ตอนที่ 3

1583 คำ
ขณะขับรถมุ่งหน้าสู่บ้านมาลัยด้วยใบหน้าหมอง อนิลทิตา พิรุฬพร อดคิดไม่ได้ว่า เหตุการณ์วันนี้เหมือนเมื่อปีก่อนโน้นไม่มีผิด ครั้งนั้น เธอเดินทางกลับบ้านเพื่อมาร่วมงานศพบิดา มาครั้งนี้ เธอต้องกลับมาเผาศพพี่สาวที่จากไปด้วยวัยเพียงแค่ยี่สิบหกปี เมื่อได้รับข่าวพี่สาวประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตคาที่  ความรู้สึกแทบไม่ต่างจากครั้งรู้ข่าวการจากไปอย่างกะทันหันเนื่องจากอาการหัวใจวายของบิดา เธอยังไม่รู้รายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คิดว่าป่านนี้พี่เขยของเธอคงอยู่ในสภาพหัวใจสลายแล้วอย่างสิ้นเชิง ณัทธรรักลูก รักภรรยา นั่นคือที่เธอคิดและเชื่อมาตลอด แม้ว่าอัญญดาจะเคยโทรมาบ่นเบื่อสามีที่ไม่ค่อยมีเวลาให้     “พี่เบื่อๆๆ”  เสียงดังมาตามสายซอยถี่ยิบฟังหงุดหงิดพร้อมจะระเบิด “วันๆ คุณณัทไม่เคยอยู่บ้าน เอาแต่ทำงาน จะเห็นหัวก็โน่นมืดค่ำ พี่จะทนไม่ไหวอยู่แล้วนะอิน... ก็เข้าใจหรอกว่าต้องดูแลทุกอย่างเพราะไม่มีคุณพ่อช่วยอย่างแต่ก่อน” ขณะรับฟังเธอเข้าใจว่าเป็นอารมณ์ของคนกำลังท้องกำลังไส้ อารมณ์แปรปรวน อยากได้รับความเอาใจใส่จากคนที่เป็นพ่อของลูกมากเป็นพิเศษ ก็พยายามปลอบกลับไปกลางๆ ไม่เข้าข้างฝ่ายไหน เท่าที่พอจะทำได้ “พี่อัญก็หาอะไรทำเข้าซี ลองถักนิตติ้งไหมล่ะ อินจะซื้อหนังสือวิธีถักส่งไปให้ ถักถุงเท้าถุงมือเล็กๆ ให้หลานก็ได้” “โอ๊ย! ไม่เอา ถักน้งถักนิตอะไรพี่คงขาดใจตายก่อนจะลงมือ เนี่ยขอตังค์คุณณัทไว้ ว่าจะไปทัวร์ญี่ปุ่นกับเพื่อนๆ แหม! แค่เราบอกจะไปเที่ยวเท่านั้นแหละหน้างอเป็นอะไร แล้วก็ไม่บอกหรอก จะให้หรือไม่ให้ หนีเข้าไร่ไปซะอย่างนั้น” “อะไรกันคะ จะเที่ยวอีกแล้ว สองเดือนก่อนพี่อัญก็เพิ่งไปเที่ยวเกาหลีกับเพื่อนๆ มาไม่ใช่หรือคะ?” “เฮ่อ!  เกาหลีก็งั้นๆ แหละ ถ้าไม่อยากดูคอนเสิร์ตบอยแบรนด์ที่ชอบก็คงไม่ไป ใจพี่อยากไปญี่ปุ่นหน้าดอกซากุระบานมากกว่า” นึกถึงที่เคยพูดคุยกันทางโทรศัพท์อนิลทิตาก็จุกที่คอ อัญญดาอาจจะไม่ใช่พี่สาวที่ดีวิเศษ พูดจริงๆ บ่อยครั้งที่ทำตัวไม่น่ารักเลย แต่พี่ก็คือพี่ โตมาด้วยกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างตามประสา แต่ก็ไม่เคยมีอะไรรุนแรง พูดถึงความสนิทสนมระหว่างพี่น้อง ตั้งแต่โตๆ กันก็อาจจะห่างกันไปบ้าง เพราะต่างคนต่างมีกลุ่มเพื่อนของตน ชอบใช้ชีวิตคนละรูปแบบ อัญญดามีเพื่อฝูงมากหน้าหลายตา ส่วนใหญ่เป็นพวกชอบเที่ยว ชอบสังสรรค์ สนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้ไปวันๆ  ส่วนเธอมีชีวิตเรียบง่ายๆ พ้นจากวัยเรียนก็ทำงาน เพื่อนที่คบหาก็มีแต่ที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันกลุ่มเล็กๆ  หลังเรียนจบก็แยกย้ายกันไป บางคนไปเรียนต่อต่างประเทศ บางคนก็เลือกที่จะทำงานตามที่เรียนมาเช่นเดียวกับเธอ นานๆ อาจจะมีนัดเจอกันสักครั้ง แต่ส่วนใหญ่มักว่างไม่ตรงกันก็เลยห่างเหินกันไปเรื่อยๆ อนิลทิตายนึกถึงพี่สาวด้วยความใจหาย กระทั่งถึงวัดที่ตั้งศพ เธอไม่ได้แวะบ้าน  เพราะรู้จากมารดาทางโทรศัพท์แล้ว ว่าได้นำศพไปไว้ที่วัดเลย เพราะเชื่อกันมาแต่โบราณว่าไม่ควรเอาศพคนตายโหง คือการตายที่มีสาเหตุมาจากประสบอุบัติเหตุ เข้าบ้าน  คนที่ออกมารอรับตั้งแต่เห็นเธอขับรถเข้าไปจอด ไม่ใช่มารดา แต่เป็นพี่เขยที่เพิ่งตกพุ่มม่ายหมาดๆ “ไม่นึกว่าอินจะมาได้เร็ว”  สีหน้าของชายหนุ่มดูหมองคล้ำ ดวงตาสีน้ำตาลจัดเหมือนจมลึกลงไปอีก  แปลกว่าเธอรู้สึกว่าเขาเผชิญกับความทุกข์มานาน แทนที่จะเป็นว่าเพิ่งมาทุกข์ระทมกับการจากไปของภรรยาคนสวย “พอคุณแม่โทรไป อินก็บอกลางานกับหัวหน้าทันที”    เธอตอบ มองหน้าคมสันอย่างเห็นใจ เข้าใจความหม่นหมองของเขา “อินเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะ พี่ณัท  ไม่คิดว่า...”    ไม่ได้ตั้งใจเลยที่จะร้องไห้ออกมาต่อหน้าเขา แต่จู่ๆ น้ำตาก็ไหลพราก เพียงคิดไปว่าพี่สาวคนเดียวมาด่วนจากไปเสียแล้ว  ส่งผลให้หลานสาวที่ยังไม่เดียงสาต้องมากำพร้าแม่  โตมาก็คงจำหน้าแม่ไม่ได้  ต้องอาศัยดูจากรูปถ่าย  แล้วเด็กผู้หญิงที่ขาดแม่ ซึ่งมีทางเป็นไปได้สูงว่าผู้เป็นพ่อคงจะหาแม่เลี้ยงให้แน่ๆ ในเมื่อยังหนุ่มยังแน่นออกอย่างนั้น  “ไม่เป็นไร” เสียงบอกมาเกือบเป็นกระซิบ “อย่าร้องไห้ อิน คิดเสียว่า... อัญเขาไปสบายแล้ว” ขณะปลอบที่เห็นหญิงสาวโศกเศร้าเสียใจต่อการจากไปอย่างไม่คาดฝันของพี่สาว ณัทธรไม่ได้มองหน้าคนที่ยืนก้มหน้าน้ำตาไหลพรากๆ  ด้วยการเมินไปทางอื่น กรามถูกบดเข้าหากันจนปรากฏรอยนูนที่ข้างแก้ม ประกายตาคมจุดแววกราดเกรี้ยวอยู่ลึกๆ ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนหนุ่มสาวจะทันได้พูดอะไรกันต่อ ดวงทิพย์ก็เดินอุ้มหลานสาววัยขวบสองเดือนเข้ามาหา เด็กหญิง พิมพ์ทิตา มณฑารพ หรือน้องอิง ได้ถือกำเนิดก่อนกำหนด คือออกมาลืมตาดูโลกหลังจากมารดาตั้งครรภ์ได้เพียงเจ็ดเดือนด้วยน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ถึงตอนนี้ แม้รูปร่างจะแบบบางเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ สุขภาพอนามัยของแม่หนูก็จัดว่าสมบูรณ์ พัฒนาการต่างๆ เป็นไปตามวัยทุกอย่าง อนิลทิตาสวมกอดมารดาไว้หลังจากกราบลงที่ไหล่  ไม่รู้จะปลอบมารดาอย่างไรดี นอกจากพูดว่า  “ไม่เป็นไรนะคะแม่” ดวงทิพย์ไม่ได้กล่าวตอบ ได้แต่รับรู้ว่าบุตรสาวคนเล็กเข้าใจความรู้สึกของเธอดี เพราะต่างก็ร่วมสูญเสียด้วยกันในครั้งนี้ เหมือนเมื่อครั้งครอบครัวพิรุฬพรได้เสียหัวหน้าครอบครัวไป “ส่งน้องอิงมาให้ผมเถอะครับ”   ณัทธรพูดขึ้น นั่นละ อนิลทิตาจึงคลายวงแขนจากมารดา ถอยออกห่าง พร้อมกับมองหน้าเล็กของหลานสาวตัวน้อยด้วยดวงตาพร่าพราย ความเวทนาสงสารหลาน ที่ต้องมากำพร้ามารดาก่อนจะทันรู้ความนั้นเอง ทำให้กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกครั้ง ยิ่งแม่หนูฉีกยิ้มแป้นแร้นเห็นเหงือกสีชมพูส่งมาให้อย่างไร้เดียงสา ก็หลุดเสียงปนสะอื้น “ยายหนู... น้องอิง น้องอิงของน้า มานี่มา” อนิลทิตารับร่างจ้อยของหลานสาวมาอุ้มเสียเอง และก็แปลกนัก ทันทีที่ตกสู่อ้อมโอบของน้าสาว แม่หนูตัวน้อยก็ตวัดแขนเล็กๆ โอบรัดเข้ารอบคอน้าสาว แถมยังซุกหน้ารูปหัวใจดวงน้อยๆ ย่อส่วนลงมาจากใบหน้าของคนอุ้ม ลงกับซอกไหล่ของคนเป็นน้าอย่างประจบ ไร้ท่าทีตื่นกลัว ทั้งๆ เจอกันเพียงหนเดียว  แล้วตอนนั้นแม่หนูเพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่ไม่กี่ชั่วโมง ดวงทิพย์สะอื้นเบาๆ กับท่าทีสนิทสนมสนม บอกถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่หลานน้อยมีต่อลูกสาวคนเล็กของเธอ ความผูกพันทางสายเลือด... ดูเหมือนจะเป็นคำอธิบายที่ตรงตัวที่สุด  เพราะปกติ เด็กหญิงใช่จะยอมให้ใครอุ้มง่ายๆ ยิ่งกับคนแปลกหน้าด้วยแล้ว ไม่เอาด้วยเลย ณัทธรถึงกับเมินหน้าจากหญิงสาวเป็นครั้งที่สอง ไม่มีใครเห็นสีหน้าเขาว่าเป็นเช่นไรในวินาทีนั้น เพราะเมื่อหันกลับมาพูดเสียงเรียบ ทุกอย่างเป็นปกติ “เข้าไปในศาลากันเถอะครับ หัววันอย่างนี้คงจะยังไม่มีใครมา”  “ไปสิจ๊ะ”   ดวงทิพย์รับคำลูกเขย แต่ก่อนจะทันก้าวเดินก็ต้องพากันชะงัก รถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดในลานหน้าศาลาที่ตั้งศพ พอคนในรถก้าวลงมา ณัทธรก็พูดขึ้นเกือบทันที “เพื่อนผมเอง คงจะได้ข่าวจาก... ทางเพื่อนของอัญญดาที่กรุงเทพฯ ผมขอตัวสักครู่นะครับ คุณอาเข้าไปนั่งพักก่อนก็ได้” ดูเหมือนณัทธรจะมีเรื่องพูดคุยกับเพื่อนของเขามากทีเดียว กว่าจะตามเข้าไปสมทบกับแม่ยายด้านในศาลาก็เกือบสิบนาทีให้หลัง “คุณอาครับ นี่...ภาสุรพันธ์ เพื่อนผม” “เรียกผมโป้งเถอะครับ” ชายหนุ่มที่มาบอกเรียบร้อยขณะยกมือไหว้แม่ยายเพื่อน  ภาสุรพันธ์ ศานุวัตร มีความสูงพอๆ กับผู้เป็นเพื่อน เพรียวกว่าเล็กน้อย ผิวขาว หน้าคมสวย คิ้วเข้มดำเป็นปื้นเหนือกรอบตาคม เป็นสีเดียวกับผมเส้นหยักศกบนศีรษะ ซึ่งเป็นสีเดียวกับนัยน์ตา เนื่องจากความขาวของสีผิว  ริมฝีปากเต็มได้รูปงามจึงออกสีเนื้อสดค่อนไปทางชมพูเล็กน้อย จมูกโด่งตรงได้ส่วน มองเห็นรอยขาวจางๆ ของแผลเป็นเล็กๆ ที่คงจะเกิดขึ้นนานแล้วพาดผ่าน  ไม่สังเกตใกล้ๆ ก็แทบมองไม่เห็น ประกายจากดวงตาสีดำสนิทในวงล้อมขนตาดกหนา แจ่มใส พร่างไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี เหมือนว่าไม่เคยพานพบความทุกข์โศกใดๆ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม