ใช่ เจ้าจะไปหรือไม่” รอยยิ้มพลันปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่ม “ไปสิ”   “ท่านอ๋องจวินจี๋ โปรดทรงระงับโทสะ ท่านอ๋องน้อย โปรดอย่าได้ถือสาม่านหนิงของกระหม่อมเลย เป็นผู้แซ่เซียวอบรมบุตรสาวคนที่สามของตัวเองไม่ดี ม่านหลิวของพวกเราตอนนี้ไม่ทราบจริงๆ ว่านางหายไปที่ไหน ท่านอ๋องน้อย ท่านสามารถหมั้นหมายกับบุตรสาวคนรองของกระหม่อมได้ ม่านหนิงของกระหม่อมปฏิบัติตนในกรอบจริยามิเคยด่างพร้อย แตกต่างกับม่านหลิวที่แก่นแก้วโดยสิ้นเชิง หากว่า…” “ที่ข้าต้องการตัวคือเซียวม่านหลิว หากไม่ใช่นางก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” “ท่านอ๋องน้อย…” เซียวอี้ไฉเรียกเว่ยฉืออวี่หยางด้วยน้ำเสียงคล้ายจะร่ำไห้ เขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนอย่างเซียวม่านหลิวที่เก็บตัวเงียบเชียบตลอดทั้งปีมานี้ถึงกับกล้าหลบหนีออกจากจวนตระกูลเซียวโดยไม่ให้ใครรู้ตัว ทั้งยังคาดไม่ถึงว่าเว่ยฉืออวี่หยางที่วันๆ เอาแต่ทำงาน พอหลังพิธีปักปิ่นของเซียวม่านหลิวไม่ทันไรก็ขอพระราชทานของหมั้นจากองค์จักรพรรดิแล้วบุกมายังจวนตระกูลเซียวโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ ทั้งยังหักหน้าเซียวม่านหนิงที่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามีใจให้เขาได้อย่างเลือดเย็น หากเป็นเช่นนี้แม้คนทั้งครอบครัวอยากเป็นเทพอุ้มสมให้นาง เซียวม่านหนิงก็ไร้วาสนาไม่อาจมีตัวตนอยู่ในสายตาของเว่ยฉืออวี่หยางอยู่ดี จวินจี๋จวิ๋นอ๋องซึ่งนั่งตรงตำแหน่งประธานในห้องโถงตระกูลเซียวตีหน้าขรึมลง แม้จะพึงพอใจในตัวเซียวม่านหนิงไม่น้อย กระนั้นก็ยังไม่อยากขัดใจบุตรชายของตนนัก เซียวม่านหนิงรูปโฉมงดงามล่มเมือง เพียบพร้อมดั่งกุลสตรีในห้องหอ ตั้งแต่ถือกำเนิดมาก็อยู่ในสายตาของผู้หลักผู้ใหญ่ในจวนมาโดยตลอด หากเว่ยฉืออวี่หยางจะสืบทอดบรรดาศักดิ์อ๋องต่อจากเขา มีแต่แต่งสตรีเช่นนางเท่านั้นจึงจะเสริมบารมีให้กับบุตรชาย ต่างกับเซียวม่านหลิวโดยสิ้นเชิง เซียวม่านหลิวแม้เติบโตมากับบุตรชายของเขา ทว่าหลายปีก่อนนางถูกส่งตัวไปยังบ้านเกิดของมารดาบังเกิดเกล้าที่เฉินตู และเพิ่งกลับมาลั่วหยางเมื่อปีก่อน ถึงภายนอกจะไม่มีอะไรแตกต่างกับพี่สาวนัก ทว่านางมิได้อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ในเมืองหลวงมาตั้งแต่ต้น ทั้งยังมีแววว่าจะพยศอย่างยิ่ง สตรีที่ดีไม่ควรมีลักษณะนิสัยอย่างนาง หากแต่งเข้าวังอ๋องเห็นทีต้องเกิดเรื่องไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่ ทว่าคนที่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องแต่งงานกลับเป็นเว่ยฉืออวี่หยาง เขาเป็นหลานคนโปรดขององค์จักรพรรดิ นานครั้งจะทูลขออะไรสักอย่าง อีกทั้งครั้งนี้ขอของหมั้นเพื่อทาบทามว่าที่ชายาเอก องค์จักรพรรดิทรงดีพระทัยอย่างมาก จึงพระราชทานกำไลหยกหรูอี้อันล้ำค่าให้เป็นของหมั้นหมาย ด้วยอายุและรูปโฉมของเว่ยฉืออวี่หยางนับได้ว่าเป็นเอกในแผ่นดินต้าถัง เพียงแค่เกริ่นว่าอยากแต่งงาน แม่สื่อทั้งหลายคร้านจะวิ่งมาถึงประตูวัง “เช่นนั้นก็หมั้นหมายม่านหนิงไว้ก่อน จากนั้นหลังจากหมั้นหมายม่านหลิวได้ก็แต่งพร้อมกัน พี่น้องเป็นชายาเอกชายารอง แบบนี้ในวังจวิ้นอ๋องจะได้ไม่ว้าเหว่จนเกินไป” จวินจี๋จวิ้นอ๋องเอ่ยทำลายความเงียบ “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่มีเมตตา ทว่าผู้น้อยมิอาจทนรับได้” เป็นเซียวอี้ไฉที่เอ่ยปฏิเสธก่อนเว่ยฉืออวี่หยางเสียอีก เซียวม่านหนิงมองบิดาด้วยใบหน้าเผือดสี “ท่านพ่อ” เซียวอี้ไฉรู้ใจบุตรสาวเป็นอย่างดี ทว่าหากให้บุตรสาวทั้งสองแต่งงานไปกับผู้ชายคนเดียวกัน สักวันอาจต้องเกิดโศกนาฏกรรมดังเช่นเรื่องราวของเขาในอดีต ความผิดพลาดในอดีตเป็นบทเรียนในอนาคต เขาจะไม่ให้มันเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเด็ดขาด “ผู้น้อยมิอาจยินยอมให้บุตรสาวทั้งสองแต่งงานกับบุรุษคนเดียวกันได้ ท่านอ๋องก็ทราบประวัติของสกุลเซียวเป็นอย่างดี โปรดเห็นใจครอบครัวของเราด้วย” เซียวอี้ไฉจงใจแทนตัวต่ำต้อย เพื่อเพิ่มระยะห่างให้กับทั้งสองตระกูลยิ่งขึ้น “เซียวอี้ไฉ!” จวินจี๋จวิ้นอ๋องตวาดเสียงดัง ตบหน้าขาตนเองฉาดใหญ่จนคนที่อยู่ในห้องโถงสะดุ้งโหยง ตัวเขารู้สึกคล้ายถูกหยามหน้าโดยตรง เชื้อพระวงศ์อย่างเว่ยฉืออวี่หยางจะมีสตรีใต้อาณัติกี่นางก็ได้ ขุนนางทั้งหลายต่างก็มุ่งมาดจะเกี่ยวดองกับพวกเขา ที่เขาให้บุตรสาวในตระกูลเซียวแต่งเข้าวังอ๋องถึงสองคนมิใช่เป็นความเมตตาหรอกรึ “เสด็จพ่อ! ลูกก็ไม่เห็นด้วย” เป็นเว่ยฉืออวี่หยางที่ปฏิเสธเสียงแข็ง “อวี่หยาง” ใบหน้าของเว่ยฉืออวี่หยางแข็งทื่อ มิได้ชายตามองเซียวม่านหนิงแม้แต่แวบเดียว ความเย็นชาเหินห่างแผ่กำจายจนผู้คนไม่กล้าตอแย “ลูกตั้งใจจะแต่งกับสตรีเพียงนางเดียว หากว่ามิได้นางมาครอบครอง ชาตินี่อวี่หยางจะไม่ขอแต่งงาน” สิ้นคำของเว่ยฉืออวี่หยาง พลันเกิดเหตุการณ์น้อยใหญ่ตามขึ้นมาเป็นพรวน ประดุจเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวอย่างไรอย่างนั้น จวินจี๋จวิ้นอ๋องลมแทบจับ เซียวอี้ไฉระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ดวงใจของเซียวม่านหนิงแหลกสลายป่นปี้ ขณะเดียวกันเมื่อเรื่องถึงพระเนตรพระกรรณขององค์จักรพรรดิ ใบหน้าของเซียวม่านหลิวก็ถูกแปะบนกระดานข่าวสารของแต่ละเมืองอย่างรวดเร็ว มิคาดว่าความรู้สึกที่ท่านอ๋องน้อยเว่ยฉืออวี่หยางมีต่อเซียวม่านหลิว จะไม่ใช่แค่ความรักหนุ่มสาวโดยทั่วไปเสียแล้ว   บิดาของเซียวม่านหลิวเป็นเสนาบดีกรมโยธาธิการ เรื่องระบบก่อสร้าง วางผังเมือง ค่ายกล รวมไปถึงหลักการฟ้าดิน ลมน้ำ ในคัมภีร์ทั้งหลายนางล้วนรอบรู้ทะลุปรุโปร่ง ที่จริงนางคาดว่าเมื่อออกจากเมืองหลวงแล้วจะอาศัยความทรงจำเมื่อปีก่อน มุ่งหน้าสู่เมืองเฉินตูเพื่อกลับบ้านเกิดของมารดา มิคาดว่าเมื่อขบวนรถม้าเคลื่อนออกจากประตูเมือง ทิศทางสายหลักของขบวนพ่อค้าที่ควรจะมุ่งไปก็เปลี่ยนทิศ กลับกลายเป็นการอ้อมเนินเขาลูกหนึ่ง ลัดเลาะชายป่าที่มีหญ้าขึ้นปกคลุมเส้นทางเพื่อมุ่งสู่ทิศตะวันตกของลั่วหยาง เส้นทางที่ปรากฏยิ่งทำให้นางใจสั่นหวิว นึกหวาดระแวงขึ้นมาในทันใด ท่านพ่อเคยให้นางอ่านแผนผังบ้านเมือง จุดไหนเป็นจุดไหนนางย่อมจำได้ ครั้งนี้มุ่งสู่ทางทิศตะวันตก ไปยังเขตเขาซีหยาง มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือ …มุ่งเข้าสู่สุสานราชวงศ์ เซียวม่านหลิวในชุดของบุรุษกระแอมเพื่อดัดเสียงให้เข้มขึ้น สอบถามหัวหน้าคนงานที่นั่งรถคันเดียวกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ “พี่ชาย…เราจะไปไหนกันหรือ” คนที่นางถามเป็นพี่ชายหน้าแหลมคนหนึ่ง หางคิ้วตก ตาเล็กหยี คางแหลมราวกับมุสิก เขาสะดุ้งจากการสัปหงก กล่าวอย่างสะลึมสะลือว่า “ไปทำงานอย่างไรเล่า เจ้าไม่ต้องห่วง คณะของพวกเราจ่ายค่าตอบแทนอย่างงดงาม” พูดจบเขาก็งีบหลับไปอีกครั้ง หัวหน้าขบวนพ่อค้ารูปร่างกำยำ แตกต่างจากวาณิชทั่วไปมากนัก เซียวม่านหลิวจึงพยายามคิดในแง่ดีว่าการเป็นพ่อค้าที่เดินทางขนส่งสินค้าในแต่ละเมืองมิได้สะดวกสบายมากนัก ร่างกายกำยำล่ำสันถึงจะดี กอปรกับมีนักพรตซึ่งดูคล้ายเป็นผู้ทรงความรู้คนหนึ่งติดตามในขบวนด้วย อีกทั้งหน้าตาของแต่ละคนแม้จะดิบเถื่อนอยู่บ้าง แต่กลิ่นอายสังหารกลับไม่มี เซียวม่านหลิวใช้ชีวิตหลายปีมานี้กับคนในตระกูลของมารดาที่ผาดโผนในยุทธภพ หน้าตาเป็นอย่างไรก็มิอาจบ่งบอกนิสัยใจคอได้ชัดเจน อีกทั้งรูปร่างของนางมิได้ตัวเล็กบอบบางดังเช่นสตรีในห้องหอ ยิ่งเติบโตก็ยิ่งแตกต่างกับพี่สาวน้องสาวราวกับมิได้ร่วมวงศ์วานเดียวกัน การปลอมตัวเป็นบุรุษจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง เพราะเช่นนี้นางจึงตัดสินใจติดตามพวกเขาออกมานอกเมือง นางระบายลมหายใจเหนื่อยอ่อน ลางสังหรณ์ของนางแม่นยำมาแต่ไหนแต่ไร เกรงว่าขบวนพ่อค้าขบวนนี้จะมิใช่แค่พ่อค้าธรรมดาเสียแล้ว เส้นทางการหลบหนีออกนอกเมืองคล้ายราบรื่นดียิ่งราวกับสวรรค์จงใจเปิดทาง แต่ยิ่งราบรื่นก็ยิ่งน่ากังวลมากขึ้นทุกที เมื่อขบวนรถม้าจอดนิ่งอยู่ในพงหญ้าไม่ไกลจากทางเข้าสุสานราชวงศ์ มิคาดว่าที่นางสังหรณ์จะเป็นเรื่องจริง รถม้าคันอื่นๆ ที่คล้ายกับเป็นผู้ร่วมงานเก่าแก่ลงจากรถอย่างรวดเร็ว ส่วนรถม้าสองคันสุดท้ายรวมถึงคันของนางเองกลับมีแต่คนงุนงงสงสัย เนื่องจากอัตราส่วนระหว่างคนที่เพิ่งรับเข้ามากับคนเก่าแก่เทียบกันแล้วเป็นครึ่งต่อครึ่ง จึงน่าประหลาดใจไม่น้อย ในที่สุดก็มีคนสงสัยถามออกมา “พี่ชาย คนเยอะเช่นนี้พวกท่านจะทำอะไรกัน มิใช่ว่าพวกเราต้องเดินทางไปส่งสินค้าที่เมืองอื่นๆ รึ?” หัวหน้าพ่อค้าเดินถือชะแลงมายังกลุ่มที่เซียวม่านหลิวยืนอยู่ เขาจึงเป็นคนไขความกระจ่างแจ้งเสียเอง “ก่อนจะไปส่งสินค้า ต้องมีสินค้าก่อนจึงจะส่งได้” “สินค้าหรือนายท่าน สินค้าอะไร” “มารับของไปแล้วฟังคำสั่งของหัวหน้าที่ดูแลพวกเจ้าให้ดี สินค้าครั้งนี้มูลค่ามหาศาล หากขนส่งสำเร็จ ผลตอบแทนจะกลับไปสู่พวกเจ้าจนใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด” คนงานที่รับมาใหม่แต่ละคนขานรับด้วยความคึกคัก เรื่องผลตอบแทนอันล่อตาล่อใจเช่นนี้น้อยคนนักจะไม่หวั่นไหว แม้แต่นางเองที่เติบโตมาโดยไม่ขัดสนก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ชักแน่ใจแล้วว่าสินค้าที่จะขนไปต้องเป็นของที่อยู่ในสุสานราชวงศ์อย่างแน่นอน เส้นทางที่กำลังเดินไปก็ช่วยยืนยันความคิดของนางได้อย่างแม่นยำ พวกเขากำลังช่วยกันขุดเนินทางทิศตะวันตกที่เป็นจุดซึ่งเชื่อมโยงกับพื้นที่บางส่วนของสุสานแห่งนี้โดยมีนักพรตเฒ่าใช้เข็มทิศปากว้า[1]เพื่อระบุตำแหน่ง “พี่ชาย ระดมคนมาขุดดินตั้งมากมายเช่นนี้จะมากเกินสินค้าหรือไม่” ใครคนหนึ่งถามขึ้น เมื่อมองอย่างไรเนินดินนี้ก็คงไม่อาจฝังสิ่งของได้มากมายมหาศาลเท่าใดนัก กลับเป็นเซียวม่านหลิวที่กลืนน้ำลายอย่างเงียบงัน โทษของการขุดสุสานราชวงศ์ประหารเก้าชั่วโคตรก็ไม่พอใช้คืน อีกทั้งคนพวกนี้ยังถูกหลอกให้มาทำงานผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย ทันใดนั้นก็ได้ยินคำพูดที่ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ “หึๆ ไม่ต้องห่วง เกรงว่าคนที่ออกไปจะไม่เท่าจำนวนที่เข้ามานะสิ” เป็นพี่ชายหน้าแหลมที่อยู่บนรถคันเดียวกับนางพูดขึ้น ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ตื่นเต้นหรือละโมบโลภมากแม้สักนิด นางรู้จักสีหน้าแบบนี้ดี ชินชา… บิดาของนางบอกว่าสุสานของราชวงศ์ในแถบนี้กินอาณาบริเวณกว้างเป็นอย่างมาก แต่ละสุสานจะมีการออกแบบกลไกข้างในและตำแหน่งทิศทางไม่เหมือนกัน สุสานของบางคนถึงกับมีสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นเร้นกายอยู่ กล่าวกันว่าผู้ขุดของคนตายขึ้นมากินมาใช้ย่อมไม่ได้ตายดีสักราย เมื่อคิดถึงตรงนี้ถุงน้ำดีก็พลันหดเล็กเท่าเม็ดถั่ว “บังอาจ! มันผู้ใดเป็นสตรีปลอมตัวมา!” จู่ๆ นักพรตผู้นั้นก็ตวาดก้อง ทำเอาคนที่กำลังขุดดินอยู่หยุดชะงัก ดวงตาคมกริบของนักพรตผู้นั้นกวาดมองกลุ่มคนงานใหม่ ปากก็กล่าววาจาร้ายกาจว่า “สตรีเหยียบสุสานจะทำให้อาคมที่สะกดภูตผีในสุสานเสื่อม พวกมันจะออกอาละวาด รีบแสดงตัวออกมาก่อนจะเกิดเหตุอาเพศ!” โทสะของนักพรตจี้มีอำนาจเหนือสติสัมปชัญญะทั้งมวล ในที่สุดเขาก็หลุดออกมาแล้วว่าสิ่งที่กระทำอยู่ก็คือการลอบขุดสุสาน เซียวม่านหลิวแม่จะตระหนกอยู่บ้าง แต่หากนางไม่แสดงพิรุธ นางเชื่อว่าตนเองจะรอดพ้นเรื่องนี้ไปได้ “เกิดอะไรขึ้นนักพรตจี้” หัวหน้าโจรในคราบพ่อค้าผละจากหลุมที่ขุดอีกแห่งเข้ามาถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เรียนท่านหัวหน้า จานแปดทิศของข้ากำลังร้องเตือนว่ามีสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษปะปนมาในหมู่พวกเราขอรับ” นักพรตจี้ตอบ ก่อนจะหันมาตวาดกลุ่มคนงานใหม่ที่กำลังทำงานงกๆ “ใครเป็นผู้รับผิดชอบหาคนงาน ข้าบอกแล้วว่าสุสานนี้ห้ามนำสตรีเข้ามา เหตุใดจึงไม่ตรวจสอบคนทั้งหมดให้ละเอียดก่อน!” เซียวม่านหลิวนิ่วหน้า ก็เข่านั่นแหละที่รับนางเข้ามา ทันใดนั้นพื้นดินที่ยืนอยู่ก็พลันอ่อนยวบ ดูดร่างของนางลงไปเบื้องล่างในทันที ก่อนที่จะนางกระแทกพื้นจนหมดสติยังได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในโสตประสาท “เป็นนาง! รีบฆ่านางก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายแรง รีบลงไปฆ่านาง!” จบ(๑)         [1] สัญลักษณ์ทั้งแปดในคัมภีร์อี้จิง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม