บทที่ 5 ผู้หญิงคนนี้แฟนกู พวกมึงห้ามจีบห้ามยุ่ง

2491 คำ
บทที่ 5 ผู้หญิงคนนี้แฟนกู พวกมึงห้ามจีบห้ามยุ่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์.. “เชี่ย เด็กคณะไหนวะ” “แม่งน่ารัก สัส” “ใครอะแก” “คนนี้ปะ ที่เห็นนั่งกินข้าวกับพี่ว้ากเมื่อตอนเที่ยง” เมื่อฉันเดินเข้ามาในตึกก็มีสายตาหลายคู่ที่มองมาทางฉัน แถมยังซุบซิบนินทาชนิดที่ว่า ไม่ต้องกระซิบก็ทำให้ฉันได้ยิน “นี่ น้องไวโอลินหรือเปล่าคะ” แล้วจู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทักฉัน “ค่ะ ไวน์ค่ะ” ฉันยิ้มให้เธอเล็กน้อยแล้วยกมือไหว้เพราะดูท่าทางของเธอแล้วคงจะเป็นรุ่นพี่แน่ “จ้ะ พี่ชื่อโซยูนะเป็นน้องรหัสเฮียเอ็ม” พี่เขาแนะนำตัวบ้าง “แล้วพี่เอ็มล่ะคะ” ฉันถามหาคนตัวโตที่ยึดเอาโทรศัพท์ฉันไปตั้งแต่ตอนเที่ยงจนป่านนี้ยังไม่ได้คืนเลย “รับน้องอยู่ทางโน้นน่ะ ตามพี่มาสิ” พี่โซยูบอก “ค่ะ” ฉันพยักหน้าเมื่อมองตามมือของพี่โซยูที่ชี้ให้ดู และฉันก็เดินตามพี่โซยูไปจนถึงลานกว้างซึ่งตอนนี้กำลังรับน้องกันอยู่ “นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” พี่โซยูพาฉันมานั่งที่โต๊ะหินอ่อนที่มีเสื้อและกระเป๋าสะพายแบบผู้ชายวางอยู่ คงจะเป็นของพี่เอ็มแน่ๆ ใจอยากจะค้นหามือถือเหลือเกิน แต่ฉันก็ทำได้แค่คิด... “เงียบ มองอะไรกัน” แล้วเสียงตะโกนก็ดังขึ้นก็ทำให้ฉันตกใจ เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเป็นพี่เอ็มที่ยืนว้ากปีหนึ่งอยู่ ซึ่งตอนนี้เขาดูหงุดหงิดเอามากๆ “รุ่นพี่พูดอยู่ สนใจกันบ้างมั้ย” พี่เอ็มยังคงตะโกนต่อแล้วจากนั้นก็มีการลงโทษ ซึ่งฉันไม่บอกแล้วกันว่าทำโทษอะไร “ทำไมรับน้องโหดจังน่ากลัวด้วย” ฉันนั่งพูดคนเดียว สายตาสั่นระริกก็มองพวกพี่เขารับน้องไปตะโกนเสียงดังไป ซึ่งฉันก็ตกใจตามเสียงแข็งๆนั้นและยังรับรู้ได้ถึงสายตาของพี่เอ็มมองมาที่ฉันเป็นระยะๆเช่นกัน “น้องครับ” แล้วเสียงที่ไม่ใช่เสียงของพี่เอ็มก็ดังขึ้น จึงทำให้ฉันเลิกสนใจการรับน้องแล้วหันข้างมามอง “คะ เรียกหนูเหรอคะ” เมื่อหันมองก็เห็นผู้ชายสองคนใส่ช็อปสีกรมยืนอยู่ ฉันจึงถามเพื่อความแน่ใจว่าเขาคุยกับฉันหรือกับใครกันแน่ “ครับ” “มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันถามอย่างเป็นมิตร เมื่อพี่ทั้งสองขานรับพร้อมกัน “น้องเรียนคณะอะไรเหรอ” พี่คนที่มือล้วงในกระเป๋าเสื้อช็อปถาม “เรียนสถาปัตย์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมกับยิ้มให้พวกเขาเล็กน้อย “ไม่ยักกะรู้ว่าสถาปัตย์จะมีคนน่ารักอย่างนี้” พี่อีกคนพูด แล้วทำท่าจะมานั่งข้างๆ ฉัน แต่ฉันรีบหยิบกระเป๋าที่คิดว่าเป็นกระเป๋าพี่เอ็มมาวางไว้ข้างๆ “ค่ะ มีอะไรกับหนูหรือเปล่าคะ” คำพูดของพี่เขา ทำให้ฉันถามเข้าประเด็น “คือพี่ขอเบอร์ได้มั้ยครับ” พี่คนแรกพูดขึ้นแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมายื่นให้ฉัน “เอ่อ ไม่ดีมั้งคะ” ฉันปฏิเสธไปเพราะรู้สึกว่าไม่ไว้ใจและไม่ชอบกับสายตาที่พวกพี่เขาที่มองฉันแปลกๆ “ทำไมจะไม่ดีล่ะครับน้อง” พี่อีกคนพูดพร้อมทั้งยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาเหยียบบนขอบม้านั่งตัวที่ฉันนั่งอยู่ “นะครับๆ พี่ขอหน่อยนะแค่ไลน์ก็ได้” แล้วพี่คนที่สองก็เริ่มรุกหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันไม่ค่อยชอบใจ “นะครับ ถ้าน้องไม่ให้เพื่อนพี่คงเสียใจแย่” พี่คนแรกก็คะยั้นคะยอ “พี่ขอแค่เบอร์นะครับ นะๆ” พี่คนที่สองยื่นมือถือให้ฉัน “ก่อนได้เบอร์ เอาตีนกูก่อนมั้ย !” เสียงดุ ๆ ที่ดังขึ้นทำให้ฉันถึงกับตกใจ… ก่อนหน้านั้น.. “เชี่ย เด็กใครวะ” “แม่ง น่ารักว่ะ” “ใครปล่อยให้กวางน้อยเข้ามาเดินในดงเสือวะ” “แม่ง กูอยากได้ว่ะ” ระหว่างที่ผมและเพื่อนๆกำลังทำหน้าที่เป็นพี่ว้ากอบรมวินัยน้อง ๆ อยู่นั้น เสียงของเด็กปีหนึ่งหลายคนก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ “ไอ้เอ็ม นั่นน้อง…” ไอ้ไทม์เดินมากระซิบบอกผมแล้วพยักหน้าไปทางโต๊ะวางของที่ป็นของพวกผม สายตาของผมก็ไปปะทะกับร่างบางที่เดินตามหลังน้องรหัสของผมมา ซึ่งผมเป็นคนเอารูปให้โซมันดูแล้วให้มันไปดักรอน้องที่หน้าคณะ เพราะกลัวน้องจะหลงแล้วอีกอย่างก็กลัวมีคนมาเตาะแตะน้องด้วยแหละ คณะของผมแม่งดิบเถื่อนไว้ใจใครไม่ได้หรอก เห็นเป็นผู้หญิงเข้าหน่อยทำเป็นมองตาเป็นมัน ผมจึงให้น้องรหัสไปดักรอ จะได้ไม่มีใครมายุ่งกับน้องได้ แต่เสียงพูดที่ดังเข้ามาในหูนี่มันช่างกระตุกต่อมตีนผมเหลือเกิน “เงียบ มองอะไรกัน” ผมเดินไปด้านหน้าแล้วตะโกนขึ้นด้วยความหงุดหงิด หางตาก็เห็นว่าคนตัวเล็กที่นั่งตรงนั้นสะดุ้งโหย่งเลยทีเดียว จะขวัญอ่อนอะไรขนาดนั้น “รุ่นพี่พูดอยู่ สนใจกันบ้างมั้ย” ผมหันมาพูดกับรุ่นน้องต่อ พอเหตุการณ์สงบแล้ว ผมก็เดินไปนั่งที่หน้าเวทีเหมือนเดิม “เกรี้ยวกราดชิบหาย” ‘ไอ้คิว’ เพื่อนในเซคที่เป็นพี่ว้ากเหมือนกันพูดขึ้นมา “หึ ขนาดยังไม่เป็นอะไรกับน้องยังหวงขนาดนี้นะไอ้เอ็ม” ตามด้วยไอ้ไทม์ที่ว่าผม “เออ ขี้หวงชิบหาย” ‘ไอ้เบส’ ว่าพลางมองหน้าผม “ตอนที่ได้ยินเขาพูดกัน ว่ามึงพาเด็กไปกินข้าวกูแทบเตะปากคนพูดเลย แต่ตอนนี้ท่าจะจริง” ‘ไอ้เฟรนด์’ มันแซวผม ผมก็ได้แต่เงียบและไม่คิดเถียงอยู่แล้วเพราะมันคือความจริงจะให้ได้เถียงอะไรล่ะ จากนั้นก็มีการทำโทษรุ่นน้องเล็กน้อยแล้วก็รับน้องต่อ โดยที่ผมหันไปมองคนตัวเล็กเป็นระยะๆ “ไอ้เอ็ม” ไอ้ไทม์ก็เรียกผม “อะไร ?” ผมหันไปมองมัน “มีคนอยากลองของมึงว่ะ” ไอ้ไทม์ว่าแล้วก็มองไปยังโต๊ะที่มีไวโอลินนั่งอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้มีตัวผู้มายืนคุยด้วยถึงสองตัว แม่ง เผลอแปปเดียวเอง เมื่อเห็นอย่างนั้นผมก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปยังโต๊ะทันที... “นะครับๆ พี่ขอหน่อยนะแค่ไลน์ก็ได้” เมื่อเข้ามาใกล้ๆ ก็เห็นว่าเป็นไอ้พวกปีสองที่กำลังคะยั้นคะยอขอเบอร์โทรศัพท์ของไวโอลิน โดยที่เธอกำลังทำสีหน้าไม่พอใจซึ่งผมรับรู้ได้ “นะครับ ถ้าน้องไม่ให้เพื่อนพี่คงเสียใจแย่” เพื่อนมันก็ช่างยุยงเก่งเหลือเกินไอ้พวกเหี้ย ผมอยากจะกระโดดถีบพวกมันมากที่เข้ามายุ่งกับคนของผม “พี่ขอแค่เบอร์นะครับ นะๆ” หึ ! ไอ้พวกควายเล่นอะไรไม่เล่นก็เห็นอยู่ว่านี่คือโต๊ะพี่ว้าก ทำอย่างนี้หยามกูชัดๆ “ก่อนจะได้เบอร์ เอาตีนกูก่อนมั้ย” ผมเดินเข้าไปแล้วพูดขึ้นเสียงแข็ง “ฮะ เฮียเอ็ม” ไอ้คนที่กำลังยื่นโทรศัพท์ให้ไวโอลินหันมามองผม แล้วพวกมันก็ทำท่าทางกระอักกระอ่วน หน้านี่เสียเลยทีเดียว สัส ! ผมด่าพวกมันในใจ “ดะ เด็กเฮียเหรอครับ” เพื่อนมันที่มาด้วยก็ไม่ต่างกัน ก็ผมเล่นจ้องพวกมันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียอย่างนั้น “เออ นี่แฟนกู รีบไสหัวไปก่อนที่พวกมึงจะได้แดกตีนกูแทนข้าว” ผมกัดฟันพูดใส่หน้าไอ้เด็กรุ่นน้องปีสองเสียงดังมาก “ขะ ขอโทษครับเฮีย” มันทั้งสองคนก้มหัวให้ผมแล้วเดินออกไปอย่างเร็ว จะว่าเดินก็ไม่ใช่พวกมันรีบวิ่งเลยแหละ “ขี้ตู่ชะมัดเลย” ไวโอลินที่ยังนั่งตกใจกับเสียงของผมเอ่ยขึ้นมา “อะไร” เสียงพูดของคนตัวเล็กทำให้ผมละสายตาจากไอ้สองตัวที่วิ่งเหมือนหมาหางจุกตูดนั้นแล้วกลับมามองเธอ “พี่เอ็มขี้ตู่ ใครแฟนพี่กันคะ” ฉันลอยหน้าลอยตาพูด “เดี๋ยวรู้กัน” ผมกระตุกยิ้ม เมื่อจ้องหน้าของคนน่ารัก “รู้อะไรคะ” ฉันถามพี่เขาตรงๆ “รู้ว่าเราจะเป็นแฟนกันเมื่อไหร่ดีน่ะสิ” ผมเดินเข้ามาใกล้เธอ ใบหน้าของผมก้มลงไปหาเธอจนผมสัมผัสได้ว่าลมหายใจของเธอหอมมาก “พะ พูดอะไร ใครจะเป็นแฟนพี่คะ” ฉันทำเฉไฉรีบเบี่ยงหน้าหลบหนีเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจและกลิ่นกายของเขาที่ลอยเข้ามาในจมูก “หึ ! จีบอยู่ไม่รู้ตัวหรือไง” ผมจับใบหน้าสวยเอาไว้พร้อมทั้งบอกความรู้สึกดีๆให้น้องรับรู้ “พี่” ฉันพยายามกลอกตาไปมาไม่ยอมสบตาคู่เข้ม เพราะเขินพี่เขา บ้า! ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกนะว่าเขาจีบแต่ไม่อยากเข้าข้างตัวเองมากเกินไป แต่พอเขาพูดอย่างนี้มันก็ชัดแล้วล่ะ “หลับตาทำไมมองหน้าพี่สิ พี่พูดจริง พี่จีบเราอยู่นะ” ผมบอกน้องน้อยเสียงตึงๆ อมยิ้มเล็กน้อยเมื่อพวงแก้มขาวทั้งสองข้างแดงระเรื่อ สงสัยเธอคงจะเขิน “มะ ไม่รู้ด้วยหรอก โทรศัพท์หนูล่ะคะ” ฉันรีบดันมือของพี่เอ็มออกจากคาง แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะกลัวว่าตัวเองจะเสียอาการและไม่เป็นตัวของตัวเองสักที “รอก่อน” ผมนั่งลงข้างเธอ “รออะไรคะ หนูอยากกลับแล้ว” ฉันบอกกลับอย่างงอแง เหมือนเด็กไม่อยากไปโรงเรียน “รอพี่เลิกก่อน” หน้าตาหักงอเหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจ ทำให้ผมแอบยิ้มและแกล้งทำเสียงดุใส่เธอ “แต่หนูหิวข้าวแล้วนะ” ฉันบอกไปเพราะตอนนี้จะห้าโมงเย็นแล้ว ท้องไส้ก็เริ่มประท้วงเพราะว่ากินข้าวตั้งแต่เที่ยงแถมกิจกรรมก็สูบพลังงานฉันไปเยอะเลย “อืม” ผมพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นเดินไปหาเพื่อน “พี่บ้านี่ลุกหนีดื้อๆ แบบนี้เลยเหรอ แล้วมือถือหนูล่ะคืนสักทีสิค่ะ” ฉันได้แต่นั่งทำหน้าหงิกหน้างออยู่ที่เดิม มองพี่เอ็มเดินไปหาพวกเพื่อนๆ ไม่รู้ว่าพวกพี่ๆเขาคุยอะไรกัน.. ไม่ถึงห้านาที..เขาก็กลับมา “ปะ” ผมเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วรีบชวนไวโอลินพร้อมกับเก็บของแล้วเอื้อมมือมาหยิบกระเป๋าของเธอไปถือ “ไปไหนคะ” ฉันถามพลางดึงกระเป๋ากลับแต่พอเจอสายตาดุดันฉันก็ปล่อยกระเป๋าให้พี่เขาถือให้ทันที “กลับสิ” ผมตอบทั้งที่จับมือน้องมากุม “พี่คะ” ฉันพยายามแกะมือใหญ่ของพี่เอ็มออกเพราะเขินอายสายตาหลายคู่ที่มองมาทางฉันและเขา “เดินตามมาสิไม่หิวเหรอ พี่จะพาไปกินข้าวไง” ผมยังกุมมือน้องเอาไว้ ไม่ได้ตั้งใจดึงน้องแรงหรอกแค่เบาๆ แต่น้องคงตัวเบาจึงปลิวเข้ามาปะทะหลังของผม “พี่ โอ๊ย ! เจ็บนะจะหยุดทำไมไม่บอกหนูก่อน” ฉันเจ็บจึงร้องประท้วงและยกมือทุบหลังของพี่เขาอย่างลืมตัว “ไหนดูสิ เจ็บตรงไหน” ผมรีบจับมือของเธอออกจากหน้า และยื่นมือไปลูบรอยแดงตรงหน้าผากของเธอเบาๆ “เอ่อ มะ ไม่เป็นไรแล้วค่ะ” ฉันรีบขยับตัวถอยหลังหนี แต่พี่เอ็มก็จับแขนสองข้างของฉันไว้ให้ฉันยืนนิ่งๆ “แน่ใจนะ” ผมยิ้มอย่างมีความสุขมาก ๆ เมื่อเห็นเธอหน้าแดง คงจะเขินผมแหละ “นี่พี่จะหนีกิจกรรมของคณะแบบนี้เหรอคะ” ฉันรีบก้มหน้าเพราะว่าไม่กล้ามองหน้าพี่เขา แล้วแกล้งคุยเรื่องอื่นและชี้ไปที่คณะวิศวะรับน้อง “ฝากเพื่อนไว้แล้ว ปะหิวไม่ใช่หรือไง” ผมบอกพร้อมกับจูงมือคนตัวเล็กให้เดินตาม “ขอโทรศัพท์คืนให้หนูด้วยค่ะ” ฉันเดินตามรอยเท้าพี่เอ็ม และบอกพี่เขา “พูดมากน่า จะไปไม่ไป” ผมเริ่มไม่พอใจจึงทำเสียงขึงขังใส่เธอ “แต่หนูเอารถมานะ” ฉันบอกเขาไปตั้งแต่กลางวันแล้วนะว่าขับรถมา แต่ทำไมเขาพูดเหมือนจะไปส่งฉันอย่างนั้นแหละ “ก็ไปรถเราไง” ผมบอก ตึกตัก! ตึกตัก!..อีกแล้วนะ ทำไมใจฉันมันเต้นรัวเหมือนกลองถูกตีอย่างนี้นะ นี่ทำไมเขาขยันทำให้ใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะอย่างนี้ด้วย “คนนิสัยไม่ดี” ฉันทำปากขมุบขมิบ แล้วฉันก็ต้องชะงักหยุดเดินเมื่อคนตัวสูงกว่าฉันมากหยุดแล้วหันมาเผชิญหน้ากับฉัน “ใครนิสัยไม่ดี” ผมถามพลางเดินต้อนคนตัวน้อยที่คอยแต่จะเดินถอยหลัง “พะ พี่ รถพี่ล่ะคะ” ฉันไม่ตอบคำถามของพี่เอ็มแต่เปลี่ยนเรื่องคุย เพื่อให้เขาลืมเรื่องที่ฉันว่าเขา “ฝากเพื่อนเอากลับแล้ว” ผมกระตุกยิ้มเมื่อเห็นท่าทางเอาตัวรอดของน้อง “..” จนมุมเลยฉัน พูดและถามอะไรไปพี่เขาก็ตอบได้หมด “จอดรถไว้ไหน” ความเงียบเดินตามต้อย ๆ ทำให้ผมถามเธอ “หน้าตึกค่ะ” ฉันรีบบอก “ไปเดินทางโน้น เดินตรงนี้แดดแรงมาก” และพอได้คำตอบผมก็พาเธอเดินต่อ โดยเปลี่ยนจากการจูงเป็นจับมือเธอเดิน “ค่ะ” ฉันขานรับและตลอดทางฉันได้แต่ก้มหน้ามองพื้น เพราะรู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่มองมา จากตอนแรกที่เดินเข้ามาคนเดียวนั้นว่าเด่นแล้ว ตอนนี้ยิ่งเดินกับพี่เอ็มด้วยยิ่งเด่นเข้าไปอีก เสียงซุบซิบ ๆ จึงดังระงม “คันไหนรถ” ผมถามเมื่อเดินมาถึงหน้าตึก มองคนข้างๆ แล้วมองรถที่จอดหลายคัน “คันนั้นค่ะ” ฉันชี้ไปที่รถเก๋งสีขาวโตโยต้า “กุญแจล่ะ” ผมมองตามมือของเธอแล้วหันมามองหน้าสวย “ในกระเป๋าค่ะ” ฉันบอกพร้อมกับแบมือขอกระเป๋า แล้วเอามาค้นหากุญแจรถยื่นให้พี่เอ็ม “ไปกินข้าวก่อนก็แล้วกัน” ผมเปิดประตูให้เธอเข้าไปนั่ง และบอกเธอเมื่อเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ “ค่ะ” ฉันไม่ปฏิเสธ เพราะถึงจะปฏิเสธยังไงพี่เอ็มก็คงไม่ยอมฟังอยู่ดี…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม