บทที่ 8 เราเลิกกันเถอะ

3761 คำ
บทที่ 8 เราเลิกกันเถอะ “พี่เอ็มอย่ามายุ่งกับหนูอีก เราเลิกกันเถอะ” ฉันพยายามไม่ร้องไห้เมื่อได้มองหน้าดุๆ ของพี่เอ็ม มือของฉันที่ถูกมือหนาจับก็บิดข้อมือออกจากการเกาะกุม ผมโกรธนะที่น้องบอกเลิกต่อหน้าเพื่อนๆ แต่ผมเข้าใจว่าน้องคงโกรธที่ถูกทำร้ายจนหน้าตายับเยิน ผมถอนหายใจออกมาแล้วจึงหันไปสั่งเพื่อนๆ ออกมาว่า “เฮ้อ กูพาน้องกลับก่อนนะ” “เออๆ ค่อยๆ คุยกันล่ะ” เสียงของพวกพี่ว้ากเอ่ยบอกพี่เอ็มพร้อมกัน “นั่นพี่เอ็มจะพาเพื่อนหนูไปไหน” เอวาและนาเดียร์เอ่ยถามพี่เอ็มพร้อมกัน “พี่เอ็ม ปล่อยหนูสิหนูเจ็บนะ” ฉันหันไปมองพวกพี่ๆ และเพื่อนๆ เพื่อให้พวกเขาช่วย แต่ดูเหมือนว่าทุกคนยังนั่งเฉยมองฉันถูกพี่เอ็มบังคับอยู่ “อยู่นิ่งๆ ไวน์ ก่อนที่พี่จะโมโห” ผมเหลือทนแล้วกับความดื้อและไม่ยอมฟังใครของไวโอลิน ผมจึงออกแรงกำข้อมือของเธอกระชากจนเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของผม “พี่เอ็ม หนูเจ็บ” ฉันเจ็บทั้งกายและใจจึงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ มันไหลออกมาจนเอ่อล้นเบ้าตาและรีบเช็ดมันออกเมื่อพี่เอ็มหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ฉัน “ไอ้เอ็ม ควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อย” ฉันจำได้ว่าเป็นเสียงพี่ราชา “..” ผมไม่ตอบคำถามของเพื่อนเพราะในตอนนี้โกรธมาก จึงออกแรงลากคนตัวเล็กให้เดินตามไปที่ลานจอดรถ และเมื่อถึงรถ ผมก็เปิดประตูออกมา “พี่เอ็ม” ฉันขัดขืนไม่ยอมขึ้นรถถึงแม้รถคันนี้จะเป็นของฉันก็ตาม จึงถูกพี่เอ็มผลักให้เข้าไปนั่งด้านใน “ห้ามออกมานะ ถ้าไม่เชื่อฟังพี่เธอโดนดีแน่” เมื่อดันน้องเข้าไปนั่งในรถแล้วผมก็ปิดประตูพลางยกมือลูบหน้าแล้วก็เดินอ้อมรถไปนั่งฝั่งคนขับ “พี่จะพาหนูไปไหน นี่หนูยังมีกิจกรรมต้องทำอีกนะ” ฉันถามเขาเมื่อเขาสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างเร็ว ซึ่งเสียงรถวิ่งทำให้นักศึกษาหลายคนพากันมองเป็นสายตาเดียว “ดูหน้าสิยับซะขนาดนี้ยังจะไปทำกิจกรรมต่ออีกเหรอ” ผมขับรถด้วยความเร็วและแรง จากที่ต้องโกรธคนที่ทำให้หน้าเธอยับแบบนี้แต่กลับมาโกรธเธอที่ไม่ยอมเชื่อฟังผมเสียอย่างนั้น “แล้วพี่จะพาหนูไปไหน” ฉันยกมือกุมปาก มันเจ็บมากแต่ก็เอ่ยถามพี่เขาเสียงแข็งพร้อมทั้งสะบัดหน้าหันไปมองข้างทางผ่านกระจกรถ “กลับห้องน่ะสิ” ผมตอบเสียงเรียบ ละสายตาจากถนนข้างหน้าหันมองน้องเล็กน้อย อยากยื่นมือไปจับให้เธอหันมามองตากันแต่ผมก็ต้องชักมือกลับไว้เหมือนเดิม สงสัยต้องปล่อยให้เธอนั่งสงบอารมณ์ไปก่อน... และระหว่างที่ผมขับรถเข้ามาถึงถนนสายหลักที่ไกลจากมหาลัย ผมและไวโอลินต่างก็นั่งเงียบ โดยเฉพาะเธอที่นั่งหันหลังให้ผมตั้งแต่ออกจากมาหาลัยมาแล้ว ส่วนฉันก็นั่งเงียบมาตลอดทางเมื่อพี่เอ็มเคลื่อนรถเข้าไปจอดที่คอนโดของเขาที่อยู่ตรงข้ามกับคอนโดของฉัน ฉันก็หันไปมองพี่เขาในทันที “ทำไมพี่ไม่ไปจอดรถที่คอนโดหนู” ฉันถามพร้อมกับรีบลงจากรถไม่รอแม้แต่จะฟังคำตอบจากพี่เอ็ม “จะไปไหนไวน์ มานี่” เมื่อเห็นน้องลงจากรถแล้ววิ่งหนี ผมจึงรีบลงจากรถเดินก้าวเดียวไปคว้ามือของน้องเอาไว้แล้วกระชากจนเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด “พี่เอ็ม ปล่อย” ฉันร้องกรีดร้องออกมาเมื่อถูกพี่เอ็มลากให้เดินตามเท้าของเขาไปยังโถงใหญ่ของคอนโด “อยู่เฉยๆ” ผมสั่งน้องเสียงขึงขัง “หนูจะกลับห้อง” ฉันไม่ยอมเดินแต่ก็ถูกพี่เอ็มอุ้มจนเท้าฉันลอยเหนือพื้น และฉันก็อายคนในคอนโดมากในตอนนี้ที่ทุกคนต่างพากันมองพวกเราทั้งคู่ “คุยกันก่อน” ผมอุ้มน้องในท่ายืนในอ้อมแขนจนหน้าผมและเธออยู่ในระดับเดียวกัน “หนูไม่คุย” ฉันเถียงและทุบเข้าที่บ่าของพี่เอ็มอยู่หลายที เพื่อให้เขาปล่อย “อย่าดื้อไวน์” ผมไม่สนว่าคนมากมายจะหันมามองเราสองคนอย่างไร ผมอุ้มเธอพาดบ่าพาไปที่ลิฟท์แล้วปล่อยเธอให้ยืนในอ้อมกอดของผมจากนั้นผมก็กดลิฟท์ขึ้นไปชั้นที่ยี่สิบเอ็ดในทันที “พี่เอ็ม” ฉันผลักพี่เอ็มให้ออกห่างแล้วฉันก็ไปยืนหันหน้าเข้าด้านข้างลิฟท์แล้วมองเลขลิฟท์ด้วยสายตาหวาดหวั่น ซึ่งฉันงงมากว่าทำไมพี่เอ็มถึงกดชั้นยี่สิบเอ็ดเพราะเท่าที่ศึกษามาคอนโดนี้มียี่สิบสองชั้น ชั้นบนคือดาดฟ้าที่มีสระว่ายน้ำและพื้นที่ของเจ้าของโครงการ.. พอมาถึงชั้นยี่สิบเอ็ดลิฟท์ก็เปิดให้เห็นว่าทั้งชั้นมีห้องเดียว ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ฉันมั่นใจแล้วว่าพี่เอ็มคงเป็นลูกคนใหญ่คนโตและรวยมากแน่ ๆ... กริ๊ก!.. ผมไม่ยอมให้น้องเดินหนี เมื่อลิฟท์เปิดผมก็ย่อตัวอุ้มคนตัวเล็กขึ้นพาดบ่าพาเดินออกจากลิฟท์เข้าไปในห้อง ก่อนที่จะวางเธอลงนั่งบนโซฟาผมก็ไม่ลืมที่จะล็อกประตูห้องเอาไว้ด้วย “พี่เอ็ม” เมื่อก้นของฉันแตะลงบนโซฟา ฉันก็รีบดีดตัวลุกขึ้นยืนพร้อมกับใช้มือก็ปัดมือพี่เอ็มที่พยายามจะจับฉันในตอนนี้ “เจ็บมั้ย” ผมยืนลูบหน้าของตัวเองแรงๆ พยายามระงับอารมณ์ไม่โกรธน้อง พร้อมทั้งจับบ่านุ่มสองข้างดันให้เธอนั่งลงที่เดิม “ชิ !” ฉันเบือนหน้าหนีพี่เขาเพราะไม่อยากมองหน้าตรงๆ ไม่อยากเห็นสายตาห่วงใยที่มองฉันเพราะมันทำให้ฉันหวั่นไหว “เห้อ หันหน้ามาคุยกันหน่อยสิครับ” ผมถอนหายใจเพื่อคลายความโกรธแล้วนั่งคุกเข่าตรงหน้าของไวโอลิน พร้อมกับจับคางของเธอให้หันมาสบตากัน ในใจผมปวดร้าวและเจ็บปวดมากๆเมื่อเห็นดวงหน้าของเธอบวมเป่งถึงเพียงนี้ ปากจิ้มลิ้มแตกเลือดยังซึมออกมาไม่ยอมหยุดและแก้มทั้งสองข้างก็ยังเห็นรอยนิ้วมือทั้งห้าประดับอยู่อย่างชัดเจน “..” ฉันไม่ตอบโต้อะไรและยังเอาแต่นั่งจ้องหน้าพี่เอ็ม แต่ก็ไม่อาจทนมองสายดุดันที่ชอบบังคับของเขาได้ ฉันจึงกะพริบตาเพื่อกักน้ำตาไว้แล้วรีบก้มหน้ามองมือของตัวเองที่กุมกันอยู่ตรงหน้าตัก “ที่พูดว่าให้พี่เลิกยุ่งกับเรา นี่พูดจริงหรือแค่โกรธ” ผมจับมือเธอมาหอม ทำไมผมถึงได้กลัวคำตอบของน้องจะเป็นศูนย์นะ กลัวน้องบอกว่า ‘ใช่ เลิกยุ่งกับหนูเถอะ’ “..” ฉันไม่ตอบ แต่คำถามของพี่เอ็มทำให้ฉันเหลือบตามองหน้าพี่เขาแล้วคิดตามว่าอยากให้เขาเลิกยุ่งกับตัวเองจริงเหรอ “ว่าไง” ผมประคองใบหน้าของไวโอลินด้วยสองมืออย่างเบามือ ให้ดวงหน้าบวมเป่งเงยขึ้นอยู่ในระดับหน้าของผม “ฮึกก” ฉันน้ำตาคลอเบ้าแล้วรีบเช็ดน้ำตาออกจากตา ฉันสับสนหัวใจมาก ถึงฉันจะรู้จักพี่เอ็มไม่นานแต่ความรู้สึกของฉันมันไปไกลแล้ว ฉันไม่เคยมีแฟนแต่ใช่ว่าจะไม่มีคนมาจีบ แต่มันก็คือความรักของเด็กน้อยต่างจากพี่เอ็มมากที่เขาดูอบอุ่นเป็นผู้ใหญ่และใส่ใจฉัน “ไวน์” น้ำตาของเธอทำให้ผมยิ่งหน้าชาหนึบ พลอยยื่นมือไปแตะเช็ดน้ำตาออกจากแก้มช้ำให้อย่างเบามือ “..” ฉันสับสนจริงๆ ไม่เข้าใจหัวใจของตัวเองว่าทำไมชอบพยศและหักหลังฉันอยู่เรื่อย “แล้วพูดทำไม” ใบหน้าช้ำนองน้ำตาส่ายไปมา ผมก็รู้ได้ทันทีว่าน้องพูดไปเพราะความโกรธ “ฮืออ ไม่รู้ค่ะหนูสับสน หนูโกรธที่ทำอะไรไม่ได้ หนูเหมือนผู้หญิงไปแย่งคนรักของเขา” ฉันร้องไห้โฮเพราะทนกักเก็บความอึดอัดเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว “ซู่ว เธอไม่ได้แย่งพี่ พี่เข้าหาเธอเอง” เสียงร้องไห้ทำให้ผมรีบดึงน้องเข้ามากอด ผมปลอบขวัญเธอโดยการพูดให้ริมฝีปากชิดหัวของเธอ “พี่...” ฉันเม้มปากไว้เมื่อพี่เอ็มจะจูบปากของฉัน แค่เขาจูบหน้าผากจูบแก้มก็ทำให้หัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่แล้ว นี่ถ้ามาจูบปากและยังเป็นจูบแรกของฉันอีก ฉันคงได้ขาดใจตายแน่ “เจ็บมากไหม” ผมยิ้มมุมปาก ใบหน้าที่โน้มกะจะจูบปากอิ่มที่แตกนั้นก็ต้องชะงักหยุดค้างไว้ เมื่อยัยตัวเล็กยกมือปิดปากของตัวเองเอาไว้ “ค่ะ” ฉันขานรับ ทั้งที่เขินมากแต่ก็ยังคงจ้องหน้าพี่เขาเพราะพี่เอ็มเชยคางฉันไว้ “พี่ขอโทษนะ ที่ทำให้เจ็บตัว” ผมเกลี่ยน้ำตาบนหน้าบวมเบาๆ ด้วยริมฝีปากของผม “หนูขอโทษที่พูดอย่างนั้น” ฉันหลบตาไม่กล้าสบตาสีเข้มที่เปล่งประกายแวววับของอีกฝ่าย “พี่ไม่โกรธ แต่พี่ขอได้มั้ยว่าอย่าพูดอย่างนี้อีก” ครั้งนี้ผมได้จูบปากอิ่มเมื่อเธอเผลอ “..” ฉันพยักหน้า ทั้งที่ทำตาโตมองหน้าพี่เอ็มที่ยังจูบปากของฉันแช่อยู่นานมาก “พี่ไม่รู้นะว่าที่เราพูดเรารู้สึกยังไง แต่พี่บอกเลยว่าพี่เสียวแปล๊บที่ขั้วหัวใจมาก พี่จะไม่ปล่อยเราไปเพราะเราเป็นของพี่” ผมพูดทีก็จูบปากน้องทีเพราะอยากเป็นยาดีรักษาแผลบนเรียวปากนุ่มให้หาย “ขอโทษค่ะ” ฉันใจสั่นแม้แต่เสียงและตัวก็สั่นไปหมด นี่พี่เอ็มขโมยจูบแรกของฉันเลยนะ “อย่าให้พี่ได้ยินอีก ไม่งั้นพี่จะไม่ใจดี” อาการหวาดกลัว ตัวสั่นระริกทำให้ผมหยุดจูบเธอ “หนูจะไม่พูดอีกแล้วค่ะ” ฉันรีบก้มหน้ายกมือปิดหน้าปิดตาไม่ยอมให้พี่เอ็มเห็นว่า ในเวลานี้หน้าของฉันร้อนวูบวาบและคงแดงกว่าลูกมะเขือเทศสุกเสียอีก… เวลา 19.23น.. หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้วพี่เอ็มก็เอาอุปกรณ์มาทำแผลให้ฉันแล้วก็สั่งข้าวมากินพร้อมกัน โดยที่เขารู้ใจฉันทุกอย่าง กับข้าวส่วนใหญ่คือของโปรดของฉันทั้งนั้น พอถามว่าเขารู้ได้ยังไงว่านี่คือของโปรดของฉัน เขาก็ตอบมากวนๆ ว่า “เพราะเธอเป็นแฟนพี่ไง พี่ต้องรู้ทุกอย่างที่เธอเป็น ชอบอะไรไม่ชอบอะไรพี่ก็ต้องรู้อยู่แล้ว” เอาจริงๆ ผมเคยมีแฟนนะแต่ไม่เคยใส่ใจใครแบบยัยเด็กดื้อคนนี้เลย “ชิ คนขี้ตู่” ฉันทำเสียงไม่พอใจออกจากปาก แล้วย่นจมูกใส่พี่เอ็ม “กินสิ จะได้กินยาแก้ปวด” ท่าทีของน้องน่ารักจนผมอดใจไม่ไหว ยื่นมือไปแตะแก้มบีบจมูกของเธอเล่น “หนูอิ่มแล้วค่ะ แล้วก็อยากกลับห้องด้วย” ฉันบอกพี่เอ็ม เพราะนี่ก็มืดค่ำแล้ว ฉันมาอยู่ห้องของพี่เอ็มตั้งแต่บ่ายสมควรแก่เวลาที่จะกลับได้แล้ว ‘อาจจสงสัยว่าทำไมฉันไม่กลับห้องเอง อยากจะบอกว่าความปลอดภัยของที่นี่แน่นหนามาก ทั้งรหัสและลายนิ้วมือไม่เหมือนคอนโดฉันนะที่มีแค่คีย์การ์ดแล้วจะเข้าได้’ “วันนี้นอนนี่แหละ” ผมบอกพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เย็น เอาน้ำและยาแก้ปวดมาให้เธอ “อะไรคะ” ฉันร้องประท้วง มองหน้าพี่เอ็มตาค้าง “นอนนี่” ผมย้ำคำเดิมในตอนที่ยื่นยาและน้ำให้เธอกินและดื่ม “ได้ไงคะ หนูนอนไม่ได้ค่ะ” ฉันกินยาและน้ำด้วยท่าทางพะอืดพะอม “ทำไมจะนอนไม่ได้” ผมถามเสียงแข็ง “คือว่า” ฉันขยับตัวหนีเมื่อพี่เอ็มยืนคล่อม แขนทั้งสองข้างของเขาจับพนักเก้าอี้กักขังฉันไว้ไม่ให้ลุกจากเก้าอี้ไปไหน “อะไร” ผมกระตุกยิ้มมุมปาก เมื่อเห็นตัวเองเต้นอยู่ในแววตากลมโตที่สั่นระริก สงสัยน้องน้อยกลัวผมจะจูบอีก “หนูเป็นห่วงเจ้าถั่วพูค่ะ ป่านนี้คงร้องไห้หาหนูแล้ว” พี่เอ็มดูจะรุกฉันหนักมากเขาโน้มหน้าลงมาจนฉันและเขาหายใจรดหน้ากัน “..” ผมไม่พูด แต่หรี่ตามองน้องด้วยความสงสัย แววตาสีนิลพร้อมทั้งใบหน้าหล่อคมคายก้มลงมาจนปากของเขาจะแตะปากของฉัน เหมือนพี่เขาต้องการรู้ว่าถั่วพูเป็นใครฉันจึงบอกและดันหน้าเขาให้ออกห่าง “เจ้าถั่วพูเป็นแมวที่หนูเลี้ยงไว้ในห้องค่ะ” “เอากุญแจห้องมาเดี๋ยวพี่ไปดูให้เอง” ผมยืนตัวตรงแต่ไม่ยอมให้น้องลุกออกจากเก้าอี้ “พี่ พาหนูกลับห้องเถอะค่ะ” ฉันยื่นมือไปจับมือหนา อ้อนวอนเสียงหวานขอร้องพี่เอ็ม “ไม่ เธอต้องนอนนี่” ผมนั่งยอง ๆ ตรงหน้าเธอ มือของผมยังคงปล่อยให้คนตัวเล็กจับ “พี่...” ฉันทำหน้าเศร้า เผื่อพี่เขาจะโอเค “ถ้าเกิดเป็นไข้ขึ้นมา ใครจะดูแล” ผมส่ายหน้าและทำเสียงขึงขัง “หนูไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวบอกนาเดียร์ให้มาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้” ฉันถอนหายใจเบาๆ เหนื่อยใจมากที่อ้อนวอนยังไงก็ไม่เป็นผลสำเร็จ พี่เอ็มไม่ยอมท่าเดียว “จะไปรบกวนเพื่อนทำไม” ผมยังยืนกอดอกจ้องหน้าคนตัวน้อยที่ชอบทำหน้างอเหมือนปลาทูคอหัก “พี่เอ็มคะ” ฉันอุทานเสียงสะบัดใส่พี่เขา พูดมาได้ไงว่าฉันรบกวนเพื่อนแล้วการที่ฉันมานอนห้องของเขานี่เรียกว่าอะไร “ตามนั้น นอนนี่แหละ” ผมไม่สนข้ออ้างร้อยแปดของเธอเพราะยังไงเธอก็ต้องนอนที่นี่ในคืนนี้ “พี่เอ็ม หนูมีพ่อมีแม่นะนี่ถ้าพ่อแม่รู้หนูคงถูกด่าและถูกตีแน่” ฉันบอกเหตุผล คำพูดของยัยเด็กดื้อทำให้ผมคิดตาม จึงทำเสียงขู่ไปว่า “ก็ได้ รอให้เป็นแฟนกันก่อนเถอะพี่จะให้เราย้ายมาอยู่กับพี่ที่นี่” “ใครบอกว่าหนูจะมาอยู่ด้วย” ฉันไม่ยอมยังเถียงพี่เขาไม่หยุด “หึ ! ก็ลองดู” ผมบอกเสียงแข็ง เกลียดเสียงหัวเราะของเขาแบบนี้ที่สุดเลย ฉันลุกขึ้นยืน แล้วบอกพี่เขาว่า “ไปส่งหนูได้แล้ว” “ครับๆ เชิญครับที่รัก” ผมยื่นมือให้น้องจับแล้วพาน้องเดินออกจากห้องตรงไปยังลิฟท์เพื่อลงไปชั้นล้างของล็อบบี้... สิบนาทีต่อมาที่หน้าห้องพักของไวโอลิน.. “ถึงห้องแล้วค่ะ พี่กลับไปได้แล้ว” ฉันเปิดประตูห้อง พร้อมบอกคนตัวสูง แต่คนตัวสูงกลับผลักหลังฉันให้เดินเข้าไปในห้อง “ไปอาบน้ำไป” ผมเข้าห้องของน้อง สั่งเสียงตึงๆ พร้อมล็อกประตูห้อง “พี่เอ็ม” ฉันเรียกเขาเสียงหลง เมื่อเห็นเขาเดินวนรอบห้อง ซึ่งพี่เอ็มทำเหมือนว่าห้องนี้เป็นห้องของตัวเองไปแล้ว “อะไร” ผมถามแต่ไม่ยอมมองหน้าคนตัวน้อยเพราะสายตาของผมไปสะดุดกับสิ่งมีชีวิตที่นอนอยู่บนโซฟา เหมียววว.. “ไปอาบน้ำสิ เดี๋ยวพี่จะเอาอาหารให้เจ้าถั่วพูเอง” ผมบอกเธอพร้อมกับอุ้มเจ้าแมวขนปุยสีขาวด้วยแขนข้างเดียว “ไม่ต้องค่ะพี่ อย่าเลย” ฉันรีบห้ามเมื่อเห็นเขาอุ้มเจ้าถั่วพูไปที่ระเบียง ซึ่งตรงนั้นเป็นมุมส่วนตัวของเจ้าถั่วพูที่ชอบทำสกปรก “ไง เจ้าแมวน้อยหิวใช่ไหม มานี่ฉันจะเอาข้าวให้กิน” ผมไม่ได้ฟังเสียงประท้วงของน้องเพราะผมสนใจเจ้าแมวพันธ์เปอร์เซียตัวนี้มากกว่า เหมียวว.. “ไวน์ ที่เก็บขี้แมวอยู่ตรงไหน” เอาจริงๆนะผมไม่ค่อยชอบสัตว์หรอกแต่เจ้าแมวตัวนี้เป็นกรณีพิเศษเพราะมันเป็นแมวของแฟนผม ผมจึงรักและใส่ใจมัน “ใส่ในนี้ค่ะ เดี๋ยวหนูเอาไปเทในชักโครกเองค่ะ” ฉันเอากล่องอุจจาระของเจ้าถั่วพูให้พี่เอ็ม “พี่ทำเอง ไวน์รีบไปอาบน้ำเถอะเดี๋ยวพี่จะได้ทายาให้” ผมสั่งน้อง ทั้งที่สาระวนอยู่กับเจ้าถั่วพูแมวอ้วนสีขาวตัวนี้ “ค่ะ” ฉันแอบยิ้มเบาๆ มองพี่เอ็มให้อาหารเจ้าถั่วพูแล้วยังเก็บขี้ของมันอีก และชั่งใจอยู่นานว่าจะเข้าไปทำธุระส่วนตัวดีไหม แต่สุดท้ายฉันก็เลือกเดินเข้าไปในห้องเพื่อที่จะอาบน้ำ… ปรกติฉันจะอาบน้ำนานมากยกเว้นวันนี้ที่ฉันอาบน้ำไม่ถึงยี่สิบนาทีก็รีบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใส่เล่นอยู่ในห้อง เมื่อเดินออกมาก็เห็นพี่เอ็มนั่งเล่นโทรศัพท์และมีเจ้าถั่วพูนอนขดอยู่บนตัก “พี่เอ็มยังไม่กลับอีกเหรอคะ” ฉันถาม “จะกลับได้ไงพี่ต้องทายาให้เธอนะ มานั่งนี่สิ” เสียงของน้องทำให้ผมวางมือถือไว้ที่โต๊ะรับแขก แล้วขยับตัวอุ้มเจ้าถั่วพูให้นอนข้างซ้ายเพราะข้างขวาผมจะให้ไวโอลินนั่ง เหมียวว.. “ไม่เห็นต้องลำบากเลย หนูทาเองได้ค่ะ” ฉันเดินไปนั่งคุกเข่าบนโซฟาหยิบหมอนมากอด “เจ็บหน่อยนะ” ผมขยับไปนั่งใกล้เธอพร้อมกับจับใบหน้าสวยให้หันซ้ายขวาแล้วทายาให้อย่างเบามือ “ซี้ด เจ็บเป็นบ้าเลย” ฉันไม่ได้ใจเสาะหรืออยากให้พี่เอ็มเอาใจ แต่ฉันเจ็บจริงๆ โดยเฉพาะมุมปากที่แตกนี่เลือดยังซึมอยู่เลย “ตรงนี้เจ็บไหม” ผมทายาตรงมุมปากให้น้องอย่างเบามือที่สุด “..” ฉันไม่พูดแต่พยักหน้าให้พี่เขา ซึ่งพี่เอ็มอ่อนโยนและอบอุ่นจนใจของฉันเต้นระรัวอีกครั้ง เมื่อได้สบตาสีเข้มของเขา “จุ๊บ หายเจ็บแล้วนะครับ” ผมจูบแผลตรงมุมปากอิ่มเพื่อปลอบขวัญคนตัวเล็ก “พี่เอ็ม คนฉวยโอกาส” ฉันอุทานเสียงงอน หน้าตาแดงและร้อนวูบวาบอีกแล้ว “หึ ๆ” ผมหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นเธอทำท่าทางน่ารัก “กลับไปเลยนะ” ฉันโยนหมอนใส่พี่เอ็มแก้เขินอาย “ฮ่า ๆ” ผมหัวเราะเมื่อได้แกล้งน้อง “หยุดหัวเราะเลยนะ” ฉันชี้หน้าพี่เขาแล้วลุกไปยืนตรงตู้เย็น ฉันเปิดตู้เย็นหยิบชมพู่ออกมาจะกัดกินแต่ก็ต้องซี้ดปากเพราะเจ็บริมฝีปากเป็นอย่างมาก “เอามานี่ เดี๋ยวป้อน” เสียงซี้ดซาดทำให้ผมมอง เห็นน้องยืนกุมปากผมก็ลุกขึ้นเดินไปยืนข้างหลังแล้วแย่งชมพู่ในมือเธอมาถือไว้ “พี่เอ็ม” ฉันหันไปยืนเผชิญหน้ากับพี่เอ็ม ซึ่งพี่เขาตัวใหญ่และสูงมากจนฉันต้องแหงนหน้ามองหน้าเขา และก็ต้องเบิกตาโตมองพี่เอ็มที่กัดชมพู่แล้วยื่นให้ฉันกิน ดีหน่อยที่พี่เขาไม่ทำเหมือนในละครเกาหลีที่พระเอกป้อนอาหารนางเอกด้วยริมฝีปาก “จะเรียกอะไรนักหนา อยู่ใกล้กันแค่นี้” ผมบังคับให้น้องกินชมพู่ที่ผมกัดด้วยปากโดยการยืนกักขังน้องเอาไว้ นี่ถ้าเธอไม่กินผมคงต้องป้อนเธอด้วยปากของผมแน่ “ฉวยโอกาศอีกแล้วนะคะ” ฉันอ้าปากยอมกินชมพู่ที่พี่เอ็มยื่นมาชิดปากของฉัน ฉันเคี้ยวเบาๆ อย่างอายๆ และดันพี่เขาออกไป “พี่ชอบเรานะ” ผมขยับหลีกทางให้น้องเดินไปนั่งที่โซฟา ส่วนผมก็เดินตาม “..” คำพูดของพี่เอ็มทำให้ฉันไม่พูดและหยุดลูบขนเจ้าถั่วพูเล่น “ได้ยินไหม” ผมนั่งบนพื้นตรงหน้าของไวโอลินและใช้สองแขนโอบกอดเอวคอดกิ่วของเธอเอาไว้ “อย่าค่ะพี่ นี่ดึกแล้วนะพี่กลับได้แล้ว” ฉันรีบห้ามเมื่อพี่เอ็มคอยแต่จะจูบฉัน นี่ถ้าขืนฉันปล่อยตัวปล่อยใจฉันคิดว่าคงได้ลงเอยกันแล้วแน่ๆ “โอเค งั้นพี่กลับนะ” ผมซบหน้าลงบนซอกคอหอมของน้องแล้วหัวเราะเบาๆ พร้อมกับลุกขึ้นยืนเมื่อดึงสติกลับมาได้ ผมจะไม่เกินเลยกับน้องไปมากกว่านี้แค่น้องยอมให้ผมจูบนี่ก็นับว่ามากพอแล้ว “ค่ะ” เพราะฉันเขินอายจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินนำหน้าพี่เอ็มไปที่ประตูห้อง “ไม่อยากห่างกันเลย” เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องผมก็ไม่อยากออกจากห้องของน้องเลยแม้แต่นิด ผมหันกลับมามองเธอตาละห้อยอยากให้น้องเอ่ยชวน ‘นอนนี่ก็ได้นะคะ’ ผมอยากได้ยินคำนี้มากกว่า สายตาของพี่เอ็มที่มองฉันนั้นช่างทำให้ฉันหวั่นไหวใจละลายมาก นี่ถ้าขืนยืนมองหน้ากันอยู่อย่างนี้มีหวังพี่เอ็มต้องขอฉันนอนที่นี่แน่ๆ ฉันจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า “ฝันดีนะคะ” “ฝันดีครับ” ผมพยักหน้าให้น้องและเป็นคนดึงประตูห้องปิดให้เอง ถ้าไม่ทำแบบนั้นมีหวังผมคงต้องได้ทำเกินเลยน้องเข้าแน่ๆ…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม