ตอนที่ 1 ลักพาตัว
ตอนที่ 1 ลักพาตัว
บรรยากาศเบื้องหน้าทำให้ผู้ที่คลั่งไคล้ธรรมชาติตัวยงถึงกับต้องสะกิดพี่วินให้จอดข้างทางสองมืออ้าออกกว้างสูดดมอากาศบริสุทธิ์ท่ามกลางป่าเขียวขจีเข้าจนเต็มปอด
“เร็วเถอะคุณ เดี๋ยวก็มืดค่ำ”
“จ้า”
รอยยิ้มหวานจุดติดบนใบหน้าสองมือกระชับเป้ไว้แน่น เดินขึ้นวินมอเตอร์ไซค์อีกครั้งเป้าหมายคือหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่อีกหลายกิโลเมตรกว่าจะถึง ก่อนหน้านี้เธอเดินทางมากับรถประจำทาง แต่ระหว่างทางดันเกิดอุบัติเหตุขึ้นทำให้การจราจรติดขัดมาถึงตัวอำเภอ รถขึ้นเขาไปยังหมู่บ้านที่เธอจะไปก็ดันหมดแล้วเลยจำใจได้เหมาพี่วินให้มาส่ง
ซึ่งพอถึงหมู่บ้านจะมีรถจากโรงแรมมารับไปพักผ่อนหย่อนใจในสถานที่ที่ไกลบ้าน ไกลผู้คนพาตัวเองมาให้ธรรมชาติบำบัด
“พี่วินคะไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้” เธอกลัวความเร็วมากไม่ชอบเลยที่เห็นรถสวนกันไปมาด้วยความเร็วยิ่งถนนหนทางไม่ดีแบบนี้แล้วด้วย “หนูกลัวค่ะ”
“กลัวอะไรล่ะแม่หนูลุงยังต้องไปวิ่งอีก” วินมอเตอร์ไซค์ไม่ผ่อนความเร็วลงสักนิดเดียว
หญิงสาวจับสายสะพายเป้ไว้แน่นพยายามหรี่ตามองทางคดเคี้ยวในใจก็ลุ้นไปทุกโค้ง ผ่านไปหลายกิโลเมตรก็ยังไม่ถึงหมู่บ้านที่เธอต้องลงสักทีเป็นครั้งแรกที่คิดว่าการท่องเที่ยวตัวคนเดียวมันจะเดินทางลำบากขนาดนี้
ปี้บ ๆ ปี้บ ๆ
“เฮ้ย!!”
“กรี๊ดดดด!!”
แสงไฟสาดส่องมาตรงหน้าวินาทีนั้นทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากแรงเหวี่ยงของมอเตอร์ไซค์ในจังหวะหักหลบรถบรรทุกหกล้อทำให้สองร่างพุ่งลงข้างทาง หญิงสาวนั่งด้านหลังลอยหวือออกจากเบาะท้ายด้วยความแรงและเร็ว
แสงแดดยามสายสาดส่องเข้ามาผ่านช่องว่างของปีกไม้คนนอนบนฟูกเก่า ๆ เริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาลำแขนเขียวช้ำยกขึ้นมาบดบังแสงแดดเจ้าปัญหาแต่พอขยับตัวก็รู้สึกเหมือนกระดูกจะร้าวไปทุกส่วน
กระพริบตาสองสามทีเพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงแดด มือข้างหนึ่งยกขึ้นมากุมหัวตัวเองไว้เพราะว่ามันปวดเหลือเกิน ใบหน้าเหยเกหันมองไปรอบ ๆ ปรากฏว่ามันเป็นบ้านไม้ไม่มีของตกแต่งอะไรเลยมีเพียงฟูกเก่า ๆ ที่ตนนั่งอยู่ในตอนนี้แล้วก็ผ้าห่มด้ายย้วยหนึ่งผืน
ที่นี่ที่ไหน?
“ตื่นแล้วเหรอ กินข้าวต้มแล้วก็กินยาแก้ปวดด้วย”
เพล้ง! หญิงสาวสะดุ้งเมื่อถาดอาหารสเตนเลสถูกวางลงอย่างแรงต่อหน้าตัวเองระยะที่ใกล้กว่านี้คงวางลงบนขาเธอแล้ว
“มองทำไม อยากโดนหรือไง!” หญิงร่างท้วมยกมือขึ้นสูงเมื่อเห็นคนเนื้อตัวเขียวช้ำสะดุ้งหดตัวหลบก็ได้แต่จุดยิ้มมุมปาก สายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ฉันอยู่ที่ไหนเหรอจ๊ะ”
“ไม่ต้องอยากรู้ รีบกินก่อนที่จะอดไปอีกวัน” พูดจบก็หมุนตัวก่อนจะเดินออกไป
หญิงสาวหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวต้มเข้าปากแต่ก็ต้องคายทิ้งในทันทีมันเย็นชืดนอกจากนั้นยังเค็มมากจนเธอรับไม่ไหว
“กระแดะ”
เสียงเหน็บแนมดังมาเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกลับเข้ามาอีกครั้งสาวเจ้าก็ถอยหนีอย่างหวาดกลัว
“กลัวเหรอ แม่มดอย่างเธอไม่น่ากลัวใครนะ” พูดจบก็ย่างสามขุมเข้ามาใกล้หยิบเม็ดยาขึ้นมายัดใส่ปากอีกคน “กินเข้าไปสิ คนอย่างเธอตายตอนนี้มันง่ายไป”
“อื้อ! โอ๊ย แค่ก ๆ” ทั้งโดนจับยัดเม็ดยาตามด้วยกรอกน้ำใส่ปากหญิงสาวจึงไอหน้าดำหน้าแดงเพราะสำลักน้ำ
“หน้าจับหักคอให้ตาย!”
สะดุ้งเฮือกฮึบไว้แทบไม่กล้าไอออกมาเสียงดังด้วยซ้ำเริ่มถดถอยไปติดกับปีกไม้ความกลัวบวกกับความงุนงงกำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง
“เมยาวีเธอมันนังแม่มด!”
สายตาที่มีแต่ความโกรธแค้นทำให้หญิงสาวไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสบตาด้วยซ้ำ
“ฉันชื่อเมยาวีเหรอคะ?”
“งั้นคิดว่าจะชื่ออะไร นางฟ้าเหรอ”
เท่านั้นหญิงสาวก็ไม่กล้าถามต่ออีกแล้วหมายความว่า ‘เธอชื่อเมยาวีสินะ’ นั่นคือสิ่งที่เธอคิดออกในตอนนี้ความปวดหัวจี๊ดเข้ามาจนต้องเบ้หน้ายกมือสองข้างขึ้นมาจับหัวตัวเองไว้เหมือนมันกำลังจะระเบิด
“นั่นใครเหรอพี่รัม”
“แม่มดน่ะสิ”
“เห็นมาเป็นเดือนล่ะ ประจำสวนไหนกันแน่”
“มึงไม่ต้องไปสงสัยหรอกนังมด รีบกินรีบไปเถอะ” รัมภารีบแย้งขึ้นไม่อยากหายใจใต้ชายคาเดียวกับผู้หญิงจิตใจอำมหิตคนนั้น
“ฉันก็สงสัยนี่จ๊ะ เห็นทำงานในไร่มาเป็นเดือนแล้ว”
“แกนี่มัน ช่างเถอะอิ่มแล้วก็ไปทำงาน!”
“เธอชื่ออะไรเหรอจ๊ะ”
“เมยาวี ชื่อเล่นเมยมั้ง”
“ดูผิวขาว ๆ นั่นสิจะทนได้เท่าไหร่กัน”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง รีบไป” รัมภาเดินไปก่อนคนงานรุ่นน้องเพราะมันเอาแต่ถามถึงผู้หญิงคนนั้นอยู่ได้
หญิงสาวนั่งอยู่โต๊ะด้านข้างได้ยินทุกอย่างแม้กระทั่งสิ่งที่คอยเฝ้าถามตัวเองมาตลอด ‘เธอชื่อเมยาวีหรือเมยนี่เอง’ เงยหน้ามองนาฬิกาแขวนไว้บนฝาผนังบ่งบอกว่าใกล้จะถึงเวลาเข้างานแล้วทั้งที่เธอพึ่งขึ้นมาจากไร่ได้แค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น ด้วยความรีบเร่งเพราะถ้าไปสายก็จะโดนหัวหน้างานดุด่า หญิงสาวไม่ชอบแบบนั้นเลย
เพล้ง!
“อ๊ะ!” คนที่พึ่งรู้ชื่อตัวเองหลุบตามองถาดข้าวกระจัดกระจายทั่วบริเวณที่ตัวเองยืนอยู่
ด้วยความไม่ระวังและความเร่งรีบของเธอทำให้ตอนที่ลุกขึ้นจากม้านั่งชนเข้ากับคนเดินสวนทางไปมา
“ไม่มีตาหรือไงวะ!” ผู้ชายผิวแทนตัวใหญ่สะบัดน้ำแกงบนเสื้อตัวเองใส่ผู้หญิงตรงหน้า
คนทำผิดได้เพียงแต่ยกมือขึ้นมาบดบังน้ำแกงแสบผิวนั่นไว้ย่อเข่าลงเก็บถาดอาหารของตัวเองปากก็ละล่ำละลักขอโทษขอโพยคนที่ตัวเองเผลอไปชนเข้า
“น่าตบสั่งสอนจริง ๆ”
หญิงสาวหดคอถอยหนีมองซ้ายขวาก็ได้แต่ใช้มือสองข้างของตัวเองหอบเศษกับข้าวกลับมาใส่ถาดตัวเองเร็ว ๆ ก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วเดินเอาถาดข้าวไปล้างตอนนี้ใกล้เวลาลงงานแล้ว
หญิงสาวหดคอถอยหนีมองซ้ายขวาก็ได้แต่ใช้มือสองข้างของตัวเองหอบเศษกับข้าวกลับมาใส่ถาดตัวเองเร็ว ๆ ก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วเดินเอาถาดข้าวไปล้างตอนนี้ใกล้เวลาลงงานแล้ว
“มาสายอีกแล้ว วันนี้เงินเดือนออกด้วยมาสายเกือบตลอดจะเหลือเงินเท่าไหร่” หัวหน้างานเห็นลูกน้องใหม่ของตัวเองก็อดที่จะด่าไม่ได้
หญิงสาวผู้พึ่งมาถึงได้แต่ก้มหน้างุดรับฟัง เธอมาสายเกือบทุกวันเพราะงานของเธออยู่ท้ายไร่ต้องเดินเป็นกิโลกว่าจะถึงคนงานคนอื่นเขามีรถจักรยานไม่ก็รถมอเตอร์ไซค์ส่วนเธอมีแต่รองเท้าเก่า ๆ ขาด ๆ แถมช่วงแรกหล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสวนอยู่ตรงไหนกว่าจะหางานของตัวเองเจอก็ไปถึงบ่ายแล้ว ที่ดินเป็นพันไร่แต่ต้องมางมหาเองว่าหน้างานตัวเองอยู่ที่ไหน
หลังจากทำงานหามรุ่งหามค่ำจวบจนเวลาเลิกงานหญิงสาวก็รีบพาตัวเองวิ่งมาจากท้ายไร่สังเกตคนงานเอาว่าเขาเดินไปรับเงินกันที่ไหนแม้แต่เรื่องนี้หัวหน้างานยังไม่บอกเธอเลย พอมาถึงก็เห็นว่าไม่มีผู้คนแล้วแถมกำลังจะพับโต๊ะเก็บ
“กว่าจะมาถึง”
สายตาตำหนิทำให้หญิงสาวย่นคอหนีเดินประสานมือไว้ตรงหน้าก้าวเข้าไปหาบุคคลที่น่าจะเป็นคนจ่ายเงินคนงาน ไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำจนได้เห็นสิ่งที่เรียกว่าเงินยื่นมาตรงหน้าเท่านั้นน้ำตาหล่อนก็ไหลลงมาอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่
“หักแล้วเหลือหมื่นกว่า ถ้าไม่อยากถูกหักเยอะก็อย่าทำลายข้าวของพังเข้างานให้ตรงเวลาด้วย”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” รอยยิ้มแรกในรอบเดือนพร้อมกับน้ำตาแห่งความดีใจ
“ไปพูดดีด้วยทำไมพ่อเลี้ยงมาได้ยินมึงจะได้หางานใหม่เอา”
“อ้าวทำไมล่ะพี่”
“คนนี้ห้ามทำดีด้วย!”
“หา?”
“เชื่อที่พูดแล้วจะได้ทำงานที่นี่ต่อ”
หญิงสาวได้ยินทั้งหมดเพราะหล่อนยังเดินไปไม่ไกลเสียงนั้นก็ดังขึ้น รอยยิ้มแห่งความสมเพชในชีวิตของตัวเองพร้อมกับหยาดน้ำตาคำถามมากมายเกิดขึ้นไม่รู้จบ
เธอเป็นใครกันแน่?
ทำงานที่ไร่แห่งนี้มานานเท่าไหร่แล้ว?
ทำไมคนที่นี่ถึงดูไม่ค่อยชอบเธอเอาเสียเลย?
บ้านไม้ทรงโมเดิร์นขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนเขาบรรยากาศรอบด้านน่าอยู่ทิวทัศน์ที่เรียกว่าหาชมได้ยากมากในประเทศไทย แต่บ้านหลังนี้กลับตั้งอยู่กลางธรรมชาติใครบ้างจะไม่รู้ว่าบ้านหลังใหญ่โตนี้เป็นของตระกูลใด
‘ไร่พร้อมรัก’ เป็นไร่เกษตรแบบผสมผสานของพ่อเลี้ยง ‘อินทัช’ และแม่เลี้ยง ‘เรวดี’ ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ได้ย้ายไปอยู่กับลูกชายคนเล็กที่ต่างประเทศแล้วเมื่อสองปีก่อนหลังจากลูกชายคนโตอย่าง ‘พ่อเลี้ยงสิงหราช’ ลูกชายคนโตของพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงกลับมาบริหารที่ไร่แล้วทุกอย่างมันอยู่ตัวกำไรเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าตัว
ชาวบ้านต่างขนานนามว่าไร่พร้อมรักเหมือนมีราชสีห์มาปกครอง ทั้งเจ้าเล่ห์ ฉลาดเป็นกรด ที่สำคัญใครก็รู้ว่าพ่อเลี้ยงสิงห์ดุแค่ไหน แต่ว่าหน้าตาอันหล่อเหลาเหมือนไม่ใช่มนุษย์มันกลับน่ามองแม้จะต้องแลกกับการได้รับสายตาตำหนิกลับมาก็เถอะ
ร่างสูง 187 เซนติเมตร เดินออกมาจากห้องมีเพียงผ้าขนหนูพันรอบเอวไว้อย่างหมิ่นเหม่ ลำแขนแข็งแรงกำลังใช้ผ้าขนหนูซับที่ผมตัวเอง สายตาดุดันเพ่งมองไปยังไร่ส้มขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตาด้านล่างตีนเขาอาณาเขตกว่าสองพันไร่ครอบคลุมไปยังภูเขาเกือบสามลูกเป็นของไร่พร้อมรักทั้งหมด แต่ไร่พร้อมรักไม่ได้ทำแค่สวนส้มมีทั้งพืชผักผลไม้ตามฤดูกาลอีกด้วย
ผิวสีแทนตามประสาคนทำงานตากแดดตากลมยกขวดครีมขึ้นมาบีบใส่มือก่อนจะทาไปตามร่างกายและซอกหลืบต่าง ๆ ที่มองไม่เห็นแม้จะเป็นชายชาตรีแต่การดูแลตัวเองนั้นเป็นเรื่องปกติ ชโลมผิวด้วยครีมราคาตามท้องตลาดเป่าผมเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมาจากห้องนอนไปยังห้องทำงานชั้นหนึ่ง
“สวัสดีครับพ่อเลี้ยง” ชาลี คือผู้จัดการไร่พ่วงด้วยตำแหน่งผู้ช่วยของพ่อเลี้ยงสิงห์
“อืม” คนพึ่งลงเครื่องกลับมาจากต่างประเทศพยักหน้าให้ลูกน้องคนสนิทเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้บุนวม
“รายงานทางการแพทย์บอกว่าผู้หญิงคนนั้นมีภาวะความจำเสื่อมชั่วคราวครับ” ชาลีวางผลตรวจทั้งหมดลงบนโต๊ะต่อหน้าเจ้านายหนุ่ม
สายตาคมดุเพ่งมองไม่ได้หยิบเอกสารพวกนั้นขึ้นมาอ่านเพราะคิดว่าไม่จำเป็นต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นจะตายมันก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่ดี
“เอายังไงต่อครับ”
“ฉันพึ่งจะเข้าใจประโยคที่ว่า สิบปีแก้แค้นก็ยังไม่สายชาลี”
ชาลีกลืนน้ำลายลงคอดังอึกทั้งสายตาและน้ำเสียงบ่งบอกว่าพ่อเลี้ยงเตรียมการกว่าจะมีวันนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย อ้อยเข้าปากช้างมันจะรอดได้ยังไง มองไม่เห็นหนทางเลยจริง ๆ
“ฉันจะไม่บีบทีเดียวหรอกชาลี ผู้หญิงแบบนั้นมันต้องค่อย ๆ บีบ ค่อย ๆ เฉือนเนื้อทีละแผลพร้อมกับเอาเกลือทา”
ชาลีรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวเวลาปกติพ่อเลี้ยงสิงห์ก็ถือว่าเป็นคนดุ โหด อยู่เป็นทุนเดิมยิ่งได้มาเจออริเก่าเหมือนหนามแทงใจมากว่า 3 ปี แบบนี้แล้วความโหดของพ่อเลี้ยงที่แสดงออกมาเขาเองที่ทำงานมาด้วยหลายปีน้อยครั้งจริง ๆ ที่จะเห็นพ่อเลี้ยงสิงห์มีท่าทีน่ากลัวแบบนี้