ตอนที่ 3 พ่อเลี้ยงสิงห์
ชาลีไม่รู้จะอธิบายยังไงแสดงว่าผลตรวจของคุณหมอแม่นยำเหลือเกินผู้หญิงตรงหน้าเขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่หลงเหลืออยู่เลยสินะ
“เข้าไปข้างในดีกว่าครับพ่อเลี้ยงรออยู่”
“อ้อค่ะ” เมยาวีแม้จะงุนงงอยู่บ้างแต่ก็ยอมเดินเจียมเนื้อเจียมตัวตามหลังคุณคนนั้นไป
“รอที่นี่นะครับ” ชาลีผายมือไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะผละตัวออกไปเพราะทำธุระของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เมยาวีเดินไปรอที่ห้องนั่งเล่นตามที่คุณคนนั้นบอกแต่โซฟาหรูหรามันดูไม่เหมาะกับชุดเธอตอนนี้สักนิดเลยไม่กล้าหย่อนสะโพกลงไปนั่งได้แต่ย่อตัวลงไปนั่งที่พื้นเย็นเฉียบแบบนั้นมันคงเหมาะกับเธอมากกว่า
รู้สึกเหมือนมีเงาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนต้องแหงนหน้าขึ้นไปมอง เมยาวีนิ่งงันสองตาเบิกกว้างขึ้นอยู่ดี ๆ ความทรงจำบางอย่างก็ผุดเข้ามาในหัวจนต้องก้มหน้าสะบัดหน้าไปมาเบา ๆ
“คุณคนนั้น?”
“จำได้?” คนมาใหม่เดินไปนั่งโซฟาสองขายาวแกร่งยกขึ้นไขว่ห้างสายตากร้าวดุจ้องมองคนนั่งที่พื้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ค่ะ คุณคนนั้น” เมยาวีดีใจออกนอกหน้าเพราะเธอรู้สึกว่าน่าจะรู้จักกับผู้ชายคนนี้มาก่อนแต่มันคิดไม่ออกว่ารู้จักได้ยังไง
“หึ ก็ดี” พ่อเลี้ยงสิงห์กระตุกยิ้มสายตาดุดันคล้ายรังเกียจพยายามเท่าไหร่ก็ปิดมันไม่ได้
“ก็ดี...” เมยาวีทวนคำพูดของคนตรงหน้าเบา ๆ เธอไม่เข้าใจคำว่า ‘ก็ดี’ ของเขาสักนิดเดียว “คุณคือ...”
“ไหนว่าจำได้”
“ค่ะ” เธอเห็นภาพว่าเคยเจอเขาแต่ไม่รู้ว่าเจอเขาได้ยังไง แต่ความรู้สึกคือเคยเจอแน่นอน
“จำไม่ได้สิแปลกเล่นทำไว้เยอะขนาดนั้น”
“คะ?” เมยาวีขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ผู้หญิงอย่างเธอมันน่ารังเกียจมากรู้ตัวบ้างไหม”
“!!!”
เมยาวีปากเผยอค้างตาเบิกกว้างสายตาชิงชังแทบจะปิดไม่อยู่แล้วของคนตรงหน้าให้ความรู้สึกน่าเกรงกลัวมาก แต่เขาคือคนเดียวที่มีความทรงจำในสมองของเธอตอนนี้แต่ทำไมเขาเหมือนจะรังเกียจเธอมากเป็นเพราะเขาเป็นเจ้าของไร่แล้วเธอเป็นแค่ลูกจ้างใช่ไหมนะ
“ผู้หญิงอย่างเธอควรโดนสั่งสอนให้หลาบจำ”
ตากลมโตช้อนมองคนนั่งสูงกว่าอย่างไม่เข้าใจแต่พอสบประสานเข้ากับสายตาดุที่มองมาอยู่ก่อนแล้วเธอก็ได้แต่ก้มหน้า งุดบีบมือตัวเองจนเจ็บกัดปากตัวเองจนได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในปาก
“ดูสิ” พ่อเลี้ยงสิงห์หยิบกระดาษขึ้นมาสองแผ่นวางไว้โต๊ะกระจกด้านหน้าของตัวเอง “ความจำเสื่อมแต่น่าจะอ่านหนังสือออกใช่ไหม”
เมยาวีช้อนตาขึ้นมองนิดหน่อยรู้ว่าอีกคนแซะเธอทางคำพูดอยู่แต่คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าตัวเองไม่ทำอะไรไว้เขาถึงมีท่าทีเกลียดเธอเข้ากระดูกดำแบบนี้แต่สิ่งที่จำได้ทำไมถึงมีแต่รอยยิ้มเขากันนะ
ทำไมกัน?
เมยาวีค่อย ๆ ยื่นมือไปดึงกระดาษสองแผ่นเข้าหาตัวเองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ดูสายตาเหมือนเหยี่ยวจ้องลูกไก่ตัวน้อย ๆ นั่นสิ
“ติดหนี้เหรอคะ?” เธออ่านหนังสือเข้าใจจึงเห็นว่ามีชื่อตัวเองลงตราประทับสัญญากู้ยืมเงินฉบับนี้ “ฉันจำอะไรไม่ได้เลย”
“คิดว่าฉันโกหก?”
เมยาวีสั่นหัวน้อย ๆ เธอไม่รู้ว่าอะไรจริงหรือเท็จเพราะไม่มีความทรงจำให้นึกย้อนกลับไปเลยด้วยซ้ำ แต่มันคือชื่อของเธอจริง ๆ ในช่องเซ็นสัญญา
“คุณบอกได้ไหมคะว่าฉันเป็นใคร”
พ่อเลี้ยงสิงห์เหยียดยิ้มเหตุการณ์หลายอย่างผุดเข้ามาในหัวจนยิ้มไม่ออกด้วยซ้ำทั้งไร่พร้อมรักเกือบย่อยยับเพราะผู้หญิงตรงหน้าเขาจะให้เขามาสาธยายตอกย้ำในสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำงั้นเหรอ
“เป็นคนที่ฉันเกลียดมากอันนี้นับไหม”
เห็นไหมเขาเกลียดเธอจริง ๆ คนจับต้นชนปลายไม่ถูกน้ำตาจวนจะไหลทุกอย่างกำลังมึนตึ๊บไปหมดแล้วทำไมเขาต้องเกลียดเธอด้วย
“ถ้าคิดว่าฉันโกหกเรื่องหนี้งั้นก็ดูนี่” พ่อเลี้ยงราชางัดไม้เด็ดขึ้นมายื่นสิ่งยืนยันเฉียบขาดไปให้คนตรงหน้าได้ดู “เธอเป็นคนตำบลนี้มากู้ยืมเงินไปช่วยตายายเมื่อหนึ่งปีก่อน”
“ฉันมีตายายด้วยเหรอคะ?”
อาการดีใจจนปิดไม่มิดทำให้พ่อเลี้ยงหงุดหงิดขึ้นมาทันที แต่ก็ต้องข่มอารมณ์ไว้ก่อนจะอธิบายต่ออีกนิด
“ตายายเสียไปแล้วและสร้างหนี้ให้เธอเพิ่มอีกสองล้าน หนี้เดิมสองล้านหนี้สินของตายายเธออีกสองล้านรวมเป็นสี่ล้าน”
เมยาวีกระพริบตาอึ้ง ๆ หล่อนสามารถเชื่อใจเขาได้ใช่ไหม แต่เขาเป็นคนเดียวที่อยู่ในความจำงั้นหล่อนเลือกที่จะเชื่อก็ได้
“ฉันต้องไปทำงานหาเงินมาใช้หนี้ใช่ไหมคะ”
“จำไม่ได้จริง ๆ สินะ” พ่อเลี้ยงสิงห์จดจ้องมองใบหน้าหวานหมดจดก่อนจะคิดอะไรอย่างหนึ่งออก “เธอขายตัวเป็นผู้หญิงของฉัน”
“คะ?”
“เธอเอาตัวใช้หนี้”
เมยาวีประมวลผลกับสิ่งที่ได้ยินก็ต้องเบิกตากว้างหมายความว่าเธอต้องเป็นนางบำเรอของพ่อเลี้ยงสิงห์ใช่ไหม
“เธอเอาตัวใช้หนี้”
เมยาวีประมวลผลกับสิ่งที่ได้ยินก็ต้องเบิกตากว้างหมายความว่าเธอต้องเป็นนางบำเรอของพ่อเลี้ยงสิงห์ใช่ไหม
“นอกจากนั้นก็ต้องทำงานทุกอย่างในไร่เพื่อลดดอกด้วย เดิมทีเธอทิ้งตายายไปอยู่ที่เมืองกรุงวันนี้เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเธอจะเอาเงินดอกมาใช้แต่ดันเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน”
“เราได้กันแล้วเหรอคะ?”
“แค่ก ๆ” พ่อเลี้ยงสิงห์สำลักกาแฟทันที สายตากร้าวดุตวัดไปมองคนถามเรื่องนั้นออกมาได้หน้าตาเฉย “ฉันไม่อยากได้แต่เธอพยายามยัดเยียดตัวเองให้ฉัน”
“ตอนนั้นฉันอาจคิดแบบนั้นแต่ตอนนี้ฉันคิดว่าทำงานใช้หนี้ดีกว่าค่ะ” แอบโล่งใจที่ยังไม่ได้ปีนขึ้นเตียงพ่อเลี้ยงไม่รู้ว่าเธอคนเก่าคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงตกลงจะเอาตัวเข้าใช้หนี้
“ไม่ทันแล้ว เธอต้องเข้ามาทำความสะอาดบ้านหลังนี้ในช่วงสี่โมงเย็นให้เสร็จก่อนห้าโมงเย็นนั่นหมายความว่าเธอต้องเลิกงานที่ไร่กี่โมง?”
“บ่ายสามครึ่ง”
“อย่าให้ขาดตกบกพร่องสักหน้าที่ล่ะ ไม่อย่างนั้นชีวิตเธอก็ไม่มีค่าแล้ว”
เมยาวีกลืนน้ำลายลงคอดังอึกพ่อเลี้ยงสิงห์ไม่น่าอยู่ใกล้สักนิดแม้เขาจะหล่อแสนหล่อแต่สายตาคู่นั้นมันกำลังจะทำให้เธอวอดวายได้ง่าย ๆ เลย
“หน้าด้านเหลือเกินเสนอตัวเพื่อใช้หนี้พ่อเลี้ยงจะเอามันเหรอ”
“นั่นนะสิพี่รัมภาไม่เจียมกะลาหัวสักนิด”
“กูล่ะอายแทนพ่อแม่มันเหลือจะทน”
“หน้าด้าน!”
เมยาวีนั่งถอนหญ้าอยู่ในแปลงผักคนเดียวห่างจากผู้คนเพราะไม่มีใครอยากจับคู่กับเธอมิหนำซ้ำตอนนี้ยังโดนแขวะเรื่องที่เธอเสนอตัวใช้หนี้เรื่องนี้เธอพึ่งรับรู้เมื่อวานไม่คิดว่าคนข้างนอกก็รู้เรื่องนี้ด้วย
หมับ!
“ว้าย!” เมยาวีหงายหลังลงไปนอนกับพื้นหญ้าหลังจากมีแรงดึงที่กลุ่มผมของตัวเองจนเจ็บจี๊ด “ปล่อยนะคะ”
“พ่อเลี้ยงสิงห์เป็นของกูคนเดียว” รัมภาคือคนงานคนสวยของไร่พร้อมรักและได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงของพ่อเลี้ยงแม้จะลงหน้างานเหมือนกับคนอื่นแต่มีหรือพวกหัวหน้าจะกล้าเรียกใช้ “มึงกล้าดีมากนะ”
“อย่านะ” เมยาวีจับมือของผู้หญิงที่กระโดดมาคาบเธอไว้พร้อมกับจะหวดฝ่ามือลงมาท่าเดียว สุดท้ายเธอก็ต้านคนด้านบนไม่ไหวเนื่องจากขนาดตัวที่เล็กกว่าอยู่มาก
เพียะ! เพียะ!
“เป็นไงหายคันหรือยังอีเมย!”
“ปล่อยนะจ๊ะ” เมยาวีใช้เรี่ยวแรงฮึดสู้จนผลักคนด้านบนออกจากตัวได้แต่เหมือนดวงจะซวยไม่หายเพราะผู้หญิงคนนั้นดันล้มลงไปในแปลงผัก “เมยไม่ได้ตั้งใจ” หล่อนหมายจะเดินไปช่วยพยุงแต่กลับโดนผลักไสราวกับรังเกียจ
“ลุงศร ลุงศร ฮึก! ลุงศรต้องทวงความเป็นธรรมให้ดวงนะคะ”
เมยาวีกระพริบตาค้างมองหัวหน้างานกำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเหมือนอยากจะฆ่าคนซึ่งก็คงไม่พ้นเธอเอง หัวหน้างานรีบตรงไปช่วยผู้หญิงคนนั้นเอาอกเอาใจเหมือนกลัวฟ้าจะผ่าหัวทั้งที่ท้องฟ้าสดใส
“นังเมยมึงรู้ไหมผักทั้งแปลงส่งขายเบี้ยเล็กได้กี่บาท เงินเดือนนี้มึงคงไม่ได้แล้ว”
“หา! ไม่นะคะเมยไม่ได้ทำ” หญิงสาวโบกมือไปมาเป็นพัลวันข้าวสารมอดเจาะใกล้จะหมดแล้วด้วยเงินเดือนนี้ก็เหลือน้อยนิด
“หลักฐานเต็มตาใช่ไหมนางมดมึงเห็นใครเริ่มรัมหรือคนงานใหม่” ลุงศรหันไปมองคนงานอีกคนเพื่อหาแนวร่วม
“ฉันเป็นพยานได้นะลุงศร พี่รัมไม่ได้เริ่มแค่จะเดินมาถอนหญ้าแปลงนี้ช่วยคนงานใหม่คนนั้นแต่ไม่รู้เกิดไม่พอใจอะไรขึ้นมาผลักพี่รัมจนล้ม” คู่ขาแทบจะป้องปากให้คนงานคนอื่น ๆ ได้ยินด้วย
“นั่งไง” ลุงศรหันไปส่ายหน้าให้คนงานใหม่เจ้าปัญหาตั้งแต่ทำงานมายังเข้ากับใครไม่ได้สักคนไม่วายสร้างแต่เรื่องแต่ราวไม่จบไม่สิ้น “งั้นไปอยู่แปลงนู้นแล้วกันนะ”
เมยาวีกลืนก้อนสะอื้นหันไปมองตามมือของหัวหน้างานก็พบว่าแปลงผักด้านนอกมันไม่ใช่แปลงปลูกเพื่อขายออกแต่เป็นแปลงที่ให้ชาวบ้านเก็บไปกินตอนเลิกงานหรือแปลงที่ไม่ผ่านการเลือกให้ขาย แปลงนั้นอยู่นอกโรงเรือนหมายความว่าแดดลงหัวเธอโดยตรง
“ค่ะ” เธอยอมเดินออกไปแต่ก็ยังเหลียวหน้าไปมองหัวหน้าเดินเข้าไปถามไถ่คนงานผู้หญิงคนนั้นด้วยสีหน้าเป็นห่วง แต่สิ่งที่เธอพูดหัวหน้างานกลับไม่เชื่อ
เมยาวีก้มหน้าก้มตาทำงานจนถึงเวลาเลิกงานนั่นก็คือบ่ายสามครึ่งจากนั้นก็ปั่นจักรยานคันใหม่ที่จำใจเจียดเงินฝากคนงานไปซื้อมายังต้องเสียค่าฝากอีกสองร้อย เป้าหมายคือบ้านหลังใหญ่ขอแค่คุณคนนั้นบอกเธอก็พร้อมจะเชื่อเพราะเขาเป็นคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของเธอตอนนี้นี่นา
หนี้สินมากมายขนาดนั้นเธอจะต้องทำงานหนักอีกกี่ปีกันถึงจะใช้หมดหรือต้องจมปลักอยู่ในที่ที่มีแต่ความชิงชังไปจนตาย
คิดไปคิดมาเมยาวีก็ปั่นจักรยานคันใหม่มาถึงบ้านหลังใหญ่ เธอจอดจักรยานพิงรั้วไว้ก่อนจะเดินตัวลีบเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่ไม่รู้จักมักคุ้นแม้แต่นิดเดียว
“คุณเมยใช่ไหมครับ”
เมยาวีหันไปมองตามเสียงเมื่อเห็นว่าเป็นผู้จัดการของไร่เธอจึงเดินเก็บมือเข้าไปหาพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย เขานี่ไงเก็บเงินค่าฝากซื้อจักรยานของเธอไปตั้งสองร้อย
“จักรยานใช้ดีไหมครับ” ชาลีเกร็งเล็กน้อยปกติเขาไม่ใช่คนใจร้ายหรือขี้งกแต่ที่ต้องเอ่ยปากบอกว่ามีค่าฝากเพราะไม่อยากโดนเจ้านายกินหัว สองร้อยก็เอาไปเสริมเบาะนั่งให้นุ่มขึ้นนั่นแหละ