‘พ่อพ่อ เลือด เลือดไหล พริกหวาน อยู่โรงบาล’
‘เจ็บ พ่อพ่อ มาหาพริกหวาน ได้ไหมคะ’
หนูพริกหวานใช้โทรศัพท์แม่ส่งข้อความเสียงหาพ่อพ่อ
หัวใจคุณพ่อหล่นลงตาตุ่ม ห่วงใยลูกสาวมากกว่าใครในโลก เข้าเช็คตำแหน่งปัจจุบันซึ่งเชื่อมโยงมาจากแอปเปิลวอช อุปกรณ์ไฮเทค ใส่ติดตัวไว้ประจำเพื่อสอดส่องความปลอดภัยลูกสาว
พบว่าหนูพริกหวานยอดดวงใจของคุณพ่ออยู่โรงพยาบาลจริง ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ ไม่มีคำถามเหล่านั้นหลุดออกจากปาก ทิ้งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า บึ่งรถมาถึงโรงพยาบาลภายในสิบนาที
“รับสายสิธาร”
โรงพยาบาลกว้างขวางไม่รู้ว่าธารธาราพาลูกสาวไปรักษาตัวที่ไหน แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ลูกถึงมีเลือด
ขณะรอการตอบรับ ภารนัยก้าวเท้ายาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปตามหา จะไปถามประชาสัมพันธ์ ชะงักฝีเท้าเมื่อเสียงเล็กๆ ตอบกลับ
‘พ่อพ่อ’
เรียกพ่อครั้งเดียวไม่ได้ ติดปากเรียกพ่อพ่อ ซึ่งฝ่ายพ่อพ่อของหนูพริกหวานไม่ขัดใจลูก ลูกอยากเรียกอะไรเรียกได้เลย
“พริกหวาน ลูก!”
โล่งอกหลังจากได้ยินเสียงเล็ก
วันไนท์สแตนกับแม่ของลูกคืนเดียว ผ่านไปเก้าเดือนได้หนูพริกหวานมาอุ้มแบบงงๆ แทบจะยกเท้าขึ้นก่ายหน้าผาก เพราะแม่ของลูกยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เลย แถมอายุยังอ่อนกว่าเขาสิบปีเต็ม!
ธารธาราใจแตกไปช่วงหนึ่งจากความเสียใจที่สูญเสียแม่ ญาติที่เหลืออยู่คนเดียวในโลก มีแววจะต้องทิ้งการเรียนมาทำงานหาเงินเลี้ยงลูกที่มาเกิดโดยไม่ได้ตั้งใจ ภารนัยสงสารเด็กมหาลัยผิวขาวๆ หน้าตาน่ารักๆ มีหน้าอกน่าขย้ำหน่อยๆ เสนอตัวเป็น Sugar Daddy สายเปย์ เลี้ยงทั้งลูก เลี้ยงทั้งเมีย ส่งเรียนหนังสือ ให้เงินใช้รายเดือน และสัญญาจะโอนบ้านให้เป็นกรรมสิทธิ์ภายหลังหล่อนจบการศึกษา
ใต้เงื่อนไข ธารธาราต้องเป็นเด็กดีของเขาคนเดียว ตั้งใจเรียนหนังสือให้จบ ตั้งใจเลี้ยงลูกให้ดี และอย่าขาดเรื่องบนเตียง ถึงจะแค่สัปดาห์ละหนึ่งวันก็ห้ามขาด ถ้าแม่ของลูกเป็นเด็กดีก็รับบ้านไป มูลค่าสิบกว่าล้านเลยนะบ้านเดี่ยวในโครงการใหญ่หลังนั้น เด็กเลี้ยงของเขาน่ารัก นิสัยว่าง่าย อยู่ในร่องในรอย ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเขา
หล่อนเรียนมหาวิทยาลัยถึงชั้นปีสุดท้าย เหลือแค่ฝึกงานสามเดือนก็จะจบอย่างไม่เป็นทางการ เส้นตายสุดท้ายที่ภารนัยจะต้องยกบ้านให้หล่อน และลดสถานะ ไม่สามารถหลับนอนกับหล่อนได้อีก
ธารธารายังเด็ก แต่เลี้ยงลูกได้ดี มีเขากับแม่บ้านคอยช่วยอีกสองแรง หล่อนขยันเรียนหนังสือได้เกรดเอหลายตัว รู้จักขายของออนไลน์หารายได้เสริม ทุ่มความสนใจให้การเรียนกับลูกสาว ไม่เอาเวลามาก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวภารนัย สนใจเขาเฉพาะตอนอยู่ด้วยกันกับลูก แต่ถ้าอยู่นอกบ้าน หล่อนจะไม่พาลูกมาเดินใกล้ๆ ไม่เคยไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ในที่สาธารณะ ออกหน้าเป็นซิงเกิลมัมเลี้ยงลูกสาวคนเดียว จนตอนนี้หนูพริกหวานอายุสองขวบครึ่ง แม่เขา ญาติเขา ไม่มีใครเลยสักคนระแคะระคายว่าเขาแอบซุกลูกซ่อนเมียไว้ลับๆ
“อยู่ไหนคะลูก คุณพ่อมาถึงโรงพยาบาลแล้วนะ จะมารับพริกหวานกลับบ้าน หนูเป็นอะไรทำไมมีเลือด คุณแม่อยู่ด้วยไหมคะ” ยิงคำถามชุดใหญ่ ลูกสาวส่งเสียงงอแงไม่ให้พ่อพูด ให้พ่อฟังอย่างเดียว ใจอ่อนยวบเลยสิ เสียงลูกสาวพูดออกมาแอะเดียว ใจพ่อหดเล็กลง
‘กาเป๋า แม่แม่ กับ พริกหวาน’ กระเป๋าธารธาราอยู่กับพริกหวาน ภารนัยเชี่ยวชาญภาษาเด็กแปลความหมายออกเร็วทันใจ
‘พริกหวาน อยู่กับ คูมหมอ แม่แม่ ร้องไห้ แง แง’
แม่ร้องไห้? ธารธาราน่ะเหรอ?
ใครเป็นอะไร แม่หรือลูก งงแล้วนะเนี่ย
“พริกหวานขา ลูกจ๋าลูก พริกหวานอยู่กับคุณหมอใช่ไหมคะ เอาโทรศัพท์ของคุณแม่ให้คุณหมอนะ ให้คุณพ่อคุยกับคุณหมอ คุณพ่อจะได้รู้ว่าพริกหวานอยู่ตรงไหน คุณพ่อจะได้ไปหาพริกหวานไงลูก”
ลูกพ่อขนานแท้มีถอนหายใจใส่โทรศัพท์ วิ่งไวๆ ไปหาคุณหมอ
‘คุณพ่อของหนูพริกหวาน สามีคุณธารธาราใช่ไหมคะ’
“ครับ ตอนนี้ผมมาถึงโรงพยาบาล แต่ไม่รู้ว่าต้องไปตรงไหน”
ภารนัยตอบรับเต็มปากเต็มคำ ทั้งสถานะพ่อ และสถานะสามี
รู้ตำแหน่งจากการบอกเล่ารวบรัด ภารนัยสับเท้าไฟวิ่งอย่างเร็ว มาถึงหน้าห้องเสียงเล็กๆ ของหนูพริกหวานร้องเรียก ‘พ่อพ่อ’ วิ่งเตาะแตะเข้ามาอ้อนขอกอด
ภารนัยย่อตัวลงไปอุ้มลูกสาวขึ้นมากอด หอมแก้มไปหลายครั้งให้หายคิดถึง ทั้งที่เจอหน้ากันทุกวันก็ยังคิดถึงลูกสาว สายตาภารนัยอ่อนโยนขณะทอดมองเลือดเนื้อเชื้อไขของตน
แรกเริ่มไม่เชื่อว่าธารธาราตั้งท้องกับเขา จนได้รับผลตรวจทางพันธุกรรม แต่ต่อให้ไม่ส่งตรวจดีเอ็นเอ รอให้โตอีกนิดเขาก็เชื่อ หนูพริกหวานมีเค้าโครงใบหน้าเหมือนเขาค่อนข้างมาก น่ารัก น่าเอ็นดูที่สุดเลยลูกสาวคุณพ่อ ฮึ่ม มันเขี้ยว คุณพ่อรักลูกหลงลูกสาวมากที่สุด วางลูกลง นั่งย่องสำรวจตามเรียวแขนเล็กหารอยแผลและรอยเลือด ยังไม่ทันได้ดูขา เท้าเล็กๆ คู่นั้นวิ่งบนรองเท้าแตะมีไฟแสงสีในตัวเวลาน้ำหนักกดทับ นำทางเข้าไปข้างในไปหา ‘แม่แม่’ ที่นอนน้ำตาท่วมหน้าอยู่บนเตียง หน้าแดงๆ ของธารธาราน่ารักและน่ามันเขี้ยวในเวลาเดียวกัน
“แม่แม่ หกล้ม เลือดไหลเยอะเลย”
กำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินคำที่ลูกเล่าแล้วภารนัยปล่อยหัวไหล่ลู่ลง กลอกตามองขึ้นเพดาน ก่อนเลื่อนลงสบตากับยัยเด็กซุ่มซ่าม ไปหกล้มท่าไหนถึงเข่าแตกจนได้เย็บหลายเข็ม
เชื่อเขาเลย! ภารนัยจะบ่น แต่ขอบตาธารธารายังแดงอยู่เลย เก็บคำพูดไว้ในคลังสมอง อุ้มลูกสาวถอยออกมานั่งรอมุมห้องให้หมอกับพยาบาลทำแผลจนเสร็จก่อนจึงรับกลับบ้านด้วยกัน
“แม่แม่ เป่าเพี้ยง โอ๋นะ” หนูพริกหวานเอี้ยวลำตัวกลับมาเช็ดน้ำตาให้คุณแม่ ปากเล็กเป่าลมผ่านแมสค์เด็กลายคิตตี้
แม่บ้านอื่นปลอบลูก แม่บ้านนี้ให้ลูกปลอบ ภารนัยส่ายหน้า แยกไม่ออกว่าระหว่างแม่ของลูกกับลูกสาว เขาควรเหนื่อยกับคนไหน
“คุณแม่เจ็บจังเลย พริกหวานเป็นคุณหมอให้คุณแม่ได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ พริกหวานจะ ฉีดยาให้ แม่แม่ ทุกวัน” หนูน้อยยกนิ้วชี้เหยียดตรง จิ้มเข้าที่ท่อนแขนคุณแม่แรงเหมือนโกรธมาเป็นชาติ ช่างเป็นคุณหมอที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้ลูกสาวคุณแม่ “อย่างนี้!”
“คุณแม่ไม่ฉีดยาได้ไหมคะ คุณแม่กลัวเข็ม” มองลูกตาปริบๆ
“ไม่ได้ค่ะ พริกหวานบอกคุณแม่ไปลูก ไม่ฉีดยาไม่ได้ จะไม่หาย” คุณพ่อพูดแทรก ขณะเข็นวีลแชร์พาลูกสาวที่นั่งบนตักแม่ไปรอรับยา เลือกที่นั่งว่างไกลผู้คนสักหน่อย เพื่อจะได้ก้มหน้าลงมาพูดใกล้ๆ
“วันนี้วันเสาร์นะ ห้ามลืมเด็ดขาด ขั้นต่ำสามเข็ม ต้องฉีดย้ำๆ ให้ตรงจุด” ยิ้มมีเลศนัย แม่ของลูกแก้มแดงเพราะเข้าใจความหมาย