ฝนยังตกลงมาเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด อนิลทิตาต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ สภาพดินฟ้าอากาศแบบนี้คงไม่มีใครอยากจะออกจากบ้าน
ขับรถท่ามกลางสายฝนนี้เหลือจะทน บรรยากาศมืดมัวซัวไปหมด แสงไฟหน้ารถเปิดตั้งแต่ออกจากที่พักมาตลอดทาง ส่องเป็นลำไปได้ไม่ไกลนัก
หลังจากเลือกถนนเล็กที่จะไปบรรจบเส้นทางหลวงสายหลักทีหลัง อนิลทิตาก็รู้ว่าเป็นการตัดสินใจผิด เมื่อเจอรถบรรทุกคันใหญ่ๆ เข้าหลายคัน ต้องขับชิดขอบซ้ายของถนนตลอดเวลา ให้รถใหญ่ที่วิ่งเร็วกว่าไปก่อน รถเล็กของเธอเจอทั้งน้ำทั้งโคลนสาดใส่ไปทั้งคัน แต่ฝนลงมาขนาดนี้ก็พอจะล้างโคลนออกได้บ้าง
ที่ปัดน้ำฝนทำหน้าที่อย่างหนัก แต่ปัดเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมด ฝนที่ตกลงมาเม็ดใหญ่และหนา เหมือนจะเทลงมาหนักกว่าเดิม
เสียงโทรศัพท์มือถือบนเบาะข้างตัวดังขึ้น หลังเธอนำรถกลับขึ้นสู่ถนนหลวงสายหลัก ในสองชั่วโมงต่อมา
“อิน... ถึงไหนแล้วลูก?”
เสียงพูดมาทันทีที่กดปุ่มรับสาย หลังจากเสียบหูฟัง
“อีกราวๆ ยี่สิบโล อินก็จะถึงทางแยกเข้าหมู่บ้านแล้วค่ะแม่”
บอกมารดาซึ่งคงจะเป็นห่วงที่ลูกสาวไม่ถึงบ้านเสียที
“ฝนตกหนักมาก หนูขับเร็วไม่ได้เลย”
“ไม่ต้องรีบนะ ค่อยๆ มา แม่เป็นห่วง”
“ค่ะ แม่ แค่นี้ก่อนนะคะ”
“จ้ะ ขับรถระวังๆ นะลูก ถ้าอินเป็นอะไรไปอีกคน...”
“แม่คะ” เรียกมารดาเสียงอ่อนโยน เมื่อได้ยินเสียงสั่นเครือ พูดปลอบไป “หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ อย่างมากไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ก็คงจะถึงบ้าน”
เธอรู้ ความโศกเศร้ากับการจากไปอย่างกะทันหันของสามี จะอยู่กับมารดาของเธออีกนาน
ความรักระหว่างพ่อกับแม่นับว่าเป็นรักแท้ที่ยืนยง
ในชีวิตคู่ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรค แต่บิดามารดาของเธอก็จูงมือกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างมาได้ จวบกระทั่งบุตรสาวทั้งสองโตเป็นผู้ใหญ่
อนิลทิตานึกไปถึงพี่สาว
จากที่ได้พูดกันทางโทรศัพท์ เมื่ออัญญดาโทรบอกข่าวเกี่ยวกับการเสียชีวิตของบิดา เธออดรู้สึกไม่ได้ว่าถึงแม้พี่สาวของเธอจะเศร้าโศกเสียใจกับการเสียชีวิตของบิดา แต่ดูเหมือนจะมีความหงุดหงิดอยู่ด้วย
แต่อัญญดาก็นิสัยอย่างนั้นเอง คนใกล้ชิดต่างรู้ว่าถ้าไม่ได้ดังใจ หรือมีอะไรผิดไปจากที่คิดไว้จะหัวเสีย แล้วก็พาลกับคนรอบข้าง
อนิลทิตาพยายามวางใจเป็นกลาง ไม่ให้มีอคติกับพี่สาว ซึ่งก็มีกันเพียงสองคนพี่น้อง เมื่อตั้งถามกับตัวเอง
ถ้าเป็นเธอ... บิดาถึงแก่กรรมก่อนหน้าวันงานมงคลสมรสไม่ถึงสองสัปดาห์ ท่ามกลางความเสียใจจะหงุดหงิด พาลโกรธที่งานสำคัญของตนคงจะต้องเลื่อนออกไปหรือไม่?
คำตอบที่ได้คือ ‘ไม่’ เธอคงมีแต่ความโศกเศร้าเสียใจอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้
อนิลทิตารักบิดามารดาไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่เธอก็ค่อนข้างเป็นลูกพ่อ
เมื่อยังเด็ก ด้วยนิสัยซุกซน ไม่รังเกียจดินทรายที่อาจทำให้สกปรกมอมแมมไปบ้าง เธอจึงมักจะติดตามบิดาเข้าไร่ ระหว่างทางที่บิดาเดินสำรวจตรวจตราพืชผม เธอก็จะแล่นรี่ออกนอกเส้นทางเพื่อดอกไม้ป่า เก็บลูกผลไม้สีสันสวยงามแปลกตาไปฝากพี่สาว ฝากมารดาที่บ้าน
ทุกครั้งพ่อจะยืนรอเธออย่างใจเย็นด้วยสีหน้ายิ้มๆ คอยเตือนไม่ให้เธอเข้าไปยังที่รกๆ
ถ้าเห็นเธอขะเย้อแขย่งพ่อก็ตามมาเก็บให้ พ่อรู้ใจขนาดว่าอันไหนที่เธออยากปลิดเองกับมือ พ่อจะแค่แค่โน้มกิ่งลง
และที่เธอคุ้นชิน แววตาพ่อ สีหน้าพ่อ ยามมองลูกเมีย จะเปี่ยมไปด้วยความรัก ความห่วงใยเอาใจใส่
อนิลทิตาสะอื้นฮัก เมื่อสำนึกเตือนว่า พ่อที่รู้อกรู้ใจลูกได้จากไปแล้ว
พ่อที่กระซิบกระซาบกับแม่ ไม่ให้ปลุกเธอ เมื่อเธอไปถึงบ้าน ตั้งใจจะนอนเล่นๆ แล้วเผลอหลับด้วยความอ่อนเพลีย
พ่อที่ยืนมองตาม ไม่ยอมปิดประตูจนกว่ารถลูกสาวจะลับจากสายตา ยามเธอกลับบ้านและต้องจากมา
พ่อ ที่พยายามทำเสียงร่าเริงแม้จะผิดหวัง เมื่อรู้ว่าเธอจะยังกลับบ้านไม่ได้ตามที่บอกไว้ล่วงหน้า เพราะมีงานด่วนในวันหยุด
พ่อ ที่จะส่งเสียงบอกผ่านแม่... “ช่วงนี้อากาศแย่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวอย่าลืมเตือนลูกให้ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะคุณ” ก่อนแม่จะวางสายจากเธอ
พ่อที่ห่วงไปถึงกระทั่งเรื่องอาหารการกิน เพราะรู้ว่าเธอกินเผ็ดไม่ได้ เป็นที่รู้ว่าอาหารโปรดของเธอคือน้ำพริกกะปิ แม่ก็จะทำขึ้นโต๊ะให้ทุกครั้งที่เธอกลับบ้าน จะมีพ่อคอยเตือนให้แม่ใส่พริกแต่น้อย กลัวแม่จะลืมด้วยความเคยชิน เนื่องจากพ่อกินเผ็ด แต่เธอนั้นกินเผ็ดไม่ได้เลย
เวลานี้พ่อจากเธอไปแล้ว!
ทำไม...
พ่อของเธอเป็นคนแข็งแรง แล้วอย่างไรเกิดจะหัวใจวายกะทันหัน จากลูกเมียไปโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะสั่งลา
ม่านน้ำตาบวกกับสายฝนที่ยังตกลงมาอย่างหนัก ทำให้อนิลทิตาไม่สามารถขับรถไปต่อได้ ต้องแอบรถเข้าจอดข้างทาง เปิดไฟเลี้ยวให้กระพริบไว้เป็นที่สังเกตเห็นของรถที่แล่นมาข้างหลัง จากนั้นก็ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย ร้องไห้โฮออกมาดังๆ ไม่ทันคิดว่าจะเป็นอาการช็อกมาล่า
นับแต่ได้ข่าวการเสียชีวิตของบิดา ก็ไม่มีเวลาคิดอะไรมาก ตั้งสติได้ก็รีบจัดกระเป๋าแล้วขับรถออกมาจากอพาร์ตเมนต์ที่พักอยู่
โชคดีว่าวันนี้วันหยุด ไม่ต้องไปทำงาน ไม่อย่างนั้นก็คงเสียเวลาออกไปอีก เพราะจะต้องลางานให้เรียบร้อย แต่นี่หลังรับโทรศัพท์ จัดกระเป๋าเสร็จ ก็ออกเดินทางได้เลย เรื่องงานเอาไว้วันจันทร์ค่อยโทรลาก็ได้
อนิลทิตาปล่อยน้ำตาไหลทะลัก สะอื้นจนหลังไหล่หอบโยนอยู่พักใหญ่ จึงเงยหน้าปาดน้ำตาหยดสุดท้ายทิ้งไป บอกตัวเองว่า จะอ่อนแอไม่ได้ ต้องเข้มแข็งเข้าไว้ ร้องไห้ฟูมฟายไปก็เท่านั้น
ถ้าสวรรค์มีจริง บิดามองลงมา คงจะพอใจมากกว่าถ้าเธอจะทำตัวเป็นหลักให้ทุกคนในครอบครัว ในช่วงเวลาเช่นนี้
แม่เธอเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง แต่ในยามสูญเสียสามีไปกะทันหันแบบนี้ก็คงแทบทรุด สำหรับพี่สาวก็เป็นที่รู้อยู่ อาศัยพึ่งพาอะไรมากไม่ได้
รถคันเล็กเคลื่อนตัวอีกครั้ง แต่ก็ยังไปไม่ได้ไวเช่นเดิม
เวลาล่วงเลยไปกว่ายี่สิบนาที อนิลทิตาก็ถอนใจโล่งอก เมื่อมองเห็นป้ายตรงทางแยกข้างหน้า
แต่พอถึงทางแยกเข้าจริงๆ ทันทีที่เธอเลี้ยวรถจากถนนใหญ่ ก็ถูกตำรวจสวมเสื้อฝนสีส้มเห็นแต่ไกล ที่มาตั้งด่านขวางการจราจร ทำสัญญาณมือให้จอด
อนิลทิตาหยุดรถ หมุนกระจกลง
“จะไปไหนครับ?”
“บ้านมาลัยค่ะ”
“ไม่ไปไกลกว่านั้นนะ?”
“ไม่ค่ะ ว่าแต่มีอะไรหรือคะ?”
“ทางขาดครับ เลยจากบ้านมาลัยไปราวสองโลไปต่อไม่ได้แล้ว ผมถึงต้องมาตั้งด่านเพื่อแจ้งคนที่จะไปไกลกว่าบ้านมาลัยให้รู้เอาไว้ จะได้ไม่เสียเวลาเลี้ยวรถกลับเป็นระยะทางหลายโล แถวนี้กำลังน้ำท่วมหนักครับ ฝนลงมาก น้ำจากแม่น้ำก็เอ่อสูง แถมน้ำป่าก็มาสมทบเข้าอีก เวลานี้ทางเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยกับตำรวจก็กำลังประสานกำลังอพยพชาวบ้านที่อยู่ในเขตเสี่ยงไปไว้ตามที่สูง บ้านมาลัยอาจจะพ้นเพราะเป็นที่สูง คุณว่าจะไปแค่บ้านมาลัยผมก็จะอนุญาตให้ผ่าน ไปไกลกว่านั้นไม่ได้นะครับ อันตราย”
“ไปแค่บ้านมาลัยจริงๆ ค่ะ ดิฉันมางานศพคุณพ่อที่เพิ่งเสีย รับรองว่าไม่ไปไกลกว่าบ้านมาลัยแน่ๆ”
“งั้นคุณก็คงเป็นลูกสาวคนเล็กของคุณอเนกที่มาจากกรุงเทพฯ”
“ใช่แล้วค่ะ คุณตำรวจรู้จักด้วยหรือคะ”
“ผมเคยพบคุณพ่อของคุณสองสามหน ผมเพิ่งย้ายมาประจำที่โพธิ์สุขได้ไม่นานครับ พูดถึงคุ้นเคยผมคุ้นกับคุณณัทธรมากกว่า คุณอัญญดาพี่สาวของคุณผมเจอบ่อยพอๆกับคุณณัทธรเพราะมักจะเข้าเมืองด้วยกัน”
“อ้อ ค่ะ”
อนิลทิตาไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่านี้ ในเมื่อตัวเธอเองยังไม่เคยพบ ณัทธร มณฑารพ ว่าที่พี่เขยสักครั้งเดียว รู้แต่ว่าเขามีไร่กว้างขวาง เลี้ยงวัวเป็นหลัก ชื่อไร่มณฑาธาร อยู่ห่างบ้านมาลัยออกไปทางภูไพร ประมาณหกกิโลเมตร
“คุณณัทธรเป็นคนดีมากครับ มีน้ำใจกับทุกคน รูปหล่อมากด้วยซี ดูเหมือนพอมีข่าวออกมาว่าจะสละโสดกับพี่สาวคุณ ทำเอาสาวๆ ในจังหวัดนี้อกหักกันเป็นแถบ แต่ก็สมกันดีกับคุณอัญญดา... พี่สาวคุณเป็นผู้หญิงที่สวยมากนะครับ สวยจนผมเองขนาดอายุปูนนี้แล้ว ยังอดตะลึงไม่ได้เมื่อเจอเข้าครั้งแรก”
อนิลทิตาไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด ที่มีคนพูดชมความงามของพี่สาว แต่อดแคลงใจไม่ได้ ต่อคำเยินยอถึงความเป็นคนดีมีน้ำใจ เป็นคนหนุ่มที่น่าเอาเป็นตัวอย่าง ฟังว่าเป็นคนเก่ง ฉลาด มีความรู้สูง สมกับชาวไร่ยุคใหม่ของว่าที่พี่เขย
เธอไม่เคยริษยาพี่สาว แม้ว่าอนัญญาจะเป็นหนึ่งเสมอ มีบ้างความอิจฉาเล็กๆ ที่มักจะควบคู่มาพร้อมกับความหงุดหงิด เวลาถูกพี่สาวแย่งเพื่อนชายไปอย่างหน้าตาเฉย
อนิลทิตาฟังคำสรรเสริญเยินยอความสวยของพี่สาว กับความเป็นคนดีของว่าที่พี่เขยอยู่เกือบสองนาทีเต็มๆ จึงสบโอกาสขอบคุณและบอกลา
หลังจากเคลื่อนรถออกจุดที่ถูกเรียกไว้ไม่ถึงสิบนาที รถที่ขับมาดีๆ ก็กระตุกติดๆ กัน จากนั้นเครื่องยนต์ก็ดับสนิท สตาร์ทเครื่องใหม่ก็ไม่ได้ผล เสียงเครื่องยนต์ครางหวือๆ แล้วดับ
ลองอยู่หลายครั้งกระทั่งสายตาเหลือบไปที่เกย์น้ำมัน ก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ
น้ำมันหมด!